ในตอนนี้เอง ซูหวานก็ไม่สนใจอะไร เธอกลับดูแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างที่ไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย
สีหน้าที่เย้ายวนใจของเธอกับการแสดงออกที่เยือกเย็นของเธอ ออร่าที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้นี้มันก็ยากที่จะเพิกเฉยเป็นอย่างมาก
“ไอ่เวร นังตัวเหม็น แกพูดกับพี่ฮู่แบบนี้ได้ยังไงกัน?” จ้าวซานอยากที่ออกหน้าแทนจินฮู่ เค้าก็เลยด่าออกไป
ซูหวานก็หรี่ตาของเธอลง เธอจ้องมองไปที่จ้าวซานแล้วถามขึ้นมาว่า: “นายเรียกฉันว่าอะไรกันนะ?”
“นังตัวเหม็น! ทำไม แกไม่ชอบเหรอ อยากจะให้พวกกูลากมึงไปที่หลังเขาไหม” จ้าวซานก็พูดออกมาอย่างหงุดหงิด
แต่จินฮู่ที่อยู่ข้างๆ ก็กลัวจนเหงื่อแตก ขาของเค้ามันสั่นไปหมด
“พี่ฮู่ ผู้หญิงคนนี้ดูไม่เลวเลยนะ” จ้าวซานก็เข้ามาพูดกับเค้าด้วยรอยยิ้ม
ปากขิงจินฮู่ก็สั่น เค้ายกมือของเค้าขึ้นมาแล้วตบเข้าไปที่หน้าของจ้าวซานแล้วตะโกนออกมาว่า: “เมียแกสินังร่าน!”
“พี่ฮู่ พี่ทำอะไรของพี่หนะ……” จ้าวซานก็พูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง
จินฮู่เองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะตอบคำถามของเค้า แต่เค้าเดินเข้าไปหาซูหวานอย่างสั่นเทาแล้วพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “คุณ….คุณซู ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้……”
ภายใต้แสงไฟ สีหน้าของซูหวานก็ดูไม่ได้สวยอะไรเลย
สิ่นี้เองมันก็ทำให้จินฮู่ยิ่งหวาดกลัวมาเข้าไปอีก
“จินฮู่ ตอนนี้แกคงจะใหญ่โตมากสินะ” ซูหวานก็พูดออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
จินฮู่ก็ตัวสั่นขึ้นมาแล้วรีบพูดออกมาว่า: “ต่อหน้าของคุณซู ผมมันก็แค่ขี้ดิน…..ไม่แม้แต่ที่จะเป็นขี้ดินเลยด้วยซ้ำ!”
“เหรอ?” ซูหวานก็เหลือบมองไปที่เค้าอย่างเย็นชา จากนั้นจู่ๆ เธอก็ยกมือของเธอขึ้นมาแล้วตบเข้าไปที่หน้าของจินฮู่
“แม้แต่เพื่อนของฉันแกก็ยังกล้าทำเค้าอย่างงั้นเหรอ ทำไม ตระกูลซูของฉันมันไม่ได้อยู่ในสายตาของแกเลยอย่างงั้นเหรอ” ซูหวานก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จินฮู่ก็คุกเข่าของเค้าลงไปที่พื้นพร้อมกันอ้อนวอนร้องของความเมตตา “คุณซู ผมไม่รู้ว่าเค้าเป็นเพื่อนของคุณ ไม่อย่างงั้นผมจะไม่กล้าแม้แต่ที่จะแตะต้องตัวเค้าอย่างแน่นอน!”
เมื่อมองไปที่ท่าทีที่ดูต่ำต้อยของจินฮู่แล้ว จ้าวซานที่อยู่ที่ด้านหลังของเค้าก็ส่งเสียงขึ้นมาในใจ
ตระกูลซู? ที่ปีนังนี่ก็มีเพียงแค่ตระกูลซูตระกูลเดียวเท่านั้นที่สามารถจะทำให้จินฮู่ตกใจได้!
“ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะไอ่เวรนั่น!” จินฮู่ก็พูดขึ้นมาอย่างร้อนใจ “คุณซูไม่ต้องห่วง ผมสัญญาเลยว่าผมจะไม่มีวันปล่อยเค้าไป!”
จ้าวซานเองก็ไม่ได้โง่ เค้ารีบคุกเข่าลงต่อหน้าของซูหวานโดยไม่คิดอะไรเลย เค้าตบเข้าไปที่หน้าของตัวเองแล้วพูดว่า: “คุณซู ผมเองที่มีตาหามีแววไม่ อย่างงั้นก็ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย……”
ซูหวานก็เพิกเฉยกับจ้าวซาน แต่เธอจ้องมองไปที่จินฮู่แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า: “ฉันไม่อยากเห็นหน้าของมันอีก”
หลังจากที่พูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของจ้าวซานก็เปลี่ยนกลายเป็นขี้เถ้า เค้าทรุดตัวลงไปกองอยู่ที่พื้นในทันที
“คุณซู ไม่ต้องห่วง! ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง!” จินฮู่พยักหน้าขึ้นมาอย่างหมดหวัง
ทันทีที่จินฮู่โบกมือของเค้าขึ้นมา เค้าก็พูดว่า: “เอาไอ่เวรนี่เข้าไปในรถ!”
“ครับ!” พวกลูกน้องเค้าก็รีบวิ่งเข้ามาแล้วลากจ้าวซานเค้าไปในรถในทันที
แต่จินฮู่เองก็ยังคงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าของซูหวาน สีหน้าของเค้าเต็มไปด้วยความกลัว
“วันนี้นายเองก็ไม่ง่ายเลยนะ” ซูหวานก็พูดขึ้นมาเบาๆ “หลังจากนี้ก็ระวังให้มากกว่านี้หละกัน”
“ครับ ครับ แน่นอน แน่นอน…” จินฮู่ก็พยักหน้าของเค้าขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง
ฉินเฉิงที่ยืนอยู่ที่ด้านข้างของเธอก็ตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เค้าได้เห็นอิทธิพลของซูหวาน
“ตระกูลซูนี่มีภูมิหลังยังไงกันแน่…..” ฉินเฉิงก็บ่นพึมพำขึ้นมาในใจ
“พวกเราไปเถอะ” ในตอนนี้เอง ซูหวานก็หันกลับมามองที่ฉินเฉิง
เธอกลับไปสู่ท่าทีที่ดูขี้เล่นน่าหลงไหลของเธอ ดวงตาของเธอมันช่วงกลมโตจนน่าหลงไหล
“อืม ได้” ฉินเฉิงก็รีบตอบตกลงอย่างเร็ว
ทั้งสองก็ไปที่ซูปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อผักกับเนื้อสัตว์ จากนั้นก็ปั่นจักรยานขึ้นไปที่บนเขา
“ครั้งนี้ ฉันขอบคุณมากนะ” ฉินเฉิงก็พูดออกมาในตอนที่กำลังจะไปถึงที่ยอดเขา
ซูหวานก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “ฉันไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วเหรอว่ามันไม่มีเรื่องอะไรในปีนังที่ตระกูลซูไม่สามารถทำได้”
ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เค้าถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ซูหวานนี่เธอเป็นผู้หญิงที่น่าหลงไหลมากจริงๆ
น่าเสียดาย….ที่เค้าเป็นพ่อม่าย
หลังจากที่กลับไปที่คฤหาสน์ ฉินเฉิงก็วิ่งตรงไปที่ห้องครัวแล้วทำกับข้าวอยู่นานกว่าสองชั่วโมง เค้าทำอาหารออกมาสองสามจาน
ซูหวานหยิบไวน์แดงออกมาจากตู้ เธอยิ้มแล้วพูดว่า: “ไวน์ขวดนี้มีคนให้ปู่ของฉันมา มันแพงมาก ปู่ของฉันเอง เค้ายังไม่กล้าที่จะดื่มมันเลย”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็เปิดขวดไวน์แดง
ฉินเฉิงเองก็พูดขึ้นมาอย่างกังวลใจว่า: “นี่….น่าจะไม่ดีนะ ทำแบบนี้?”
“เป็นอะไรไป” ซูหวานก็โบกมือของเธอขึ้นมาอย่างชิวๆ “ยังไงเค้าก็ไม่ดื่มมัน เก็บไว้ก็เสียเปล่า”
ฉินเฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างไรรู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ในตอนที่กินข้าวนี้เอง ซูหวานก็ชมไม่หยุด: “อาหารที่นายทำมานี่มันอร่อยมาก ดีกว่าเชฟของฉันอีก!”
ฉินเฉิงเองก็ทำอะไรไม่ถูกเลย ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้เอง เค้าก็เค้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ฉินเฉิงเองก็ได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารหลายอย่างเพื่อเอาใจครอบครัวตระกูลหลิน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทักษะการทำอาหารของเค้ามันก็พอได้
“เห้ ฉันเองก็ไม่รู้จริงๆ เลยว่านายหย่ากับเมียของนายยังไง” หลังกินข้าวแล้ว ซูหวานก็เช็กปากของเธอ เธอพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ
ฉินเฉิงก็ผงะไปซักพัก ทันใดนั้นเองมันก็มีความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
หลังจากที่มีชีวิตอยู่มากว่า 20 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาชื่นชมเค้าแบบนี้
“คนอย่างฉันไม่มีหญิงคนไหนมาชอบหรอก” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน
ซูหวานก็เบิกตากว้างขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ใครพูดอย่างงั้นกัน ความสามารถทางการแพทย์ของนายดีมากเลยนะ นายยังทำอาหารได้อีกและก็ยังเป็นคนถ่อมตัว ทำไมใครจะไม่ชอบหละ”
ฉินเฉิงก็เงียบไปซักพัก ในใจของเค้า เค้าก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายมันยังไงดี
“ขอบคุณเธอนะ” นี่คือคำพูดจากใจของฉินเฉิง
ซูหวานดูเหมือนว่าเธอจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเอง เธอก็มองไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดขึ้นมาว่า: “อีกครึ่งเดือนจะมีงานเลี้ยงธุรกิจของตระกูลซู เมื่อถึงเวลานายก็มาเข้าร่วมด้วยสิ ฉันเองก็ขาดคู่เต้นรำอยู่พอดีเลย”
“อ๊า? ฉัน?” ฉินเฉิงเองก็ชี้เจ้าไปที่จมูกของตัวเอง เค้ารีบส่ายหัวขึ้นมา: “ไม่ ไม่ ไม่ งานเลี้ยงแบบนั้นมันไม่เหมาะกับฉันหรอก…..”
ซูหวานก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ฉันบอกว่าเหมาะก็คือเหมาะสิ พูดมาขนาดนี้แล้ว”
ทันใดนั้นเองซูหวานก็ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า: “เอาหละ ฉันควรกลับละ นายก็รีบพักผ่อนหละ”
“ฉันไปส่งเธอเอง” ฉินเฉิงก็รีบลุกขึ้นมาแล้วตามซูหวานไปที่ด้านล่างภูเขา
ที่ด้านล่างภูเขา คนขับรถของตระกูลซูก็รออยู่ที่นี่แล้ว
“รีบผักผ่อนนะ” ซูหวานก็พูดขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง คนขับรถก็ขับรถออกไปอย่างช้าๆ
ฉินเฉิงมองไปที่ด้านหลังของรถ ในใจของเค้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน
เค้าเองก็อยู่มานานแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เค้าได้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากก้นบึ้งหัวใจของเค้าเอง
…
ที่ด้านในรถ ซูหวานก็เล่นโทรศัพท์
“คุณหนูครับ ฉินเฉิงนี่เป็นพ่อม่ายนะครับ มันไม่เหมาะที่จะไปพบปะกับเค้า…” คนขับรถก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดออกมา
ซูหวานก็มองไปที่คนขับรถอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “ไม่เหมาะตรงไหนกัน?”
“คุณเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซู คุณคืออัญมณีในมือของพ่อคุณ! ส่วนหมอนั่นเค้าก็แค่คนไร้ประโยชน์!” คนขับรถก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้น สีหน้าที่เย็นชาของซูหวานก็แสดงความโกรธออกมาในทันที
เธอพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า: “นายเป็นแค่คนขับรถ มีสิทธิอะไรมาวิจารณ์ฉัน ยิ่งไปกว่านั้นเค้าก็ยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตของปู่ฉันเอาไว้ด้วย”
คนขับรถตกใจ แต่เค้าก็ไม่สบายใจเลย
ในสายตาของเค้า ซูหวานสมบูรณ์แบบเกินไป มันไม่มีใครคู่ควรกับเธอเลย!
แต่ตอนนี้ชายคนนี้ก็พึ่งจะหย่าร้างมา ฉินเฉิงเองก็มาสนิทสนมกับซูหวานมาก เค้าเลยก็รู้สึกไม่สบายใจ
ซูหวานดูเหมือนจะมองความคิดของเค้าออก เธอพูดขึ้นมาอย่างเงียบๆ ว่า: “ฉันจะเดิมพันกับนาย อย่างน้อยหนึ่งเดือน เค้าจะต้องกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในปีนัง”