หลังจากหลับมาถึงคฤหาสน์ที่ภูเขาหลงไห่ ฉินเฉิงก็จะไปหาจินฮู่เพื่อไปที่โกดัง
ที่โกดังมีวัตถุดิบยาอยู่มากมาย แต่ต้องบอกเลยว่าส่วนใหญ่มันค่อนข้างที่จะไร้ประโยชน์
ฉินเฉิงเดินไปทั่วโกดัง จินฮู่ก็เดินตามและจับตาดูเขาตลอด
น่าเสียดายที่การแสดงออกของฉินเฉิงไม่เปลี่ยนแปลง และเขามองไม่ออกว่าฉินเฉิงกำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันจำได้ว่าที่ปีนังของเรามีคนที่ชื่อว่าอาจารย์เว่ยอยู่?” ในตอนนั้นจู่ๆฉินเฉิงก็พูดออกมา
จินฮู่รีบพยักหน้าทันที “ใช่ครับ เขาคือคนที่มีชื่อเสียงทางด้านของหมอยาจีนในปีนัง”
“ไปพาเขามาหน่อย หลังจากนี้ถ้าไปซื้อก็ให้พาเขาไปด้วย” ฉินเฉิงพูด
ทันใดนั้นจินฮู่ก็เหมือนจะมีปัญหาขึ้นมาทันที เขาเกาหัวอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไร
ฉินเฉิงขมวดคิ้ว “ทำไมเหรอ มันยากขนาดนั้นเลย?”
จินฮู่ถอนหายใจและพูดออกมา “สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ ทุกอย่างมันก็ไม่มีอะไรยาก แต่น่าเสียดาย….ที่คนมีพรสวรรค์พวกนี้มีนิสัยแปลกๆ สิ่งที่เขาต้องการตอบแทนมันก็จะแปลกไปด้วย….”
ฉินเฉิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นายไปบอกเขาว่า ฉันจะให้ยาที่เป็นประโยชน์กับเขาเพื่อเป็นค่าตอบแทน”
เมื่อจินฮู่ได้ยินอย่างนั้นเขาก็รีบพยักหน้าทันที “ไม่มีปัญหา คุณฉินวางใจ ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
หลังจากนั้นฉินเฉิงก็เดินทางกลับไปที่ภูเขาหลงไห่
ที่ด้านล่างของชุมชนหลงไห่ ฉินเฉิงก็เห็นเงาของคนที่คุ้นเคย
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นสีหน้าของฉินเฉิงก็เกิดความประหลาดใจขึ้นทันที
เนื่องจากว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่ใคร เขาก็คือชายหนุ่มที่เขาเจอตอนไปต่อสู้กับเฝิงกง ฉูเป่ยชวน
“อาจารย์!” หลังจากที่ฉูเป่ยชวนเห็นฉินเฉิง เขาก็รีบวิ่งมาด้วยความตื่นเต้น
ในตอนนั้นฉินเฉิงสัญญาว่า ถ้าหากภายในต้นปีฉูเป่ยชวนสามารถก้าวไปเป็นเจ้าแห่งพลังปราณได้ เขาจะยอมรับฉูเป่ยชวนเป็นลูกศิษย์
ในตอนนั้นเขาแค่คิดที่จะปฏิเสธออกไป
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในวันนี้ฉูเป่ยชวนจะก้าวไปถึงเจ้าแห่งพลังปราณได้แล้ว
“อาจารย์ ตอนต้นปีผมมาหาอาจารย์แล้วตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่อยู่ที่บ้านเลยสักครั้ง” ดวงตาของฉูเป่ยชวนมีความคาดหวังบางอย่าง
ฉินเฉิงไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไป เสื้อผ้าของฉูเป่ยชวนนั่นเก่ามากและรอยแผลเป็นบนร่างกายของเขาพิสูจน์ให้เห็นถึงความพยายามของเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“อาจารย์ ท่านคงจะไม่กลับคำพูดนะ?” เมื่อเห็นว่าฉินเฉิงไม่พูดอะไร ฉูเป่ยชวนก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
สุดท้ายฉินเฉิงก็ยกมือขึ้นและไปตบไปที่ไหล่ของเขาและพูดว่า “ขึ้นไปด้านบนกับฉัน”
เมื่อฉูเป่ยชวนได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็มีความตื่นเต้นขึ้นมาทันที เอนตัวและก้มหน้าลง “ขอบคุณมากครับอาจารย์!”
ในตอนที่เดินขึ้นไปด้านบนเขา ฉินเฉิงก็พูดออกมาว่า “ด้วยพรสวรรค์ของนายไม่ว่านายจะไปที่ไหนเขาก็ต้องรับนายแน่ และทุกที่ก็มีทรัพยากรในการฝึกฝนนายมากกว่าฉัน แล้วทำไมนายต้องมาหาฉันด้วย”
ฉูเป่ยชวนพูดออกมาว่า “ผมเป็นคนมองการณ์ไกล! ถ้าหากวันหนึ่งท่านประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แบบนั้นผมไม่กลายเป็นคนโง่ไปหรอกเหรอ?”
ฉินเฉิงไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมา แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบ สิ่งที่เขาพูดดูเหมือนจะสมเหตุสมผล
หลังจากที่ขึ้นมาถึงยอด เซียงเหม่ยเอ๋อก็ได้มารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ฉินเฉิงหันไปมองที่ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าและพูดออกมาว่า “นายพาเขาไปเดินดูรอบบ้านก่อน เดี๋ยวฉันจะไปคุญธุระกับคุณหนูเซียงหน่อย”
“ครับ” ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพยักหน้า จากนั้นก็พาฉูเป่ยชวนเดินออกไป
หลังจากที่พวกเขาเดินออกไปแล้ว เซียงเหม่ยเอ๋อก็เดินเข้ามา “ไม่รู้ว่าตระกูลซูไปเอาข้อมูลมาจากไหน นายมั่นใจหรอว่าจะไปกับพวกเขา?”
“แน่นอน” ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกไป “ไม่ว่าอย่างไงฉันก็ต้องเอาเจ้าแห่งโอสถมาให้ได้”
“นายไม่กลัวว่าตระกูลซูจะใช้โอกาสนี้ในการฆ่านายอย่างงั้นเหรอ?” ฉินเฉิงถามออกมาด้วยความสงสัย “พวกเราไม่สามารถสู้กับตระกูลซูได้ เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่มีใครสามารถช่วยนายได้”
“ไม่จำเป็นต้องให้ใครช่วย” ฉินเฉิงยิ้ม
ไม่ต้องพูดถึงเจ้าแห่งโอสถ แต่พลังของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเดียว สำหรับ
ด้วยพลังของวิชากลืนวิญญาณ กว่าฉินเฉิงจะหาโอกาสแบบนี้ได้จะไม่ให้เขาไปได้อย่างไรกัน
“ปรมาจารย์ของตระกูลเซียงก็มาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่ในห้อง ฉันจะพานายไปเจอพวกเขาสักหน่อย” จากนั้นเซียงเหม่ยเอ๋อก็พูดออกมา
หลังจากที่เดินตามเซียงเหม่ยเอ๋อมาที่ชั้นสอง ที่ห้องโถงใหญ่ มีชายชราสามคนนั่งอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง
อายุของเขาไม่ได้ต่างจากฉินเฉิงสักเท่าไหร่ ท่าทางของเขาดูสง่างาม
ความหยิ่งยโสที่สัมผัสได้จากตัวเขาทำให้ชวนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้
“ท่านลุง ท่านอา” เมื่เซียงเหม่ยเอ๋อเดินเข้ามาถึงเธอก็พูดออกมา “คนคนนี้คือฉินเฉิง”
สายตาของทั้งสามคนจับจ้องมาที่ร่างกายของฉินเฉิง ดวงตาที่น่ากลัวของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาต้องการมองผ่านฉินเฉิง
“เขาคือคนที่เธอบอกว่ามีพรสวรรค์?” อาคนเล็กของเซียงเหม่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา
“เป็นแค่เจ้าแห่งพลังปราณธรรมดาๆแต่กล้าจะเอาชิงเจ้าแห่งโอสถ? นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ” อีกสองคนอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันออกมา
เซียงเหม่ยเอ๋อรีบอธิบายออกไปทันที “ท่านลุง ฉินเฉิงไม่ใช่ เจ้าแห่งพลังปราณธรรมดา พลังที่แท้จริงของเขานั้นก้าวข้ามมหาเจ้าแห่งพลังปราณขั้นที่สองไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งกำจัดผู้ที่เป็นมหาเจ้าแห่งพลังปราณธรรมดาสองคนไป!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ทั้งสามคนหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อ
แน่นอนว่าจะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ตั้งแต่สมัยโบราณไม่มีใครสามารถข้ามช่องว่างระหว่างเจ้าแห่งพลังปราณกับมหาเจ้าแห่งพลังปราณได้
ฉินเฉิงก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาคิดอยู่แล้วว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมา
“จะออกเดินทางเมื่อไหร่” ฉินเฉิงนั่งตรงข้ามทั้งสามคน ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่ง และถามด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“สามวันหลังจากนี้” ท่านอาของเซียงเหม่ยเอ๋อตอบออกมา “แต่ว่าฉันอยากจะแนะนำอะไรนายหน่อย เมื่อไปถึงแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราจะไม่ดูแลความปลอดภัยของนาย”
“ท่านทั้งสามไม่ต้องกังวล” ฉินเฉิงหัวเราะออกมา “ขอแค่พวกท่านดูแลตัวเองได้ก็พอแล้ว”
ทั้งสามคนโกรธเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลังจากที่เดินลงมา เซียงเหม่ยเอ๋อก็รีบตามฉินเฉิงมาและพูดว่า “ฉินเฉิง นายไม่ต้องไปใส่ใจ ที่จริงพวกเขาพูดออกมาแบบนั้นก็มีเหตุผลของพวกเขาเอง ความต่างชัดของเจ้าแห่งพลังปราณกับมหาเจ้าแห่งพลังปราณนั้นต่างกันมาก มันไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายขนาดนั้น พวกเขาจึงไม่ค่อยเชื่อ”
“ฉันรู้” ฉินเฉิงพยักหน้า “ฉันไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แค่จะออกเดินทางเมื่อไหร่แล้วบอกฉันก็พอ”
เมื่อเซียงเหม่ยเอ๋อเห็นแบบนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ในขณะเดียวกัน ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลซูก็มาถึงปินโจว
ครั้งนี้คนที่นำทีมมาก็คือน้องชายของซูหยู่ เขามีชื่อว่าซูอี้ซิ่ว
ซูอี้ซิ่วเป็นสาขาย่อยของตระกูลซู เขาไม่ได้มีอำนาจมากมายอะไร ถ้าหากว่าเข้ามามีความสามารถเขาก็คงไม่สามารถมาอยู่ที่จิงตูได้
ดังนั้นซูอี้ซิ่วแทบจะรอไม่ไหวที่จะสร้างผลงานให้กับตระกูลซูเพื่อหวังจะมีตำแหน่งตระกูลซูบ้าง
“นายน้อยซู พวกเราจองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้วครับ” ชายชราสองคนที่อยู่ข้างๆเขาพูดออกมา
ทั้งสามคนเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นที่สามแล้ว แต่เมื่ออยู่ในตระกูลซูพวกเขาก็สามารถทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เท่านั้น ไม่สามารถมีปากเสียงอะไรได้เลย
ซูอี้ซิ่วยิ้มออกมา “เตรียมรถ ฉันจะไปภูเขาหลงไห่สักหน่อย”
ทั้งสองคนขมวดคิ้ว พวกเขารู้ว่าซูอี้ซิ่วต้องการจำอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงพูดออกมาว่า “นายน้อยซู ภารกิจของเราในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าฉินเฉิงคนนั้น”
ซูอี้ซิ่วเหลือบมองไปที่พวกเขาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ “เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนขนาดนั้น แต่ตนเองต้องคิดให้ได้ว่าความหมายของมันนั้นคืออะไร เข้าใจไหม?”