ฉินเฉิงวิ่งตามหลังไป พวกเขากำลังวิ่งเข้าไปในป่าใหญ่
โดยปกติป่าแห่งนี้จะไม่มีคน เนื่องจากก่อนที่เจ้าแห่งโอสถจะถือกำเนิดมันจะดูดซับออร่าของสวรรค์และโลกเป็นวงกว้าง
นี่เป็นผลให้คนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆล้มป่วย
แต่หลังจากที่เจ้าแห่งโอสถถือกำเนิดขึ้นมาแล้วมันก็จะให้ผลที่ดีงามคืนกลับมา ที่แห่งนี้ที่เคยเสื่อมโทรมก็จะกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
สำหรับ132แล้ว พวกเขาสามารถสัมผัสออร่าที่อยู่รอบๆได้ก็จริง แต่พวกเขาไม่สามารถดูดซับพลังของมันมาได้
แต่สำหรับฉินเฉิงแล้ว นี่เป็นโอกาสที่หายาก
ระหว่างทาง รูขุมขนของฉินเฉิงเปิดออก ดูดซับรัศมีรอบตัวเขาอย่างกระหาย
ฉินเฉิงในวันนี้คือผู้อยู่บนจุดสูงสุดของรากฐาน หรือก็คือผู้อยู่จุดสูงสุดของปรมาจารย์
และเมื่อเขาขึ้นไปอยู่ตรงจุดนั้น ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสองเหล่านี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของทุกคนนั้นมีความตื่นตระหนก และหนึ่งในปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านพลังจิตก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อใช้พลังจิตในการปกคลุมภูเขาส่วนใหญ่ด้วยจิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์
“โคร้ง!!!”
แลในตอนนั้นมีเสียงดังขึ้นมาจากป่าลึก จู่ๆหมาป่าที่ชั่วร้ายตัวใหญ่ก็ปรากฎออกมา
ขนาดของหมาป่าชั่วร้ายนี้เกินขนาดปกติมาก ขนาดของมันน่าจะเท่ากับเสือโคร่ง!
และเนื้อของเขานั้นกระชับยิ่งขึ้น ขนบนตัวของเขาก็เหมือนหนามเหล็ก!
“ดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์ร้ายนี้จะเติบโตตามวัฒนาการของเจ้าแห่งโอสถ” หวงจิงเฉิงพูดออกมา
“ใช่” ซูอี้ซิ่วพยักหน้าเล็กน้อย “ภายใต้อิทธิพลของเจ้าแห่งโอสถ ต้นไม้เหล่านี้ไม่สามารถเจริญเติยโตได้ภายในสามวัน แต่สำหรับสัตว์พวกนี้มันสามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่”
“โคร้งงง!!!!”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดอยู่ หมาป่าชั่วร้ายก็พุ่งเข้ามาแล้ว!
มันสะบัดหายที่แหลมคมเหมือนกับใยมีดของมันไปทั่ว!
และไม่ว่ามันจะผ่านไปตรงไหน ต้นไม้เหล่านั้นก็ถูกทำลาย และเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวของมันก็ทำให้คนขนลุกขึ้นมา
“หึ สัตว์ยังไงมันก็คือสัตว์” ดูเหมือนว่าซูอี้ซิ่วยังคงมีความตั้งใจที่แน่วแน่ เขาคำรามออกมา ยกมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นและยื่นออกไป
“ควับ!” เสียงที่ดังขึ้นคือเสียงที่ของฝ่ามือที่จับไปที่ปากของหมาป่าชั่วร้าย จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของซูอี้ซิ่วดังขึ้น กล้ามเนื้อของเขารัดกุม!
“ย่า…..”
หลังจากที่เสียงของซูอี้ซิ่วดังขึ้น ปากของหมาป่าชั่วร้ายก็ถูกฉีกออกเป็นสองส่วน!
เลือดของหมาป่าเต็มไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้ซูอี้ซิ่วดูเหมือนปีศาจร้าย!
เขาเลียเลือดบนมือของเขา และพูดออกมาว่า “เลือดของมันก็เหมือนกับสมุนไพรชั้นดี ส่วนพลังของมันก็น่าจะอยู่ประมาณขั้นสุดยอดของปรมาจารย์ธรรมดา!”
ความตั้งใจของซูอี้ซิ่วก็คืออยากให้ทุกคนได้ยินในสิ่งที่เขาพูด และยกย่องเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้ยินที่เขาพูด
“แม้แต่สัตว์ป่าเองก็ยังมาขวางทาง ทำไม มันคิดว่าพวกเราเป็นอาหารหรือไง?” เนี่ยเทียนพูดออกมา
“นี่เราเพิ่งจะเข้ามาในป่าได้ไม่นานเลย แต่ก็มาเจอกับสัวต์ป่าที่ดุร้ายขนาดนี้แล้ว คิดว่าถ้าเราเข้าไปลึกเรื่อยๆจะต้องเจออะไรที่อันตรายมากกว่านี้อย่างแน่นอน” เซียงเหม่ยเอ๋อพูดออกมา
“มีพวกเราปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่กว่าสิบคนอยู่ที่นี่ มีอะไรให้ต้องกลัว?” เนี่ยเทียนพูดออกมา
“ไปกันเถอะ อย่ามัวแต่เสียเวลาเลย ฉันเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี” จางหนิงพูดออกมา
ทุกคนเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง และพลังแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ของฉินเฉิงก็ถูกปล่อยออกมาเงียบๆ
“มีออร่าที่แข็งแกร่งมากอยู่ด้านหน้า คิดว่ามันจะต้องเป็นเจ้าแห่งโอสถอย่างแน่นอน” ฉินเฉิงแอบคิดอยู่ในใจ
ในขณะเดียวกันเขาก็รับรู้ได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งอีกส่วนหนึ่งและพลังนั้นมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เลย
ถ้าเดาไม่ผิดมันจะต้องเป็นสัตว์ที่คุ้มครองเจ้าแห่งโอสถแน่นอน
ห่างออกไปอีกพันเมตร และภาพโดยรอบก็เริ่มพร่ามัว และเมฆหมอกปกคลุมภูเขาทั้งลูก
“แย่แล้ว” ซูอี้ซิ่วขมวดคิ้ว “หมอกเหล่านี้เป็นปัญหามาก มันมาติดที่หน้าฉันไปหมดแล้วเนี่ย!”
“ฉันก็ด้วย!” หวงจิงเฉิงพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด “มันทำให้ฉันมองอะไรไม่เห็นแล้วเนี่ย!”
“อย่างตื่นตระหนก!” ในตอนนั้นจางหนิงพูดออกมา “ฉันใช้พลังวิญญาณของฉันเพื่อนำทางทุกคนเอาไว้แล้ว”
ทันทีที่เสียงของเขาเงียบลง ภาพของเส้นทางก้ปรากฎขึ้นในหัวของทุกคน!
ฉินเฉิงขมวดคิ้ว และพูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ทางด้านพลังจิตคนนี้จะมีความสามารถไม่เบา”
จางหนิงคนนี้สามารถใช้พลังจิตของเขานำทางได้ แต่เมื่อพูดถึงฉินเฉิงมันก็ไม่ใช่ปัญหา
การมองเห็นของเขายังคงชัดเจน และสิ่งที่เรียกว่าหมอกหนาก็ไม่ต่างจากหมอกธรรมดาในดวงตาของเขา
ความเร็วของทุกคนช้าลงมากเนื่องจากการมองเห็นถูกบัง และพวกเขาก็ตัวสั่นขณะเดิน เพราะกลัวว่าจะพบกับอันตราย
ฉินเฉิงจับคางของเขาและคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปข้างหน้าและตบไหล่ของจางหนิง และหลบทันที
จางหนิงตกใจ เขาหันมาขมวดคิ้วและพูดว่า “ใครตบไหล่ฉัน? มันน่ารำคาญ!”
ฉินเฉิงรู้สึกชอบใจ เขารู้แล้วว่าจิตของจางหนิงไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น
ดังนั้นฉินเฉิงจึงเดินไปด้านหน้าของซูอี้ซิ่ว และเตะไปที่ก้นของเขาทันที
ซูอี้ซิ่วที่ไม่ได้ตั้งตัวก็ล้มลงกับพื้นทันที
เขาตกใจและทันใดนั้นก็พูดด้วยความหวาดกลัว “แย่แล้ว มีอะไรบางอย่างเข้ามาทำร้ายฉัน!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็ตื่นตระหนกทันที!
เซียงเหม่ยเอ๋อและคนอื่นๆหน้าซีด ในคนกลุ่มนี้พวกเขาอ่อนแอที่สุด และถ้าหากเกิดอะไรขึ้น คนที่จะตายเป็นกลุ่มแรกจะต้องเป็นพวกเขา!
ซูอี้ซิ่วลุกขึ้นมาจากพื้น ฉินเฉิงก็เตะไปที่ก้นของเขาอีกครั้ง
ครั้งนี้ซูอี้ซิ่วใช้ความระมัดระวังแต่เขาก็ยังถูกเตะล้มลงไปกับพื้นอยู่ดี
“แกตาย!” ซูอี้ซิ่วโกรธจัด เขาระเบิดพลังของเขาออกมา
พลังที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ทุกคนหวาดกลัวมาก และบางคนถึงกับถอยกลับ
“ฉินเฉิง ตามฉันมานี่!” เซียงเหม่ยเอ๋อตะโกนออกมา
ฉินเฉิงเดินมาข้างๆเซียงเหม่ยเอ๋อ และพูดออกไปว่า “ไม่ต้องกลัว ฉันเห็นทางได้ชัดเจน เมื่อกี้ฉันเป็นคนเตะซูอี้ซิ่วเอง”
เซียงเหม่ยเอ๋อขมวดคิ้ว เธอแอบตกใจเล็กน้อย “นายพูดจริงเหรอ?”
ฉินเฉิงหัวเราะออกมา “ก็จริงหนะสิ ถ้าหากไม่เชื่อฉันจะไปเตะให้ดูอีกที”
พูดจบฉินเฉิงก็ก้าวออกไป ชั่วพริบตาเขาก็เตะไปที่ก้นของซูอี้ซิ่วอีกครั้ง
ซูอี้ซิ่วล้มลงและตะโกนว่า “ตกลงมันคือตัวอะไรกันแน่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะฆ่ามัน!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของซูอี้ซิ่ว เซียงเหม่ยเอ๋อก็ยิ้มออกมาทันที
“นายเป็นปรมาจารย์พลังจิต?” เซียงเหม่ยเอ๋อถามออกไปด้วยความตกใจ
ฉินเฉิงยิ้มและตอบว่า “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ถ้าพูดจริงๆต้องบอกว่าฉันเหนือกว่านั้น”
“ชิ ขี้โม้!” หลังจากที่ฉินเฉิงสามารถมองเห็นทาได้อย่างชัดเจน เซียงเหม่ยเอ๋อก็รู้สึกโล่งใจ
เมื่อเข้าใกล้เจ้าแห่งโอสถ พลังของออร่าที่สัมผัสได้ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ฉินเฉิงตัดสินใจที่จะไปเตะซูอี้ซิ่วอีกครั้งก่อนที่ไม่มีโอกาส
ดังนั้น เขาจึงรีบไปที่ด้านหลังของซูอี้ซิ่ว ยกเท้าถึง และในตอนที่เขากำลังจะเตะ
หมอกที่อยู่รอบๆก็หายไปทันที!
“นายคิดจะทำอะไรของนาย?!” ซูอี้ซิ่วจ้องมาที่ฉินเฉิงด้วยความโกรธ บนหน้าผากของเขามีเส้นเลือดปูดขึ้นมา