สวีเซี่ยวเซี่ยว ตกใจจนใบหน้าซีดขาว ร่างกายของเธอสั่นเทา
ตอนนี้เหมือนกับว่าเธอกำลังยืนอยู่บนกองไฟที่ลุกไหม้
เธอยื่นมือสั่นๆของเธอออกไป จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความอ้อนวอน “ฉิน…ฉินเฉิง ฉันเคยสอนนายมาก่อน นายลืมไปแล้วเหรือตอนที่ฉันเคยให้วิชาความรู้กับนาย….”
ฉินเฉิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้เธอจำได้แล้วเหรอว่าเคยสอนฉันมาก่อน?”
สวีเซี่ยวเซี่ยว รีบหันไปหาลูกศิษย์คนอื่นๆ จากนั้นก็อ้อนวอนออกไปว่า “พวกเธอรีบมาช่วยฉันพูดหน่อยเร็ว…”
ในตอนนั้นทุกคนกลัวว่าทำอะไรลงไปแล้วอาจจะมีผลกระทบ ทุกคนจึงอยู่นิ่งๆโดยไม่พูดอะไร
“พวกนายที่เหลือจับโต๊ะตัวนี้หั่นเป็นชิ้นๆและเอาไปให้เธอกิน” หยางหู่พูดพร้อมโบกมือ
ลูกน้องที่อยู่ข้างๆของเขารีบวิ่งเข้าไปหาสวีเซี่ยวเซี่ยว
“คุณฉิน พวกเราไปกันเถอะครับ” หยางหู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินเฉิงเดินตามหยางหู่ขึ้นไปที่ห้องบนชั้นที่สอง หลังจากที่เข้าประตูไปเขาก็เห็นของขวัญหลายชิ้นวางอยู่บนโต๊ะ
“คุณฉิน เชิญนั่ง!” หยางหู่พูดออกมา
ฉินเฉิงเองก็ไม่ได้เกรงใจ พยักหน้าและนั่งลงไป
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ หยางหู่รินเหล้าและดื่มมันเข้าไปเพื่อเป็นการขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จากนั้นเขาก็หยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาจากกระเป๋า ยิ้มและพูดออกมาว่า “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ คุณฉินได้โปรดรับมันเอาไว้”
ฉินเฉิงเข้าใจว่าถ้าเขาไม่รับมันไว้มันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของหยางหู่
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็กำลังขาดเงินอยู่พอดี เขาจริงรับมันไว้อย่างไม่เกรงใจ
ทานอาหารและดื่มเหล้ากันอย่างเพลิดเพลิน
หยางหู่ขยับริมฝีปากเหมือนว่าจะพูดอะไร
“มีอะไรก็พูดมาเถอะ” ฉินเฉิงเมื่อแบบนั้นจึงถามออกไปทันที
หยางหู่ลูบมือของเขาและพูดว่า “คุณฉิน คุณได้ยินมาบ้างหรือยัง ตระกูลซูกำลังรวมกลุ่มนักธุรกิจ เมื่อถึงเวลานั้นคนที่มีชื่อเสียงในปีนังจะมารวมตัวกันที่นั่น…”
“อ่า ฉันได้ยินมาบ้างแล้ว แล้วยังไงต่อ?” เรื่องนี้ซูวานได้พูดกับฉันเอาไว้แล้ว และก็ออกคำเชิญมาแล้วด้วย
หยางหู่ถอนหายใจและพูดว่า “ฉันรู้ว่าคนอย่างฉันไม่มีค่าพอที่จะอยู่ในสายตาของตระกูลซู แต่ว่าการรวมตัวทางด้านธุรกิจในครั้งนี้สำคัญมาก…..”
“นายอยากจะไป?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วและถามออกมา
หยางหู่ถอนหายใจอีกครั้ง เขาวางแก้วที่ถืออยู่ในมือ “ตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยากไปขนาดนั้น แต่ฉันไม่เข้าใจขนาดคนของตระกูลหลินยังได้รับเชิญ แต่คนอย่างฉันกลับไม่ได้รับเชิญ คุณลองบอกหน่อยว่ามันเป็นเพราะอะไร? สถานะของตระกูลหลินในปีนังมันก็เป็นแค่ตระกูลชั้นสาม!”
“ตระกูลหลิน?” ฉินเฉิงพูดออกมาพร้อมขมวดคิ้ว
ใช่ ไม่ต้องพูดถึงงานที่ตระกูลซูจะจัดขึ้นเลย ขนาดคนอย่างหยางหู่เองยังมองไม่เห็นตระกูลหลินอยู่ในสายตา
“หรือว่าทุกอย่างเป็นแผนของซูวาน?” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
หยางหู่พูดออกมาต่อ “และทุกคนในปีนังที่อยู่ในระดับเดียวกับฉันก็ได้รับคำเชิญกันหมด มีเพียงแค่ฉันคนเดียว… ฉันคิดไปคิดมามันน่าจะมีอยู่เหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือครั้งที่แล้วฉันเคยไปทำให้คุณหนูซูขุ่นเคือง ดังนั้นฉันจึงอยากให้คุณช่วยฉัน….”
หยางหู่เงียบไปสักพักและพูดออกมาอีกว่า “แน่นอน ฉันไม่ได้ใช้คุณฉินฟรีๆแน่! ที่ถนนใหม่มีย่านการค้าที่มีชื่อเสียง แถมยังเป็นศูนย์รวมของการบันเทิง ฉันรับปากถ้าคุณฉินช่วยฉัน ฉันจะยกที่ตรงนั้นให้กับคุณเลย คุณคิดว่าอย่างไง?”
เมื่อมาถึงตรงนี้มันก็ทำให้ฉินเฉิงตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหยางหู่จะใช้วิธีนี้กับเขา
เมื่อเห็นใบหน้าที่จริงจังของหยางหู่ ฉินเฉิงก็พยักหน้าและพูดออกมาว่า “ฉันทำได้แค่ลองดูเท่านั้น นายอย่าไปหวังอะไรมากหละ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหยางหู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
เขารีบของคุณออกมาทันที “ถ้าคุณพุดแบบนี้ฉันก็สบายใจขึ้นเยอะ! คุณฉิน ขอบคุณมากจริงๆ หลังจากนี้ถ้าหากมีอะไรให้ฉันช่วยเหลือก็เอ่ยปากออกมาได้เลย!”
“ได้” ฉินเฉิงพยักหน้าเป็นการตกลง
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสามกว่าๆ
หยางหู่ออกมาส่งฉินเฉิงด้วยตัวเอง เมื่อเดินออกมาถึงห้องโถง ก็เห็นสวีเซี่ยวเซี่ยว เดินออกมาพอดี
ใบหน้าของเธอช้ำ ปากของเธอบวม มันดูแย่มาก
และหลังจากที่เธอเห็นว่าฉินเฉิงกำลังจ้องมองไปที่เธอ เธอก็ตกใจเป็นอย่างมาก
หน้าตาแบบนี้ค่อนข้างน่าสมเพช
อย่างไรก็ตาม คนอย่างเธอสมควรได้รับ ไม่คู่ควรกับความเห็นอกเห็นใจ
“คุณฉิน เดินทางปลอดภัย” หยางหู่พูดออกมาอย่างสุภาพ
ฉินเฉิงตอบรับและออกเดินทางจากหวงกง
หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ฉินเฉิงก็นำยาที่เหลือที่เขาเคยซื้อไว้ออกมา และเริ่มต้มยาตามเทคนิคลับที่บันทึกไว้ในหนังสือยาศักดิ์สิทธิ์
มันคือยาบำรุงหวนหยวน ผลของมันคือการทำให้ร่างกายของมนุษย์กลับมามีชีวิตชีวา และมันยังถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือยาจีนโบราณอีกหลายเล่ม
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า จากนั้นก็มีเสียงเบาๆเหมือนถั่วแตก เม็ดยาที่ใส่ลงไปในหม้อกำลังแตกออก
เม็ดยาเหล่านี้มีกลิ่นหอม มันแตกต่างกับยาครั้งล่าสุดที่ปรุงขึ้นมาเพื่อรักษาคุณปู่ซูอย่างชัดเจน
“ให้คุณปู่ซูสี่เม็ด ส่วนที่เหลือเอาไปให้คุณปู่ของฉัน” ฉินเฉิงแบ่งยาออกเป็นสองส่วนด้วยถุงกระดาษและคิดกับตัวเอง
ในคืนนั้นฉินเฉิงไม่ยอมพักผ่อน เขาเลือกที่จะขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อฝึกฝน
ด้านบนของภูเขามีประชากรเบาบางและการรวมตัวของออร่านั้นเร็วกว่าที่อื่นมาก ดังนั้น ออร่าบางจึงสามารถมองเห็นได้บนยอดเขา
ตลอดทั้งคืนจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
“ฟู้วว…” หลังจากที่ฉินเฉิงลืมตาขึ้น เขาก็เป่าลมหายใจสีดำออกมาจากปากของเขา
ตามหลักสูตรของการฝึกวิชา นี่เป็นหนึ่งในกระบวนการ หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนจะต้องนำพลังที่ขุ่นอยู่ในร่างกายไล่ออกมาส่วนหนึ่ง
“ลมปราณขั้นที่สอง….” ฉินเฉิงกำหมัดของเขา จากนั้นเขารับรู้ได้ถึงพลังที่เปี่ยมล้นไปทั่วร่างกาย และในตอนนั้นสัมผัสต่างๆของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อยืนอยู่บนยอดเขา คุณจะมองเห็นได้ไกลกว่าพันลี้ และยังสามารถได้ยินเสียงของธรรมชาติในตอนที่ออกกำลังกาย
“ตอนนี้คงไม่มีใครในปีนังที่สามารถมาเป็นคู่ต่อสู้กับฉันได้แล้ว” ฉินเฉิงพูดออกมาด้วยความมันใจ
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จฉินเฉิงก็ขับรถไปที่คฤหาสน์ของตระกูลซู
เมื่อเดินไปที่สนามหญ้าฉินเฉิงก็เห็นว่าคุณปู่ซูตื่นขึ้นมาแล้ว เขากำลังยืนอยู่บนสนามหญ้า กำลังรำมวยจีนอยู่กับชายกวัยกลางคน
นอกจากนั้นยังมีซูวานและคนของตระกูลซูยืนดูอยู่ข้างๆ
ฉินเฉิงไม่ได้เข้าไปรบกสน เขาแค่ยืนดูอยู่เงียบๆ
ถึงแม้ว่าชายกลางคนคนนั้นจะดูไม่ค่อยแข็งแรง แต่ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเลือด
แต่ว่า…ลมปราณของเขาไม่ค่อยแข็งแกร่ง ถ้าเอามาเทียบกับฉินเฉิงแล้วยังห่างชั้นกันอีกไกล
ในตอนนั้นฉินเฉิงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาทำได้แค่ส่ายหน้าและถอนหายใจ
“นี่เจ้าหนุ่ม ถอนหายใจแบบนั้นหมายความว่าอย่างไง? ดูถูกฉัน?” ชายวัยกลางคนหยุดการเคลื่อนไหวและพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
ว่ากันว่าเก่งไม่เก่งต้องดูที่ผลลัพธ์
ฉินเฉิงรีบอธิบายออกไป “ฉันไม่ได้มีความหมายอะไรอื่นเลย แค่ลมปราณที่คุณปล่อยออกมา…มันยังไม่พอ”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนไม่พอใจมากขึ้น เขารีบเดินเขามา จ้องมาที่หน้าของฉินเฉิง “ดูเหมือนว่านายเองก็คงเป็นวรยุทธ”
“อ่าอ่า พอได้แล้วๆ เขาคือคนที่ช่วยชีวิตคนที่ฉันรักเอาไว้ ” คุณปู่ซูพูดออกมา “มา ฉันจะแนะนำให้พวกนายรู้จักสักหน่อย นี่คือคนที่รักษาอาการป่วยของฉัน ฉินเฉิง”
ชายวัยกลางคนมองที่ฉินเฉิงอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“คนคนนี้คือหวงหลง เขาเกษียณออกมาจากกองทัพ และเขาก็เป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้”
ชายที่มีชื่อว่าหวงหลงเดินเข้ามา พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าหนุ่ม เรามาลองดูกันหน่อยไหม?”
ฉินเฉิงที่เพิ่งจะสำเร็จลมปราณขั้นสองมาเขาเองก็มีความรู้สึกที่อยากจะต่อสู้ในใจ แต่นี่เขากำลังอยู่ต่อหน้าคุณปู่ซู ฉินเฉิงจึงไม่พูดอะไรมาเขาโบกมือและพูดว่า “มันคงไม่ดีมั้งครับ ต่อสู้กันไม่ว่าใครจะต้องได้รับบาดเจ็บ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งนั้น”
คำพูดนั้นยิ่งไปทำให้หวงหลงโกรธมากกว่าเดิม เขายิ้มและพูดออกมาว่า “บาดเจ็บ? เจ้าหนุ่ม เอาเถอะน่า ถ้าหากนายทำให้ฉันบาดเจ็บได้ นายก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าหวงหลง!”
“คุณหวง ฉินเฉิงก็เป็นแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง มันไม่คุ้มหรอกที่คุณจะมาลงมือ ให้ฉันเป็นคนสั่งสอนเขาแทนได้ไหม?” ในตอนนั้นบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดออกมา
บอดี้การ์ดคนนั้นไม่ใช่ใคร เขาคือคนที่ขับรถพาซูวานกลัมาที่บ้านเมื่อไม่กี่วัน
เขารู้สึกไม่พอใจกับฉินเฉิงตั้งแต่แรกแล้ว วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้จัดการกับฉินเฉิง
ฉินเฉิงรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ นายมันอ่อนแอเกินไป ฉันกลัวตัวเองไม่ระวังไปทำให้นายตายเข้า….”