“งั้นนายก็ขึ้นไปสิ!” หญิงสาวคนนั้นพูดออกมา
“มันจะไปมีอะไร!” ถึงแม้ว่าฉูเป่ยชวนจะแต่งกลอนไม่เป็น แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ขี้อายหรือกลัวคน พูดง่ายๆก็คือเขาเป็นคนหน้าหนา ดังนั้นเขาจึงขึ้นไปบนเวที
และในตอนนั้นเซี่ยเจียงก็พูดถึงบทกลอนที่เขาแต่งออกมา น้ำในแม่น้ำสะท้อนถึงดวงจันทร์ ส่วนแสงไฟสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าเธอ
กลอนบทนี้ไม่ได้ไพเราะอะไรขนานนั้น แต่กลุ่มสาวๆที่คลั่งไคล้ในตัวเขาก็กรี๊ดดังสนั่น
ส่วนกวีคนอื่นๆก็ไม่สบายใจเนื่องจากก็รู้ว่าที่เซี่ยเจียงแต่งออกมามันไม่ได้ดีมากมายอะไร แต่สำหรับพวกเขาแล้วจะเอาอะไรไปสู้กับความแข็งแกร่งของเซี่ยเจียง
ในชั่วพริบตาเขาก็ได้ประลองกับกวีไปอีกหลายคน และในตอนที่เซี่ยเจียงกำลังประกาศออกไปว่าเขากำลังจะเข้ารอบต่อไป จู่ๆฉูเป่ยชวนก็ยกมือขึ้นและพูดออกมาว่า “ฉันมีกลอนบทหนึ่งอยากให้ทุกคนช่วยฟังหน่อยว่ามันใช้ได้หรือยัง ช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”
เซี่ยเจียงหัวเราะและพูดออกมาว่า “น้องชายเชิญได้เลย”
ฉูเป่ยชวนกระแอมออกมา จากนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกมาว่า “สาวงามย่างกรายมา เรียกตัวข้าว่าพี่ใหญ่ ! เป็นไงบ้าง?”
เมื่อเสียงเงียบลง ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา
ไม่รู้ว่าผู้หญิงจำนวนเท่าไหร่ที่ชี้มาทางฉูเป่ยชวนด้วยท่าทางเหมือนกับว่าฉูเป่ยชวนเป็นลิง
ส่วนแขกคนสำคัญต่างก็นำมือขึ้นมาปิดปากและหัวเราะเบาๆ
“ขำบ้าบออะไร มันดีกว่าที่นายเขียนไม่ใช่เหรอ?” ฉูเป่ยชวนพูดออกไปราวกับว่าเขาไม่ได้เขินอายอะไรเลย
เซี่ยเจียงยังคงยืนขึ้นอย่างหล่อเหล่าและพูดว่า “น้องชายไม่เข้าใจว่าอะไรคือกวี แต่ถ้าหาชอบ ฉันจะสอนให้ฟรีก็ได้”
“สอนฉัน? ฉันต้องการให้นายสอนตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉูเป่ยชวนยิ้มเย้ยออกมา “เอาใหม่อีกท่อน!”
พูดจบฉูเป่ยชวนก็กระแอมคอของตนเองและพูดออกมาต่อว่า “ฉันหล่อขนาดนี้ผู้หญิงคงอดใจไม่ไหว! ใครอยากจะกอดก็เข้ามาได้เลย!”
“หน้าไม่อายจริงๆ!”
“ทำไมหน้าด้านขนาดนี้ หนากว่ากำแพงเมืองจีนอีกมั้ง!”
“ใครจะไม่ดูถูกนายบ้าง น่าสนใจจริงๆ!”
ฉินเฉิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลดูเรื่องตลกนี้อย่างเงียบๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและพูดออกมาว่า “ฉูเป่ยชวนคนนี้ ใช้ชีวิตได้คุ้มค่าจริงๆ!”
เรื่องตลกกินเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแต่เซี่ยเจียงยังคงรักษาท่าทางของเขาไว้เสมอ ยิ้มเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิบนใบหน้าของเขา
นี่สำหรับเหล่าหญิงสาวแล้วมันยากมากที่จะอดไปหลงใหลเขา
หลังจากแต่งกลอนจบ เซี่ยเจียงก็เดินลงมาจากเวที
เขาถือพัดอยู่ในมือและเดินไปที่เวทีประลอง
เมื่อเห็นแบบนั้น ฉินเฉิงก็หรี่ตาลงและพูดว่า “ในที่สุดก็มาแล้วสินะ”
เมื่อมองเห็นเซี่ยเจียง ทันใดนั้นคนที่กำลังประลองกันอยู่บนเวทีก็หยุดมือทันที พวกเขามองมาที่เซี่ยเจียงด้วยความเคารพและกล่าวว่า “คุณชายเซี่ย ช่วยชี้นำพวกเราหน่อยได้ไหม?”
เซี่ยเจียงหุบพัดในมือของเธอ ยิ้มเบาๆและพูดว่า “ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ!”
หลังจากพูดจบเขาก็กระโดดขึ้นราวกับเหยียบอยู่บนสายลม ขึ้นไปบนสังเวียน
“ว้าว พี่เซี่ยเจียงหล่อมากเลย!” สาวๆที่มองอยู่ต่างกรี๊ดกันยังกับคนบ้า
คนที่อยู่บันสังเวียนเป็นแค่เจ้าแห่งพลังปราณธรรมดา แน่นอนว่าเอามาเทียบกับเซี่ยเจียงไม่ได้
แต่ในตอนที่เซี่ยเจียงลงมือเขาประนีประนอมมากและเขาก็จะบอกถึงข้อด้อยของอีกฝ่าย
“เซี่ยเจียงคนนี้ ซื้อใจคนเก่งจริงๆ” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
การปฏิบัติของเซี่ยเจียงคล้ายกับ เมืองซวนหมิงในซีหนาน
แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือเซี่ยเจียงคนนี้ฉลาดกว่า เขาไม่ได้พึ่งเพียงแค่พลังเพียงอย่างเดียว ค่อยใช้วิธีการซื้อใจและทำทุกอย่างแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป แบบนี้มันจะทำให้ถูกตรวจพบได้ยากกว่า
“เอาหละ ถ้าทุกท่านฝึกต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ผมเชื่อเลยว่าทุกคนจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน” เซี่ยเจียงยิ้มและพูดออกไป
“ขอบคุณมากครับคุณชายเซี่ย!” ทุกคนประสานมือกันด้วยความรู้สึกขอบใจ
และในตอนที่เซี่ยเจียงกำลังลงจากสังเวียน ฉูเป่ยชวนก็ก้าวขึ้นไป
เขาขวางทางเซี่ยเจียงเอาไว้และพูดขึ้นมาว่า “คุณชายเซี่ย ไม่ทราบว่าพอจะช่วยชี้แนะให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เซี่ยเจียงยิ้มและตอบว่า “ได้สิ”
“ทำไมถึงหน้าไม่อายขนาดนั้น! เขาอยากจะเอาชนะพี่เซี่ยเจียงจริงๆเหรอ?”
“หรือแค่อยากจะดึงดูดความสนใจของพี่เซี่ยเจียงกันแน่? ไร้เดียวงสา!”
“พี่เซี่ยเจียง รีบจัดการมันเลย!”
เมื่อเผชิญกับคำพูดของทุกคน ฉูเป่ยชวนก็ยังไม่ได้สนใจอะไร
ภายในช่วงเวลาที่ผ่านมาก ภายใต้การฝึกของซูวาน เขาเองก็ก้าวหน้ามาอย่างมาก ควบคู่ไปกับยาเม็ดที่ฉินเฉิงให้มา ตอนนี้เขาอยู่ในระดับที่ห้าของเจ้าแห่งพลังปราณ
ฉูเป่ยชวนสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็รวมพลังไว้ที่หมัดของเขา แต่ละหมัดที่เขาปล่อยออกมานั้นหนักแน่น มันพุ่งตรงมาที่เซี่ยเจียง!
หมัดนั้นร่ายรำราวกับมังกร และปล่อยส่วนโค้งที่เป็นรูปร่างไว้กลางอากาศ
“หมัดที่ดี!” คนที่มองอยู่รอบๆอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
แต่อย่างไรก็ตาม ระดับของฉูเป่ยชวนกับเซี่ยเจียงมันต่างกันเกินไป ไม่ว่าจะต่อยออกไปสักกี่หมัดก็ไม่ได้สัมผัสโดนร่างกายของเซี่ยเจียงเลยแม้แต่น้อย!
สิ่งนี้ทำให้แฟนๆของเซี่ยเจียงคลั่งไคล้มากยิ่งขึ้น และผู้ชมต่างพากันโห่ร้อง
“พี่เซี่ยเจียง เอาคืนเลย!”
“จัดการมัน! สั่งสอนมันให้หลาบจำ!”
“อย่าปล่อยมันไปเป็นอันขาด!”
เซี่ยเจียงหลบไปพร้อมกับยิ้มออกมา “หมัดที่นายปล่อยออกมาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดูเหมือนว่าฉันจะไปทำอะไรให้นายโกรธเอาเสียแล้ว!”
ฉูเป่ยชวนหัวเราะและพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น “พูดให้มันน้อยๆหน่อย นายมีดีแต่หลบหรือไง!”
ฉูเป่ยชวนเป็นคนประเภทที่ว่าถ้าลงมือทำแล้วจะไม่มีทางย้อนกลับไป
เขายังคงโจมตีใส่เซี่ยเจียงอย่างสุดกำลัง ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“ร่างกายและความอดทนของนายนี่มันสุดยอดจริงๆ” เซี่ยเจียงหรี่ตาและพูดออกมา
ฉูเป่ยชวนหัวเราะและตอบกลับไปว่า “ถ้าหากนายยังไม่ลงมือ ฉันจะโจมตีนายยันพรุ่งนี้เลยก็ได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นคิ้วของเซี่ยเจียงก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
เขาถอนหายใจและพูดออกมาว่า “ก็ได้ งั้นฉันจะทำให้นายพอใจ…”
เมื่อพูดจบร่างกายของเซี่ยเจียงก็ดูแข็งแกร่งขึ้นทันที จากนั้นร่างของเขาก็หายไป!
สีหน้าของฉูเป่ยชวนเปลี่ยนไป เขารียหันหลังแต่ในตอนที่เขากำลังจะปล่อยหมัด เขาก็ถูกเซี่ยเจียงโจมตีเข้าที่ศีรษะ
เป็นการโจมตีง่ายๆและฉูเป่ยชวนกลับล้มลงกับพื้นทันที
“เจ้าหนุ่มหน้าหนาคนนั้นล้มไปแล้วเหรอ?”
“พี่เซี่ยเจียงแค่สมผัสตัวนายแค่นดิดเดียว แค่นั้นนายก็ล้มแล้วเหรอ? หน้าไม่อาย!”
สีหน้าของฉูเป่ยชวนเปลี่ยนไป มันน่าเกลียดมาก เขาพยายามอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นมาได้
“นี่นาย นายแพ้แล้วหละ” เซี่ยเจียงส่ายหน้าและพูดออกไป
ฉูเป่ยชวนเตรียมที่จะสู้ต่อ แต่จู่ๆเสียงของฉินเฉิงก็ดังขึ้นในหัวของเขา “ลงมาเถอะ นายกับเขาห่างชั้นกันเกินไป ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อไปแล้ว”
ฉูเป่ยชวนถอนหายใจและกระโดดลงจากเวทีอย่างสิ้นหวัง
ภายในไม่กี่ก้าว เขาเดินไปที่ด้านข้างๆของฉินเฉิงและพูดว่า “อาจารย์ ผมแค่อยากให้อาจารย์เห็นความสามารถของมันเท่านั้น แต่เจ้านั่นมันแข็งแกร่งเกินไป ผมทำอะไรมันไม่ได้เลย…”
ฉินเฉิงลูบไปที่หัวของฉูเป่ยชวนเบาๆและพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนเดียวเท่านั้น ถ้าฉันอยากจะฆ่าเขา ฉันต้องให้นายเป็นคนนำทางด้วยเหรอ?”
พูดจบฉินเฉิงก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน