พูดจบฉินเฉิงก็พาซูวานกลับมาที่ห้อง
ส่วนทางด้านของชูชีเชิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาและส่ายหน้า
หลังจากกลับมาถึงห้องไม่นาน ก็มีเด็กใน ตำหนักเทพโอสถเดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าใหญ่ๆสองใบ
ฉินเฉิงลุกขึ้นและถามออกไปว่า “นี่มันคืออะไร?”
“นี่เป็นน้ำใจของท่านเจ้าสำนัก” เด็กในสำนักพูดออกมาว่า “ท่านบอกว่า ถ้าหากใช้หมดแล้วสามารถไปหยิบมาเพิ่มได้เลย”
ฉินเฉิงรีบลุกขึ้นทันที และวิ่งไปมองที่ตระกร้า
เห้ย ของทุกอย่างที่อยู่ในตะกร้าล้วนแต่เป็นสมุนไพรชั้นดี แถมยังมีของที่กลั่นมาเสร็จแล้วด้วย!
“นายมั่นใจเหรอว่าใช้หมดแล้วสามารถไปเอามาใหม่ได้?” ฉินเฉิงกลืนน้ำลายและถามออกไป
“ครับ นี่เป็นคำสั่งที่ท่านเจ้าสำนักสั่งมาเองเลย” เด็กในสำนักตอบกลับมา
จากนั้นเขาก็วางบัตรธนาคารหนึ่งใบไว้บนโต๊ะและพูดออกมาว่า “นี่คือเงินเดินของคุณ ได้โปรดรับมันไว้ด้วย”
ฉินเฉิงพูดออกมาว่า “สวัสดิการของ ตำหนักเทพโอสถนี่ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ…”
เด็กในสำนักคนนั้นส่ายหน้าและพูดออกมาว่า “เกรงว่ามีแต่คุณเท่านั้นที่ได้สวัสดิการแบบนี้”
พูดจบพวกเขาก็เดินออกไป
ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัว เขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมท่านเจ้าสำนักถึงทำแบบนี้? ทำไมต้องมาทำดีกับเขาด้วย?
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไงมันก็เป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นฉินเฉิงจึงไม่คิดมาก
“ถ้าหากเป็นแบบนี้ ช่องว่างระหว่างทรัพยากรของฉันกับซูหยู่ก็คงไม่ต่างกันอีกต่อไปแล้ว” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
ภูมิหลังของซูหยู่คือตระกูลซู แต่ภูมิหลังของฉินเฉิงคือ ตำหนักเทพโอสถ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมั่นใจอย่างมากว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาจะต้องไปท้าสู้กับซูหยู่
แต่ในตอนนี้ซูหยู่ก็ได้ไปท้าสู้กับนักต่อสู้รุ่นใหม่เป็นสิบๆคน และก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้เลย!
นอกเสียจากคนที่กำลังฝึกวิชาอยู่ ตอนนี้ถ้าพูดแล้วซูหยู่คงจะเป็นนักต่อสู้รุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุด
ขนาดประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้ยังยกย่องและมอบรางวัลให้กับเขาด้วยตัวเอง
ซู่หยูได้รับการยกย่องในฟอรัมศิลปะการต่อสู้ แต่คนหนุ่มจำนวนมากก็เอาซูหยู่เอาเป้าหมายและแบบอย่าง
หลังจากนั้นสามวัน ฟอรั่มนักต่อสู้ก็ได้ออกร่างชื่อที่แข็งแกร่งของคนรุ่นใหม่พร้อมกับขั้นของความแข็งแกร่งออกมา
คนแรกก็คือ เถิงอาวแห่งตระกูลเถิง เขาคือ จอมยุทธ์ระดับสาม
คนที่สองคือ จู้เหยาแห่งตระกูลจู้ เหมือนกับเถิงอาว คือเป็นจอมยุทธ์ระดับสาม
คนที่สามคือ เฉียวเซิงแห่งจงหยวน เขาเป็นจอมยุทธ์ระดับสองขั้นสูงสุด
คนที่สี่คือฮั่นจิ่วเถียนแห่งตระกูลฮั่น เหมือนกันเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับสองขั้นสูงสุด
คนที่ห้าก็คือซูหยู่ ทุกวันนี้เขาคือจอมยุทธ์ระดับสองที่เข้าใกล้จุดสูงสุดมากที่สุด ส่วนลำดับที่หกคือจงเผิงและเจิงอี้ เนื่องจากจงเผิงยังอยู่ในช่วงของการฝึกฝนจึงยังไม่มีการขยับเขยื่อนใดๆตอนนี้ซูหยู่น่าจะแซกหน้าของเขาไปแล้ว
ฉินเฉิงมองดูโทรศัพท์อยู่นาน หาชื่อของตัวเองไม่หยุด สุดท้ายเขาก็ไปเจอชื่อที่อยู่ตำแหน่งที่สามสิบแปด เขียนเอาไว้ว่า ฉินเฉิง
“ลำดับสามสิบแปด?” ฉินเฉิงเกาหัวของเขา “มันแย่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีก”
จากนั้นเขาก็เลื่อนไปหาชื่อของคนอื่นๆเช่นเหรินกุ้ยอี เหล่ยหยุน ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล ประมาณที่ห้าสิบกว่าๆ
“รายชื่อเหล่านี้ค่อนข้างหน้าสงสัย มีลูกศิษย์ของอาจารย์ชื่อดังหลายท่านไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้” ซูวานพูดออกมา เช่นตัวของเธอเอง เธอเองก็เป็นจอมยุทธคนหนึ่ง แต่ว่าไม่ใครรู้
ฉินเฉิงพยักหน้า เขาโยนโทรศัพท์ไปด้านข้างๆ และพูดว่า “รอหลังจากที่ฉันฆ่าซูหยู่ก่อน จากนั้นฉันก็จะได้กลายเป็นที่ห้าแล้ว”
ตอนนี้ฉินเฉิงยังไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะไปสู้กับขั้นจอมยุทธ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาโดยเร็วที่สุด
นักต่อสู้ทุกคนบนโบกนี้ล้วนแล้วแต่ต้องฟังคำสั่งและรับการลงโทษจากสมาคมศิลปะการต่อสู้จากจิงตู และการตัดสินใจทั้งหมดก็จะขึ้นอยู่กับพวกเขา
แน่นอน ขอแค่ไม่ทำอะไรที่มันเกินไป สมาคมศิลปะการต่อสู้จากจิงตูก็จะทำเป็นหูทวนลมให้
หลังจากที่ผ่านมาหลายวัน ฉินเฉิงก็เอาแต่ตั้งใจฝึกฝน
ในร่างกายของเขามีจิตแห่งมังกรรวมกับยาที่ท่านเจ้าสำนักเป็นคนมอบให้ทำให้ความเร็วในการพัฒนของฉินเฉิงนั่นรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน เขาก็ก้าวจากระดับที่สามไปยังสุดยอดของระดับที่สี่
ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก และกระดูกสีเหลืองทองของเขาก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
…..
จิงตู ตระกูลซู
ตระกูลซูแบ่งออกเป็นแปดสาขา พ่อของซูหยู่ ซูฉีไห่เองก็เป็นหนึ่งในสาขานั้นและเป็นสาขาที่อ่อนแอที่สุด คืออยู่ในอันดับที่แปด
วันนี้เป็นวันที่สาขาทั้งแปดของตระกูลซูรวมตัวกัน
ทุกคนของตระกูลซูต่างแต่งตัวดี ส่วนทางด้านของซูหยู่เองก็รีบปรับเปลี่ยนตารางงานของเขาเพื่อจะกลับมาที่บ้านตระกูลซู
ในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ มีโต๊ะยาวเกือบสิบเมตร และซูฉีไห่ที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของตระกูลซูในระดับจอมยุทธ ก็นั่งอยู่บนที่นั่งหลัก
“ผู้อาวุโส” เสียวหยู่เชี้ยนรีบวิ่งเข้ามาและมานั่งอยู่ข้างๆซูฉีไห่
ซูฉีไห่ทานเนื้อที่อยู่ในมือและไม่ได้พูดอะไร
หลายปีที่ผ่านมาเขาอยู่ด้านนอกเที่ยวเล่นกับผู้หญิงมาตั้งหลายคน แต่เสียวหยู่เชี้ยนสำหรับเขาแล้ว เขาไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆกับเธอเลย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะความสามารถของเสียวหยู่เชี้ยน เธอคงจะโดนถีบหัวส่งไปตั้งนานแล้ว
“พ่อ” ในตอนนั้นเองซูหยู่ก็วิ่งเข้ามา
หลังจากที่เห็นซูหยู่ ใบหน้าของซูฉีไห่ก็มีรอยยิ้มขึ้นมาทันที
เขาตบไปที่ที่นั่งข้างๆของเขาและพูดออกมาว่า “มานั่งนี่”
“ขอบคุณครับ พ่อ” ซูหยู่โน้มตัวลง จากนั้นก็ไปนั่งข้างๆของซูฉีไห่
ซูหยู่ที่นั่งอยู่ต่อหน้าพ่อของเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ในตระกูลใหญ่มีกฎเกณฑ์มากมาย ความรู้สึกที่เยือกเย็นและไม่แยแสมีให้เห็นมากมาย ขนาดเป็นพ่อลูกกันแท้ๆยังให้ความรู้สึกว่าเป็นคนอื่น
และซูฉีไห่คนนี้เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของตระกูลซู พลังของเขาอยู่ในขั้นสุดยอดของจอมยุทธ ในสายตาของคนทั้งประเทศ เขาถึงได้ว่าเป็นเบอร์ต้นๆ
“ช่วงนี้การฝึกเป็นอย่างไรบ้าง” ซูฉีไห่กินเนื้อพร้อมกับถามออกมา
ซูหยู่พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “ตอนนี้ผมเป็นจอมยุมธระดับสองแล้วครับ”
ซูฉีไห่พยักหน้า “พอไหวๆ ได้ยินมาว่าลูกกับฉินเฉิงแห่งปีนังได้พนันกันเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของซูหยู่ก็ดูไม่ค่อยดีนัก
“ครับ ท่านพ่อ” ซูหยู่พยักหน้าและตอบกลับมา
ซูฉีไห่วางตะเกียบที่อยู่ในมือ เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ลูกเป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลซู ทำไมต้องไปพนันกับคนที่ไม่มีชื่อเสียงแบบนั้นด้วย?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นซูหยู่ก็รีบลุกขึ้นทันที เขาคุกเข่าลงกับพื้นและพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ ผมผิดไปแล้ว ผมก็อแค่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะก้าวมาได้ถึงทุกวันนี้…”
ซูฉีไห่พูดออกมาว่า “พ่อเคยบอกลูกไปแล้วหรือยัง ถ้าหากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ต้องการอยู่ต่อไปอย่างยาวนาน มันก็จำเป็นต้องกำจัดศัตรูที่สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้ทั้งหมด?”
“ผู้อาวุโส ฉินเฉิงคนนั้นเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง” เสียวหยู่เชี้ยนที่อยู่ข้างๆพูดออกมา
ซูฉีไห่หันไปมองเธอ จู่ๆเขาก็ยกมือและตบไปที่หน้าของเธอ
มีเลือดไหลที่มุมปากของเสียวหยู่เชี้ยน และเธอก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
“ขอแค่มีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของพวกเรา พวกเราก็ต้องกำจัดมันโดยทันที ลูกไม่เข้าใจเรื่องนี้เหรอ?” ซูฉีไห่ถามออกมาอย่างเยือกเย็น
“ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ผมจะต้องกำจัดเจ้าฉินเฉิงคนนั้นต่อหน้าของคนทั่วโลกภายในครึ่งปี! ผมจะไม่ทำให้ตระกูลซูต้องขายหน้าเป็นอันขาด!” ซูหยู่รีบแสดงท่าทางของเขาออกมา