ที่ตรงหน้าของฉินเฉิง มันมีกำแพงที่สร้างขึ้นมาจากพลังปราณ
เมื่อกระแทกเข้ากับมัน กรงเล็บของเซี่ยฝูซานก็แทบจะหัก
เมื่อหันกลับมาไปมองรอบๆ เค้าก็มองเห็นเจ้าสำนักที่ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าของตำหนักเทพโอสถอย่างเย็นชา
สีหน้าของเซี่ยฝูซานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนสีหน้าของถังหยิงที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็ซีดไปในทันที
เธอกลับมาได้ยังไงกัน? เธอไม่ได้ถูกส่งตัวให้กับตระกูลซูแล้วอย่างงั้นเหรอ?
เซี่ยฝูซานดูเหมือนเสียสติไป เค้าตะโกนออกมาว่า: “ฉันไม่สนเรื่องตำหนักเทพโอสถอะไรนั่นแล้ว มันฆ่าหลายชายของฉัน มันจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของมัน! ถ้าใครเข้ามาขวาง ฉันจะฆ่ามันซะ!”
พร้อมกับความโกรธอย่างสุดขีดนี้เอง เซี่ยฝูซานก็ยกมือของเค้าขึ้นมาแล้วโจมตีเข้าไปที่เจ้าสำนักในทันที!
กรงเล็บมังกรที่พันด้วยโซ่สีดำ ออร่าที่น่าสะพรึงกลัวมันก็ได้กวาดล้างตำหนักเทพโอสถไปในทันที!
เจ้าสำนักก็ส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา เธอยกมือของเธอที่ขาวเนียนราวกับหยกขึ้นมาแล้วซัดเข้าไป
“ตูม!”
จู่ๆมันก็เกิดเสียงที่ดังสนั่นขึ้นมา!
มันเห็นเพียงแค่เซี่ยฝูซานที่น่าตกใจ เค้าอาเจียนเป็นเลือด ร่างของเค้าก็ค่อยๆโทรมลง!
ผมขาวพลิ้วไหวไปในอากาศ เสื้อผ้าของเค้ามันเต็มไปด้วยเลือด เค้าดูอับอาย!
ฝ่ามือเดียวเท่านั้น มันแข็งแกร่งมากจริงๆ!
“คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน” เจ้าสำนักพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ถ้าฉันต้องการจะฆ่าคุณ อย่างมากก็แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น”
เซี่ยฝูซานกัดฟันของตัวเอง แม้ว่าเค้าจะไม่ยอมรับมัน แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
ความแตกต่างของความแข็งแกร่งทั้งสองคนนั้น มันมากเกินไป ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายอะไรเธอได้เลย!
เซี่ยฝูซานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่เค้าพลิกมือ สีหน้าของเค้าก็แข็งทื่อแล้วพูดว่า: “ฉันประมาทเอง ฉันสัญญาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย”
หลังจากนั้น เซี่ยฝูซานก็ชี้ไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ถ้าแกมีความสามารถจริงๆ ก็อย่าเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเทพโอสถตลอดไปก็แล้วกัน!”
“ไม่หรอก พรุ่งนี้ฉันจะออกไปเอง” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเค้า
เซี่ยฝูซานก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับมันมากนัก เค้าถอนหายใจแล้วเดินจากไป
เจ้าสำนักก็เดินเข้ามาอย่างช้า ถังหยิงก็ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างหวาดกลัว
ในตอนนี้เอง ริมฝีปากที่ชมพูราวกับดอกซากุระของเจ้าสำนักก็เปิดออก เธอพูดขึ้นมาสั้นๆว่า: “คุกเข่าซะ”
ก่อนที่ถังหยิงจะตั้งตัว จู่ๆมันก็มีแรงจำนวนมหาศาลที่เข้ามาที่ตัวเค้า
ดังเสียง “ปัง” ที่ดังขึ้นมานี้เอง เข่าของถังหยิงก็ตกลงไปที่พื้น!
กระดูกหัวเข่าของเค้าแตกเป็นเสี่ยงๆ มันมีเลือดไหลทะลุกางเกงออกมาจนทำให้พื้นกลายเป็นสีแดง
“ท่าน…ท่านเจ้าสำนัก…” ถังหยิงตกใจ “ผมสำนึกผิดแล้ว มันเป็นเพียงแค่ความโลภชั่ววูบก็เท่านั้น…”
เจ้าสำนักก็เหลือบมองเค้าอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “ฉันไม่ต้องเห็นคนๆนี้อีกต่อไป”
“เจ้าสำนัก นี่ทำไมกัน!” ผู้อาวุโสใหญ่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
เจ้าสำนักก็เหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า: “คำพูดของฉัน เธอไม่เข้าใจเหรอ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ก็รีบก้มหัวแล้วพูดว่า: “เข้าใจแล้วครับ”
จากนั้นไม่นาน เสียงคร่ำครวญของถังหยิงและเสียงคร่ำครวญที่เจ็บปวดดังลั่นไปทั่วทั้งลาน เค้าส่งเสียงขึ้นมาราวกับหมูจะโดนเชือด
ฉินเฉิงนั่งอยู่ในที่พัก เค้าเอามือลูบไปที่คาง มันดูไม่ออกเลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
“เธอว่า… เจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถเธอก็แข็งแกร่งมาก ทำไมเธอไม่ฆ่าเซี่ยฝูซานหละ?” ฉินเฉิงเหลือบมองไปที่ซูวานที่อยู่ข้างๆแล้วก็ถามขึ้นมา
ซูวานคิดอยู่ซักพัก จากนั้นเธอก็เดาขึ้นมาว่า: “เธอน่าจะรู้แผนที่นายวางไว้อย่างงั้นเหรอ?”
“เป็นไปได้” ฉินเฉิงพยักหน้าขึ้นมาอย่างแรง “จุ๊จุ๊ มันพูดได้เลยว่า ตำหนักเทพโอสถดีกับฉันมากจริงๆ”
…
ในวันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็วิ่งออกไปยั่วยุเซี่ยฝูซานตามปกติ
แน่นอนว่าเค้าถูกทุบตีแล้วก็ต้องวิ่งหนีกลับมาอย่างอับอาย
แต่เซี่ยฝูซานก็ไม่กล้าเข้าไปมาในตำหนักเทพโอสถเลย เค้าทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ที่ด้านนอนแล้วตะโกนเสียงดังลั่นออกมา
ในแง่ของการดุด่านั้น ระดับของฉินเฉิงก็ไม่ได้สูงอะไรมาก แต่ฉูเป่ยชวนก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีมาก ดังนั้นฉินเฉิงก็เลยตามฉูเป่ยชวนออกมา เค้าชี้ไปที่เซี่ยฝูซานแล้วพูดว่า: “เป่ยชวน คนนี้ฉันมอบให้เป็นน่าที่ของนาย”
“โอเค อาจารย์ไปทำธุระของคุณเถอะ” ฉูเป่ยชวนพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ทั้งสองยืนอยู่ที่ประตูแล้วตะโกนด่าทอกันอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุด เซี่ยฝูซานก็โกรธมากจนเค้ากระอักเลือดออกมาแล้วสั่นไปทั้งตัว
ในทางกลับกัน ฉูเป่ยชวนก็มีท่าทีพอใจออกมาบนใบหน้าของเค้า เค้าไม่เป็นอะไรเลย
หลังจากผ่านมาได้ครึ่งเดือน ตำหนักเทพโอสถก็ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจขึ้นมา:
ในตอนประมาณบ่ายสามโมง ฉินเฉิงก็ออกไปจากตำหนักแล้วเค้าก็ถูกทุบตีจนประมาณสี่โมงเย็น เมื่อถึงเวลาสี่โมงครึ่งฉูเป่ยชวนกับเซี่ยฝูซานก็มายืนด่ากันต่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉากแบบนี้ปรากฏขึ้นในตำหนักเทพโอสถที่สง่างามมาโดยตลอด มันดึงดูให้ผู้คนที่อยู่ในระแวกนั้นเข้ามาดู
…
ที่เมืองจิงตู ในห้องหนังสือของซูจี้ไห่
เสียวหยู่เชี้ยนก็ร้องไห้ไม่หยุด
“พ่อค่ะ ไอ่เจียงนั่นมันทำเกินไปแล้ว!” เสียวหยู่เชี้ยนก็ร้องไห้ออกมา “มันกล้าตบหนู! นี่มันไม่ใช่แค่หนู มันไม่ไว้หน้าตระกูลซูของเราเลย!”
ซูจี้ไห่ขมวดคิ้วจนแน่น แม้ว่าตระกูลซูจะไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตำหนักเทพโอสถ แต่นี่มันก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลซูจะต้องกลัวตำหนักเทพโอสถ
การที่เจ้าสำนักไม่ไว้หน้าตระกูลซูแบบนี้ ซูจี้ไห่จะไปทนได้ยังไงกัน?
“ฉันเข้าใจแล้ว เธอไปซธ” ซูจี้ไห่โบกมือขึ้นมา “ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกนายท่านเอง”
“ค่ะ!” เสียวหยู่เชี้ยนทำหน้าบูดบึ้ง “ฉันจะฉีกหน้าของเธอซะ!”
หลังจากที่เสียวหยู่เชี้ยนออกไปแล้ว ซูจี้ไห่ก็ตัวสั่นแล้วร้องตะโกนออกมาอย่างมีความสุข
มันเห็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ใต้โต๊ะของเค้า
….
เวลามันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งปีก่อนที่ฉินเฉิงกับซูหยู่จะต้องมาประลองกัน
ส่วนเซี่ยฝูซานก็อยู่นอกประตู เค้ารอคอยมาสองเดือนแล้ว!
ในตอนนี้เอง การปลูกฝังพลังของเค้าหยุดนิ่ง พลังปราณของเค้ามันถดถอยลงมา
อย่างไรก็ตาม เซี่ยฝูซานก็ไม่คิดที่จะถอยกลัว เค้าเฝ้าติดอยู่ที่ประตูของตำหนักเทพโอสถตลอดทั้งวัน เมื่อฉินเฉิงออกมา เค้าก็จะวิ่งตามเข้าไปหาเรื่องตลอดเวลา
“ตูม!”
ในตอนเช้าของวันนี้ กล้ามเนื้อและกระดูกของฉินเฉิงก็ส่งเสียงดังขึ้นมา!
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็เปิดปากของเขาขึ้นมาเล็กน้อยแล้วลูกปัดลูกหนึ่งก็ลอยออกมาจากจุดตันเถียนของเค้าแล้วออกมาตามลำคอ
ลูกปัดนี้ มันก็คือจิตแห่งมังกรที่ชายชรามอบให้เค้า
“หึ พลังแห่งจิตวิญญาณมังกรนี้ มันถูกดูดกลืนจนหมดแล้ว” ฉินเฉิงลูบเข้าไปที่ลูกปัดแล้วก็พลางคิดกับตัวเอง
และตอนนี้ฉินเฉิงก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเจ็ด! พลังปราณในร่างกายของเค้ามันกว้างขวางมากเท่ากับท้องทะเล ความแข็งแกร่งของร่างกายมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก! แม้แต่รูขุมขนก็ละเอียดขึ้น มันทำให้แทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย
สิ่งนี้ยังทำให้ผิวของฉินเฉิงดูบอบบางยิ่งขึ้น มันดูราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
นี่ไม่ใช่เป้าหมายของฉินเฉิง ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเจ็ดนั้นยากที่จะเอาชนะ ซูหยู่ได้ แต่การเอาชนะเซี่ยฝูซานนั้น มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร
“การอยู่ที่ตำหนักเทพโอสถต่อไป มันจะไม่ทำให้ความแข็งแกร่งของฉันเพิ่มขึ้นมาได้อีก” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ได้เวลาออกไปข้างนอกแล้วสิ”
เค้ามองไกลออกไปแล้วพูดเบาๆขึ้นมาว่า: “ไปจัดการเซี่ยฝูซานก่อน”
ในตอนนี้เอง ความแตกต่างของความแข็งแกร่งระหว่างฉินเฉิงกับเซี่ยฝูซานก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ครั้งสุดท้ายที่พวกเค้าประลองฝีมือกัน ทั้งสองเกือบจะเสมอกัน แบบนี้เอง ฉินเฉิงในตอนนี้ก็เลยเต็มไปด้วยความมั่นใจ