“นายน้อยหวัง?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาเรียกฉันไปทำไม?”
ซูวานถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “คุณเป็นเพื่อนกับคุณชายหวังด้วยหรอ?”
“ไม่ ฉันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับบอดี้การ์ด “ช่วยบอกเขาทีว่าฉันไม่ไป ถ้าเขามีอะไร ให้เขามาหาฉัน”
ชายหัวล้านขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่พอใจเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าและเดินจากไป
หลังจากกลับมาที่งานเลี้ยงแล้ว ชายหัวโล้นก็บอกกับคุณชาย
หลังจากฟังแล้ว คุณชายหวังก็หุบยิ้มไม่ได้และพูดว่า “มาดเยอะนักนะ ให้ฉันไปหาเขาเองงั้นเหรอ น่าสนใจดีนี่”
“ฉินเฉิงคนนี้บ้าไปแล้ว!” หยวนเหมิงเติมเชื้อเพลิงด้วยความอิจฉาริษยา “ฉันก็ทักเขาในตอนนั้น แต่เขากลับเมินเฉย! เขายังพูดอีกว่าคนที่เป็นลูกหลานคนร่ำรวยแบบเราที่ใช้เงินเพียงอย่างเดียวคือคนรวยที่ไร้ค่า เราไม่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับเขา!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ สีหน้าของคุณชายหวังก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
คำที่เกลียดที่สุดในชีวิตคือคำว่า “พวกคนรวยไร้ค่า”!
“หยิ่งนักใช่ไหม?” คุณชายหวังคำรามเบา ๆ “แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำอะไรมาทั้งชีวิต แต่ฉินเฉิงก็เทียบกับฉันคุณชายหวังไม่ได้ ไอ้นี่มัน ไร้ยางอาย”
“ถูกต้อง ถูกต้อง!” หยวนเหมิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ถ้าไม่ใช่ว่าฉันสู้เขาไม่ได้ ฉันคงสั่งสอนเขาไปนานแล้ว”
คุณชายหวังด่าต่อ “จะสู้ไปทำไม ฉันเพียงโทรไปสายเดียวเขาก็ถูกกำจัดแล้ว”
หยวนเมิงดีใจมาก และถ้าคุณชายกำจัดฉินเฉิงได้จริง ๆ แล้ว เขาก็จะมีโอกาสครอบครองซูวาน!
เมื่อคิดแบบนี้ หยวนเหมิงจึงรีบใส่ไฟอีกฝ่าย “คุณชายหวัง หรือคุณจะโทรหาหนานหวังให้เขาจัดการไอ้เด็กคนนี้!”
หนานหวังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาะหนานโจว ว่ากันว่าเขาได้เข้าสู่ระดับจอมยุทธ์แล้วเมื่อหลายปีก่อน
ถ้าเขาเต็มใจที่จะลงมือให้ ให้จัดการกับฉินเฉิงก็คงไม่มีปัญหา
แต่คุณชายหวังส่ายหัวและพูดว่า “ช่างมันเถอะ ถ้ามีโอกาสฉันจะไปพบเขาเอง”
หยวนเหมิงแอบผิดหวัง แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงหาโอกาสต่อไป
…
“ทักษะการถ่ายรูปของคุณแย่มาก” ซู่ว่านมองดูภาพถ่ายที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์ของฉินเฉิงที่ริมทะเล และอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
ฉินเฉิงเกาหัวแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่ามันสวยดี ถ้างั้นก็หาช่างภาพมืออาชีพสักคนในพรุ่งนี้มาถ่ายให้เราไหม”
“เยี่ยมเลย!” ซูวานพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน!”
ฉินเฉิงเป็นคนที่น่าเบื่อมากเมื่อเทียบกับในยุคสมัยใหม่นี้ เขาเป็นคนตรงที่โคตรจะผู้ชาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยมีแฟนเลย ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
หลังจากเล่นกันที่ชายหาดเสร็จแล้ว ทั้งสองก็กลับไปยังที่ที่พัก
ฉินเฉิงได้เลือกโฮมสเตย์แบบหนึ่งห้องพิเศษ และระหว่างทางกลับจิตใจของฉินเฉิงเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่ดี
หลังจากกลับถึงที่พัก ฉินเฉิงแทบรอไม่ไหวที่จะพูดว่า “โฮมสเตย์ที่นี่ถูกจองเต็มหมดแล้ว เหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้น แล้วฉันจะนอนยังไง”
“นอนยังไง ก็นอนแบบนี้” ซู่วานกลอกตามองบน “ถ้ามันไม่เวิคจริงๆ ก็แค่นอนบนโซฟา”
“ไม่ ไม่ ฉันนอนบนโซฟาไม่ได้ ฉันปวดหลัง!” ฉินเฉิงโบกมืออย่างรวดเร็ว
ซูวานจ้องที่ฉินเฉิงครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “โอเค ฉันจะไปอาบน้ำก่อน”
ฉินเฉิงกระแอมสองครั้ง เขาก็รีบวิ่งไปที่เตียงและนอนลง แล้วคอยมองไปที่ห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลเป็นครั้งคราว
ประตูห้องน้ำจากกระจกฝ้า ฉินเฉิงสามารถมองเห็นเรือนร่างของหยวนเมิงได้อย่างเลือนราง
เขาเห็นซู่หว่านกำลังถอดเสื้อผ้า แต่เป็นเพียงเงารางๆ มันทำให้หัวใจของฉินเฉิงระทวยเอามากๆ
เมื่อได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นในห้องน้ำ ฉินเฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น และอยากจะเข้าไป
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูวานก็สวมเสื้อคลุมอาบน้ำเดินออกมา
แม้เสื้อคลุมอาบน้ำนี้ค่อนข้างจะใหญ่ แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดเรือนร่างอันสง่างามของซูวานได้
เขาจ้องเขม็งไปที่ซูวานโดยไม่รู้สึกอาย
“ดึกแล้ว พักผ่อนกันเถอะ” ซูวานเดินไปที่เตียงและถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออกช้าๆ
“พรึ่บ”
ขณะที่กำลังจะถอดเสื้อคลุมอาบน้ำ ไฟในห้องก็ถูกปิดลง
เธอยกผ้าห่มขึ้นแล้วค่อยๆขึ้นมานอนข้างๆฉินเฉิงอย่างช้าๆ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฉิงอยู่ใกล้กับซูวานมาก ห่างกันไม่ถึง5เซนติเมตร
ฉินเฉิงค่อยๆ ยื่นมือออกมาโอบซูวาน
เมื่อยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ฉินเฉิงก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน มือของเขาก็สัมผัสร่างกายที่อ่อนโยนของซูวาน
นุ่มจัง!
“อย่ามาจับนะ” ซูวานกระซิบข้างหูของฉินเฉิง
ฉินเฉิงรู้สึกอายเล็กน้อย และเขาดึงมือของเขากลับโดยไม่รู้ตัว
แต่จะให้ฉินเฉิงยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ ฉินเฉิงก็ไม่ยอม
เขาหอมหัวแล้วพูดว่า “วานเอ๋อ ฉันขอนอนกอดได้ไหม”
ซูวานไม่ได้พูดอะไร เธอหันหลังให้ฉินเฉิง
ฉินเฉิงเอื้อมมือออกไปโอบเอวเรียวๆของซูวาน
เมื่อเห็นว่าซูวานไม่ว่าอะไร ฉินเฉิงก็โล่งใจ
แม้ว่าจะทำได้เพียงเท่านี้ แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ก็นับเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่!
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ดังนั้นฉินเฉิงจึงไม่กล้าจะทำต่อไป เขาเพียงนอนกอดกับซูวานที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงเตรียมอาหารเช้าให้ซูวานเรียบร้อยแล้วก็ดูข่าวท้องถิ่น
ข่าวยามเช้ากำลังออกอากาศ และในวันนี้จะมีการประมูลจัดขึ้นที่เกาะหนานโจว
เนื่องจากเกาะหนานโจวถูกล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้านและอยู่ทางใต้สุดของเหยียนเซี่ย จึงมีสินค้ามาประมูลจากต่างประเทศมากมาย
รวมถึงโบราณวัตถุ การประดิษฐ์ตัวอักษร ภาพวาดของคนจิตรกรชื่อดัง เครื่องประดับที่สืบทอดมา และแม้แต่สมุนไพรที่หายากและของมีค่าบางอย่าง การประมูลที่นี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่จิงตูเลย
ในการประมูลครั้งนี้ ของชิ้นเอกของงานคือเครื่องประดับที่เรียกว่า รักชั่วนิจนิรันดร์
ว่ากันว่าทำมาจากเพชรที่ดีที่สุดของแอฟริกาใต้มาจับคู่กับหินไท่ซู!
มูลค่าของหินไท่ซูนั้นสูงกว่าเพชรมาก นิกายใหญ่ๆหลายแห่งจะใช้หินไท่ซูเพื่อสร้างอาวุธ แต่หินไท่ซูมีมูลค่าสูงและหายากมาก และตอนนี้ก็ถูกประดับอยู่บนสร้อยคอ ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงมูลค่าของสร้อยคอเส้นนี้!
ฉินเฉิงจับคางของเขาและคิดกับตัวเองว่า “คบกับซูวานมาก็นานแล้ว แล้วเธอก็มีอะไรให้ตลอด แต่ฉันยังไม่เคยให้ของขวัญกับเธอ งั้นเอารักชั่วนิจนิรันดร์นี่ดีกว่า”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฉิงจึงรีบตรวจสอบยอดเงินในบัตรธนาคารอย่างรวดเร็ว และพบว่าในบัตรมีเหลือมากกว่า 1.3 พันล้าน
การประมูลครั้งนี้ใหญ่มาก ไม่รู้ว่าจะมีคนรวยและคนดังจะมาที่นี่กี่คน แล้วยังมีปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้จำนวนมากก็คงจะเข้าร่วมเพื่อหินไท่ซูด้วย
ดังนั้น คงจะไม่เพียงพอ
ดังนั้น ฉินเฉิงจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและส่งข้อความถึงจินฮู่และเฝิงกง ให้พวกเขาพยายามหาเงินมาให้ได้มากที่สุด
หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง บัตรของฉินเฉิงก็มีเงินเข้ามาเพิ่ม
“สองพันล้านก็น่าจะเพียงพอแล้ว” ฉินเฉิงคิดในใจ
แม้ว่าจะมีคนรวยมากมาย แต่ก็ยากที่จะลงทุนเป็นพันล้านเพื่อซื้อสร้อยคอ
ฉินเฉิงแตกต่างจากพวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่บริหารบริษัทแล้วต้องคอยรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ดังนั้นกระแสเงินสดจึงไม่มาก
แต่ฉินเฉิงนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นเภสัช และด้วยความเป็นตัวคนเดียวนี้จึงหาเงินได้ไม่ยาก