พ่อตาที่เคยทำตัวห่างเหินกับเขา ตอนนี้ในสายตาของเขาก็เป็นได้แค่ตัวตลกตัวนึ่ง
ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี่แหละคือชะตาชีวิต
“ฉันมาหาคุณปู่” ฉินเฉิงตอบไปตามความจริง
“ฮ่าฮ่า ต่อให้มาหาคุณย่าก็ไม่มีประโยชน์” หลินเหว่ยขำและพูดออกไปว่า “ตอนนี้ตระกูลหลินไม่ใช่ตระกูลที่นายจะแตะต้องได้”
ในตอนที่เขากำลังพูด หยางอี้ก็ขับรถกลับมา
หลินเหว่ยและคนอื่นๆไม่สนใจฉินเฉิง พวกเรารีบวิ่งไปทันที
เมื่อเห็นคนที่สร้างความหวังให้ตระกูลหลิน หลินเหว่ยก็ดีใจขึ้นมาทันที
เขาเข้าไปถามด้วยความอ่อนโยน “งานเลี้ยงในวันนี้เป็นอย่างไงบ้าง?”
หลินชิงเฉิงหันมาเห็นฉินเฉิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลโดยบังเอิญ ในตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าเธอควรจะพูดอะไรออกมา
“ฮ่าฮ่า เธอไม่ต้องมองเขาหรอก เธอวางใจ มีพ่ออยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางกลับมาที่ตระกูลหลินได้อีก” หลินเหว่ยพูดออกมาอย่างภาคภูมิ
“พ่อ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้ว….” หลินชิงเฉิงรู้สึกว่าใบหน้าของเธอมีสีแดงขึ้นมา เธอทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“ทำไมหละ? ลูกจะไปสนใจความรู้สึกของเขาทำไม?” หลินเหว่ยพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “คนคนนี้มันอนาถมาตั้งแต่เกิด มันยากจริงๆที่จะหาอะไรมาชดเชยให้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“พ่อ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้ว…” หยางอี้เอามือขึ้นมาปิดหน้าของเขา เขาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จากนั้นเขาเดินไปจูงมือของหลินเหว่ยไปอีกด้านหนึ่งและพูดออกมาเบาๆว่า “พ่อรู้ไหมว่าใครเป็นตัวเอกของงานเลี้ยง?”
“ใครหละ? หรือว่าจะเป็นฉินเฉิง? ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลินเหว่ยพูดล้อเล่นออกมา
หยางอี้เช็ดเหงื่อของเขา และพูดออกมาอย่างอึดอัดใจว่า “ใช่ เป็นเขา….”
…..
ฉินเฉิงพาชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเดินเข้ามาหาคุณปู่หลิน
“นายรอฉันอยู่ตรงนี้สักครู่ ห้ามให้ใครเข้ามาเป็นอันขาด” ฉินเฉิงหันไปสั่งชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเอาไว้
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพยักหน้าและตอบกลับมาว่า “วางใจได้เลย”
เมื่อเดินเข้าไปในห้องของคุณปู่หลิน ก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่บนโซฟา
ใบหน้าของเขานิ่งสงบ ราวกับว่ากำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“คุณปู่” ฉินเฉิงพูดออกไป ตอนนั้นคุณปู่หลินที่อยู่ในความทรงจำก็ตื่นขึ้นมา
คุณปู่หลินยิ้มและพูดออกมาว่า “เฉิงเฉิง นายมาแล้ว”
ฉินเฉิงเดินเข้าไปตรงด้านหน้าของโซฟาที่คุณปู่หลินนั่งอยู่ คุกเข่าและพูดออกมาว่า “ฉันมีเรื่องเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามปู่”
“เรื่องอะไร?” คุณปู่หลินถามกลับไป
ฉินเฉิงเงียบไปสักพักและพูดออกมาว่า “ฉันอยากรู้ว่าแม่ของฉันคือใคร”
ฉินเฉิงรู้แล้วว่าพ่อของเขาเป็นใคร แต่สำหรับแม่ของเขา เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย
คุณปู่หลินเงียบไปสักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจและพูดออกมาว่า “ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่ของนายเลยสักครั้ง และก็ไม่รู้ว่าเธอมีชื่อว่าอะไร”
“ขนาดปู่ยังไม่รู้” ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์อาจจะออกมาแบบนี้ แต่เมื่อเขาได้ยินมันออกมาจากปากของคุณปู่หลินแล้ว ใจของเขาก็รับไม่ได้เล็กน้อย
“แต่ว่า ในตอนนั้นพ่อของนายได้ทิ้งของชิ้นหนึ่งเอาไว้ให้ฉัน” คุณปู่หลินพูดออกมา “เขาบอกให้ฉันมอบมันให้กับนายเมื่อฉันตาย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คนไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้นแล้ว”
“เป็นอย่างที่คิด….” ฉินเฉิงแอบคิดในใจ
ทั้งหมดนี้เหมือนกับที่เขาเดาเอาไว้ ที่คุณปู่หลินให้หลินชิงเฉิงแต่งงานกับเขา เกรงว่าคุณปู่หลินจะต้องรู้เรื่องอะไรบางอย่าง
“ของอะไรเหรอครับ?” ฉินเฉิงถามกลับไป
คุณปู่หลินตัวสั่นเล็กน้อย ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้
ตู้นั้นถูกล็อคเอาไว้ กุญแจมีอยู่เพียงดอกเดียวเท่านั้นก็คือดอกที่แขวนไว้ที่คอของคุณปู่หลิน
หลังจากที่เปิดตู้ออกมา ฝุ่นจำนวนมากก็กระจายออกมา
ภายในตู้มีกล่องสีดีบุกอยู่หนึ่งใบ
กล่องใบไม่ใหญ่ ขนาดเท่ากับมือของคน
คุณปู่หลินยื่นกล่องใบนั้นให้กับฉินเฉิงพร้อมพูดออกมาว่า “พ่อของนายบอกว่า กล่องใบนี้มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเปิดมันได้ แต่จะเปิดออกมาได้อย่างไรนั้น ฉันเองก็ไม่รู้”
ฉินเฉิงถือกล่องใบนี้ด้วยความรู้สึกสับสนในใจ
นอกจากมรดกแล้ว สิ่งเดียวที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้ก็คือของสิ่งนี้
“ขอบคุณมากครับ” ฉินเฉิงรับกล่องใบนั้นมาและโค้งคำนับให้กับคุณปู่หลิน
คุณปู่หลินโบกมืออย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ในเมื่อมาแล้ว คืนนี้ก็อยู่ทานข้าวด้วยกันเถอะ!”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฉินเฉิงปฏิเสธออกไป “ทั้งตระกูลหลินนอกจากคุณปู่แล้ว ฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีกับใครทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินแบบนี้คุณปู่หลินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“คุณปู่ ปู่พักผ่อนเถอะ ฉันไปก่อนนะ” ฉินเฉิงไม่คิดจะอยู่นานกว่านี้ เขาลุกขึ้นและเดินออกนอกประตูไป
ด้านนอกมีชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ายืนเฝ้าประตูอย่างเรียบร้อย
หลินเหว่ยกำลังถูมือ รอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
หลังจากที่เห็นฉินเฉิงเดินออกมาหลินเหว่ยก็เดินเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม “ฉินเฉิง อยู่กินข้าวด้วยกันไหม?”
ฉินเฉิงมองไปที่เขา และพูดออกมาเบาๆว่า “เอาไว้ให้ลูกเขยที่ดีของคุณกินเถอะ”
“โอ้ว ดูนายพูดเข้าสิ พวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี ไม่มีความรู้สึกดีๆต่อกันบ้างเลยเหรอ!” หลินเหว่ยลูบมือและพูดออกมา
“ความรู้สึก?” สีหน้าของฉินเฉิงเยือกเย็น “ฉันจะบอกอะไรคุณไว้อย่างหนึ่ง ดูแลคุณปู่ของฉันเอาไว้ให้ดีๆ เขามีชีวิตนานมากแค่ไหน ตระกูลหลินของคุณก็จะมีชีวิตนานเท่านั้น”
เมื่อพูดประโยคนี้จบฉินเฉิงก็เดินจากไป
สีหน้าของหลินเหว่ยซีดลง เขากัดฟันและพูดออกมาว่า “กิ้งก่าได้ทองจริง! อย่าคิดนะว่าตระกูลซูจะดูแลนายไปตลอด!”
หลังจากที่ออกมาจากบ้านตระกูลหลิน ฉินเฉิงก็ตรงมาที่ภูเขาหลงไห่
ภายใต้ขบวนยุทธที่รวบรวมจิตวิญญาณ ทั้งภูเขาหลงไห่เต็มไปด้วยเมฆหมอก และด้านบนของภูเขาเป็นเหมือนแดนสวรรค์
“คุณฉิน ทำไมหลังจากที่ขึ้นมายอดเขาแล้วฉันถึงรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะเลย?” ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ฉินเฉิงยิ้มและตอบกลับไปว่า “อีกเดี๋ยวนายก็จะรู้เอง”
หลังจากที่เตรียมห้องให้ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็มานั่งลงบนโซฟา
“ไหนลองพูดเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองออกมาสิ” ฉินเฉิงพูดออกมา
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าไม่ได้ปกปิดอะไร เขาเล่าเรื่องของเขาทั้งหมดในอดีตออกมา
ทำความเข้าใจง่ายๆ ฉินเฉิงก็รู้ว่า ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากับจินฮู่ถูกเปิดตัวออกมาพร้อมกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ใจร้ายเหมือนกับจินฮู่ ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงถูกขับไล่ออกมาจากปีนัง
จากนั้น ต่อมาจู่ๆเขาก็ได้พบกับโอกาส ได้ไปเจอกับคนของสำนักตงเทียนหนาน และก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่ที่เมืองเจียงในขณะหนึ่ง
“แล้วทำไมตงเทียนหนานถึงไล่นายออกมา?” ฉินเฉิงถาม
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าส่ายหน้าและพูดว่า “เขาบอกว่าฉันไม่มีความสามารถ ฝึกมากว่าสิบปีได้แต่เรื่องของร่างกาย ไม่มีพลังภายในเลย…”
“พลังภายใน?” ฉินเฉิงตกใจเล็กน้อย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตงเทียนหนานคนนี้มีชื่อเสียงมาก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
หลังจากที่พูดคุยกับจบ ฉินเฉิงก็กลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง
บนโต๊ะของเขา มีกล่องที่พ่อของเขาได้ทิ้งเอาไว้วางอยู่
เขายกมันขึ้นมา จากนั้นก็นำมือไปวางบนกล่องช้าๆ
มีลมปราณแผ่ไปทั่วห้องเนื่องจากฝ่ามือของเขา
“แกร๊ก”
มีเสียงดังขึ้น จากนั้นกล่องใบนั้นก็เปิดออกอย่างช้าๆ
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” ฉินเฉิงยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ
ในตอนที่กล่องถูกเปิดออกมา ก็มีออร่าแผ่ออกมาตลอดเวลาอยู่ตลอดเวลา มันมีสีฟ้าคราม
ฉินเฉิงไม่คิดอะไรทั้งนั้น เขาแทบรอต่อไปไม่ไหว เขาอยากรู้มากๆว่าของที่อยู่ด้านในนั้นคืออะไร