การมาของซูฉีไห่ก็ทำให้ชูชีเชิงประหลาดใจ
ทั้งสองตระกูลแข่งขันกันอย่างลับๆมาเป็นเวลานาน พวกเค้าไม่เคยปะทะกันแบบตัวต่อตัวเลย
ส่วนการเยี่ยมเยือนนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“คุณซู?” ชูชีเชิงก็ทักทายเค้าด้วยรอยยิ้ม
ซูฉีไห่ก็พยักหน้า เค้าเดินตรงไปที่โซฟาของชูชีเชิงแล้วนั่งลง คนที่อยู่ข้างๆเค้าก็หยิบซิการ์ให้เค้าในทันที
ซูฉีไห่พ่นควันออกมา จากนั้นแววตาของเค้าก็จ้องมองไปที่ชูชีเชิง
“ฉันได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆนี้นายติดต่อกับฉินเฉิงอย่างใกล้ชิด” ซูฉีไห่พูดอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมกัน อยากจะดึงฉินเฉิงเข้ามาในพวกของนายอย่างงั้นเหรอ?”
ชูชีเชิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณซู คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมขอให้เค้ามาเพียงเพื่อรักษาพ่อของผมก็เท่านั้น”
“ทำไม ครอบครัวชูไม่สนอะไรเลยอย่างงั้นเหรอ?” ซูฉีไห่หัวเราะเยาะขึ้นมา “ใช่แล้ว มันคือหลักประกัน สถานะก็คงไม่สำคัญอะไรสินะ”
หลังจากที่ชูชีเชิงได้ยินแบบนี้ เค้าก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที
เค้าสำลักแล้วพูดว่า: “ใช่แล้ว มันน่าจะเทียบไม่ได้กับตระกูลซูสายที่แปดเลย สายแปดนี้น่าจะเป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลซูใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของซูฉีไห่ก็ค่อยๆเย็นชาลง
ชูชีเชิงก็พูดต่อว่า: “ตอนนี้ฉันก็กำลังได้รับบทบาทสำคัญในตระกูลชูกรุ๊ป ฉันเป็นสมาชิกหลักของตระกูลชู คุณซู แล้วคุณล่ะ? ขอถามหน่อยนายท่านซูให้คุณเข้าไปในซูกรุ๊ปแล้วหรือยัง? ”
สีหน้าของซูฉีไห่ดูไม่ได้เลย
อันที่จริงแล้ว ตระกูลซูให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยกับศิลปะการต่อสู้และซูฉีไห่ก็เป็นผู้ดูแลศิลปะการต่อสู้ของตระกูลซู
นายท่านซูยังรู้สึกว่าผู้คนในวงการศิลปะการต่อสู้มักจะประมาทแล้วก็ไม่มีสมอง เค้าแทบไม่เคยปล่อยให้ซูฉีไห่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจหลักของตระกูลซูเลย
“คุณซู ถ้าคุณจะมาที่นี่เพื่อข่มขู่ฉัน ฉันขอโทษด้วยนะ คุณคิดผิดแล้ว” แม้ว่าชูชีเชิงจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้มากนักแล้วก็ยังไม่ใช่นักศิลปะการต่อสู้ แต่เค้าเต็มไปด้วยอำนาจแล้วก็ไม่ด้อยไปกว่าซูฉีไห่เลย
ซูฉีไห่พยักหน้า เค้าลุกขึ้นแล้วพูดว่า: “ดูเหมือนว่าเรื่องความสงบสุขระหว่างตระกูลชูและตระกูลซูกำลังจะพังสลายไปนะ”
“แล้วแต่เลย” ชูชีเชิงก็พูดอย่างเย็นชา
ซูฉีไห่เลิกพูดอะไรมาก เค้าลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินออกไป
หลังจากขึ้นรถ ซูฉีไห่ก็โวยวายว่า: “มันกล้าที่จะมาเยาะเย้ยฉัน มันคิดว่ามันเป็นใครกัน!”
ซูฉีไห่เป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริง เค้าคือคนที่อยู่เบื้องหลังอำนาจของตระกูลซู ซูฉีไห่คนนี้ มันก็บอกได้เลยว่าเค้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
“เดี๋ยวมันก็จะได้รู้ว่าตัวมันเองโง่มากแค่ไหนกัน” ซูฉีไห่กัดฟันพูด
คนขับรถข้างหน้าก็ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลย
…
เวลามันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น มันก็ผ่านมาสามวันแล้ว
วันนี้เป็นวันที่เฉียวไท่กูนัดประลองกับฉินเฉิง
เฉียวไท่กูไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลชูได้ การกระทำทั้งหมดของเค้ามันเป็นตัวเค้าเองที่ส่งตัวเองมา ตระกูลชูจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น
สถานที่ๆทั้งสองมาเจอกันก็คือห้องฝึกของตระกูลชู
ตระกูลชูให้ความสำคัญกับศิลปะการต่อสู้เป็นอย่างมาก พวกเค้ามีสถานที่ฝึกเฉพาะทางหลายแห่งในเมืองจิงตูและที่นี่ก็เป็นสถานที่ของชูเห้า น้องชายของตระกูลชู
ในสถานที่แห่งนี้ มันก็มีลูกหลานของตระกูลชูอยู่มากมาย หลังจากสืบสานมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ตระกูลชูรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 ก็มีญาติพี่น้องหลายร้อยคน
“ตระกูลชูคนเยอะมากจริงๆ” ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา ในตอนนี้เองเค้าก็มองไปที่สถานที่ขนาดใหญ่นี่
พวกเค้ามีลูกหลานหลายร้อยคน นี่มันไม่ต้องบอกเลยว่าผู้ติดตามของพวกเค้ามันจะมีจำนวนที่น่ากลัวมากขนาดไหนกัน?
วันนี้ทั้งชูชีเชิงกับชูเสียวก็ไม่ได้มาด้วย มีเพียงแค่เฉียวไท่กูเท่านั้นที่รออยู่ที่สนามฝึก
“คุณชายชู คนนั้นคือฉินเฉิง” หลังจากมองเห็นฉินเฉิงแล้ว เฉียวไท่กูก็รีบมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
ชายหนุ่มเหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า: “ฉันจำได้ว่าเด็กคนนี้อยู่อันดับที่ 38 ใช่ไหม?”
“ใช่” เฉียวไท่กูพยักหน้าขึ้นมา “ต่ำกว่าคุณสิบตำแหน่ง”
ชูเห้าก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “ไท่กู ฉันเองยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายเลย นี่มันก็ไม่ต้องพูดถึงเค้าเลย? ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่กล้าท้าทายจอมยุทธ์ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ”
เฉียวไท่กูกัดฟันแล้วพูดว่า: “เด็กคนนี้ มันโอหังมาก ว่ากันว่ามันได้รับการสนับสนุนจากตำหนักเทพโอสถ มันก็เลยไม่มองใครอยู่ในสายตาเลย!”
“อืม ด้วยการสนับสนุนของตำหนักเทพโอสถ ฉินเฉิงนี่มันก็หยิ่งยโสมากจริงๆ” ชูเห้าก็พยักหน้าเล็กน้อย “แต่ว่าอย่าฆ่ามันก็แล้วกัน ตำหนักเทพโอสถมันไม่ง่ายเลยนะที่จะสู้ด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ คุณชายชูไม่ต้องห่วง” เฉียวไท่กูพยักหน้า
ในตอนที่พูดนี้เอง ฉินเฉิงก็เดินเข้ามาแล้ว
เค้ายืนอยู่ตรงหน้าเฉียวไท่กู ก่อนที่เค้าจะพูดอะไร ชูเห้าที่อยู่ข้างๆก็หัวเราะแล้วพูดว่า: “นายคือฉินเฉิงอย่างงั้นเหรอ?”
“นายเป็นใครกัน?” ฉินเฉิงถามอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่ก็คือคุณชายตระกูลชูของเรา ชูเห้า!” เฉียวไท่กูก็พูดขึ้นมา
ชูเห้าโบกมือแล้วพูดว่า: “อันที่จริงฉันเองก็สนใจในตัวนาย นายเป็นคนแรกเลยนะที่กล้าจะท้าทายตระกูลซู แต่อันดับของนายก็ด้อยกว่าฉัน แม้แต่ฉันเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไท่กูเลย เกรงว่านายก็ยิ่งไม่น่าจะเทียบอะไรกับเค้าได้เลย?”
คนที่อยู่ข้างๆเค้าก็พูดว่า: “คุณชายชู คุณลืมไปแล้วเหรอ เค้าเป็นสมาชิกของ ตำหนักเทพโอสถ ตราบใดที่เค้าไม่ตาย ยังไงตำหนักเทพโอสถก็รักษาเค้าได้”
“ใช่แล้ว การบาดเจ็บของเค้ามันก็ไม่สำคัญอะไรเลย”
หลังจากฟังจบ ชูเห้าก็ดูเหมือนว่าจะมองว่ามันก็มีเหตุผล
เค้าเอามือลูบไปที่คางแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า: “อืม ตำหนักเทพโอสถนี่มันจองหองจริงๆ”
ฉินเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า: “อันดับที่พูดถึงนั่นดูเหมือนว่ามันจะไม่ถูกต้องซะเท่าไหร่นะ พวกเค้าแบ่งแยกกันตามอันดับอย่างงั้นเหรอ”
“โอ้?” ชูเห้าก็มองไปที่ฉินเฉิงด้วยความสนใจ “จะว่าไปแล้ว นายคิดว่าอันดับของนายมันต่ำไปกว่าที่ควรจะเป็นอย่างงั้นเหรอ?”
“มันต่ำมากเกินไป” ฉินเฉิงส่ายหัว
ชูเห้าหัวเราะ “งั้นนายคิดว่านายควรอยู่ตรงไหนกันหละ”
“อย่างน้อยก็สิบอันดับแรก” ฉินเฉิงพยักหน้าขึ้นมาอย่างจริงจัง
“พัฟ!” ชูเห้าที่กำลังดื่มน้ำอยู่ เค้าก็พ่นน้ำออกมาในทันที
คนอื่นๆ ในสนามฝึกต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“ฉินเฉิง คุณรู้ไหมว่าคนที่อยู่ในสิบอันดับแรกล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจ? พวกเค้าล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์” ชูเห้าก็พูดว่า “ตอนนี้นายก็เป็น…ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นแปดสินะ?”
“อันดับ มันไม่สามารถแสดงทุกอย่างได้หรอกนะ” ฉินเฉิงหัวเราะ “เช่นเดียวกับเฉียวไท่กู เค้าก็เป็นจอมยุทธ์เหมือนกัน แต่เค้าจะไม่สามารถเอาชนะฉันที่เป็นแค่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นแปดได้”
“พูดมาก!” เฉียวไท่กูโกรธจัด “แกคิดว่าฉันฆ่าแกไม่ได้อย่างงั้นเหรอ!”
ฉินเฉิงเยาะเย้ย: “ความแข็งแกร่งของนาย เมื่อเทียบกับหนานหวาง มันเป็นยังไงกัน?”
“หนานหวัง?” เฉียวไท่กูขมวดคิ้วเล็กน้อย เค้ากับหนานหวางต่างก็เป็นจอมยุทธ์เหมือนกัน แต่หนานหวางเป็นจอมยุทธ์มาสองสามปีแล้ว ส่วนเฉียวไท่กูพึ่งจะมาเป็นจอมยุทธ์ได้ไม่นาน ความแตกต่างระหว่างพวกเค้ามันเยอะมากจริงๆ
“ฉันไม่เคยประลองกับเค้า” ต่อหน้าผู้คนมากมาย เฉียวไท่กูจะไม่พูดว่าตัวเองอ่อนแอ
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า: “แม้แต่หนานหวางก็ยังไม่สามารถเอาชนะนายได้ อย่างงั้นเหรอ?”
เฉียวไท่กูก็หัวเราะแล้วพูดว่า: “แกจะบอกว่าแกสามารถเอาชนะหนานหวังได้? นี่มันตลกมากจริงๆ!”
“น้องชาย นายนี่ปากดีเหลือเกินนะ? ตอนนี้ฉันก็สงสัยซะแล้วสิว่าแกจะทำได้อย่างที่พูดไหม” คนอื่นๆก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน