ฉินเฉิงเหยียบเจ้าสำนักหวงแล้วมองดูอย่างเย็นชา
“จะไสหัวไปไหม?” ฉินเฉิงก้มลงแล้วถาม
เจ้าสำนักหวงถูกทุบตี เค้าอาเจียนออกมาเป็นเลือด เค้ากัดฟันแล้วถามว่า: “ใคร… แกเป็นใคร กล้าบอกชื่อของแกไหม?”
“ทำไมกัน แกจะกลับไปให้ฉื่อหยานออกตัวอย่างงั้นเหรอ?” ฉินเฉิงหัวเราะ
“แกรู้จักฉื่อหยานด้วยเหรอ?” สีหน้าของเจ้าสำนักหวงก็เปลี่ยนไป จากนั้นเค้าก็อดไม่ได้ที่จะแอบพูดขึ้นมาว่า: “หรือว่ามันจะเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่?”
ฉินเฉิงปล่อยเจ้าสำนักหวง จากนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “กลับไปบอกฉื่อหยานซะ ฉันจะรอเค้าอยู่ที่นี่”
เจ้าสำนักหวงรีบลุกขึ้นจากพื้นดิน เค้าเช็ดเลือดจากมุมปาก เค้ากัดฟันแล้วพูดว่า: “จะบอกชื่อของท่านได้หรือไม่?”
“ฉินเฉิง”
ฉินเฉิงไม่ได้ปิดบังอะไร
ก่อนการต่อสู้กับซูหยู่ ฉินเฉิงยังคงปลอดภัย
ยิ่งไปกว่านั้น เค้าเพิ่งสอนบทเรียนให้กกับเจ้าสำนักหวง แม้ว่าเค้าจะเป็นคนระดับนี้ ฉินเฉิงก็สามารถฆ่าเค้าได้สบายๆ ตระกูลซูเองก็จะไม่สามารถทำอะไรเค้าได้เลย
เจ้าสำนักหวงมองไปที่ฉินเฉิงอย่างระมัดระวัง จากนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจว่า:”คุณคือฉินเฉิงที่นัดประลองกับซูหยู่ ใช่ไหมครับ?”
“ใช่” ฉินเฉิงพยักหน้าโดยไม่ปิดบังอะไร
เจ้าสำนักหวงกัดฟันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “พวกเค้าบอกว่าคุณเป็นอัจฉริยะที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ วันนี้ผมได้เห็นคุณด้วยตาของตัวเอง สมแล้วที่เค้าล่ำลือกัน”
ด้วยของเขตระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นแปด การปะทะกับจอมยุทธ์ขั้นสองแบบนี้ มันไม่มีใครทำได้เลย
“ขอลาครับ!” เจ้าสำนักหวงคำนับ จากนั้นก็หันหลังแล้วจากไป
ที่ประตูของสำนักหลิงตง หยานรัวหยูกับคนอื่นๆต่างก็ดูประหลาดใจ
ชายหนุ่มคนนี้ เค้าก็คือฉินเฉิงที่กำลังดังอยู่ในช่วงนี้?
คนของสำนักอูยาก็หายตัวไปจากประตูของสำนักหลิงตงอย่างรวดเร็ว จากนั้นฉินเฉิงก็เดินเข้าไปหาหยานรัวหยู
“ตอนนี้พวกเราก็พอใจกันแล้วใช่ไหม?” ฉินเฉิงก็ถูมือแล้วพูดขึ้นมา
หยานรัวหยูกัดฟัน เธอไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ซักพัก
อันที่จริง ถ้าเธอเป็นคนที่ขับไล่เจ้าสำนักหวงไป สำนักอูยาอาจจะโจมตีสำหนังหลิงตง
แต่การที่ฉินเฉิงทำแบบนี้ การแก้แค้นจะถูกหมายหัวอยู่ที่ฉินเฉิงเท่านั้น
“คุณคือฉินเฉิงจริงๆเหรอ?” หยานรัวหยูพูดพลางกัดริมฝีปากของเธอ
“ทำไมฉันต้องหลอกเธอด้วย” ฉินเฉิงยืดตัวออกไป “อย่างไรก็ตาม เพื่อชดเชยให้เธอ ฉันจะให้เธอยืมต้นเชียนเทียนคืนนึง จำไว้ แค่คืนเดียวเท่านั้น”
“ขอบคุณนะ!” หยานรัวหยูรีบตอบตกลง
หลังจากกลับไปที่ห้องโถงแล้ว ฉินเฉิงก็พลิกฝ่ามือแล้วต้นเซียนเทียนก็ตกลงมาในมือของเธอ
ฉินเฉิงมอบต้นเชียนเทียนให้กับหยานรัวหยู จากนั้นเค้าก็พูดอย่างจริงจังว่า: “เธอจะต้องปกป้องมัน อย่างให้ใครเอามันไปได้”
หยานรัวหยูพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง เธอใช้ทั้งสองมือถือต้นเชียนเทียน สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ใต้น้ำพุ เธอก็ปลูกต้นเชียนเทียน!” แววตาของผู้อาวุโสกับคนอื่นๆ ต่างก็ลุกเป็นไฟ “นี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยาก!”
“การได้มันมาหนึ่งคืน ต่อให้ต้องตายมันก็คุ้ม!”
เมื่อเห็นท่าทีที่ดูตื่นเต้นของพวกเค้า ฉินเฉิงก็ลึกขึ้นแล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ที่อีกด้านหนึ่ง เจ้าสำนักหวงก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว
กระดูกของเค้ามันแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าหากว่าเข้าไม่ได้อยู่ในระดับขั้นของจอมยุทธ์ วันนี้เค้าคงไม่รอด
“ฉินเฉิงคนนี้ มันน่ากลัวมาก…” เจ้าสำนักหวงก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย
เค้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อกี้ฉินเฉิงยังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดของเค้า
“เป็นแค่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นแปดเท่านั้น แต่ก็แข็งแกร่งมาก คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าถ้าเค้าได้ก้าวเข้าสู้ระดับขั้นของจอมยุทธ์ เค้าจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน” เจ้าสำนักหวงก็พูดเบาๆขึ้นมา
ตอนนี้เค้าเองก็เริ่มสงสัยว่าซูหยู่จะสามารถเอาชนะฉินเฉิงได้หรือไม่
“เจ้าสำนักหวง ประธานฉือมาแล้วครับ!”
ในตอนนี้เอง ที่ด้านนอกประตูก็มีรถขับเข้ามาจอดอย่างช้าๆ
เจ้าสำนักหวงก็รีบลุกขึ้นมา เค้าไม่สนใจความเจ็บปวดในร่างกายของตัวเองแล้วรีบออกไปทักทายชายคนนั้น
“ประธานฉือ!” เจ้าสำนักหวงโค้งคำนับ สีหน้าของเค้าเต็มไปด้วยความเคารพ
ฉื่อหยานเหลือบมองไปที่เค้าแล้วพูดว่า: “นายแน่ใจเหรอว่าคนๆนั้นคือฉินเฉิง?”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ!” เจ้าสำนักหวงก็รีบพูดว่า “มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้ศิลปะการต่อสู้แบบเหิงได้”
ฉื่อหยานกัดฟัน เค้าพูดออกมาด้วยความโกรธจัด: “ฉินเฉิงคนนี้ มันอ่อนต่อโลกจริงๆ!”
ครั้งก่อน ฉินเฉิงก็เอาเข้าใส่โรงศพต่อหน้าทุกคน นี่มันทำให้เค้าแทบหายใจไม่ออก
ครั้งนี้ก็ยังจะมามีเรื่องกับลูกน้องของตัวเองอีก!
“ประธานฉือ คุณคิดว่าจะทำยังไงดีครับ?” เจ้าสำนักหวงถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ
ฉือหยานเป็นเก่งเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจการค้า ส่วนเรื่องใจคนมันต้องซื้อให้พวกเค้าเชื่อใจ
แต่ตัวเค้าเองก็ไม่เข้าใจในเรื่องศิลปะการต่อสู้เลย อย่างดีที่สุด เค้าก็เป็นแค่มือสมัครเล่นก็เท่านั้น
ดังนั้นในตอนนี้เอง เค้าก็เสียเปรียบเล็กน้อย
“ผู้พิทักษ์อาวุโสเตือนให้ลงมือกับฉินเฉิง แต่แล้วผู้พิทักษ์อาวุโสก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูลซู นี่มันก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดเหมือนกัน” ฉื่อหยานคิดกับตัวเอง
นอกจากจะต้องอาศัยความเฉียบแหลมทางธุรกิจของตัวเองแล้ว เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้เค้ามีวันนี้ได้ก็คือเค้าได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซู
หากตระกูลซูต้องการลงโทษเค้าหละก็ อาณาจักรธุรกิจของเค้าอาจจะต้องแตกสลายในทันที
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉื่อหยานก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “อดทนไว้ก่อน”
“อะไรนะ?” เจ้าสำนักหวงก็ตกตะลึง เค้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่าคำพูดนี้มันจะออกมาจากปากของฉื่อหยาน
“ปล่อยให้มันดีใจไปก่อนซักสามวัน” ฉื่อหยานพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ต่อให้เป็นฉินเฉิงก็ตาม มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่”
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ เจ้าสำนักหวงก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย
ฉื่อหยานไม่ใช่นักศิลปะการต่อสู้ เค้าไม่รู้อะไรมาก แต่กับเจ้าสำนักหวงมันก็แตกต่างกันออกไป
เค้ากลัวว่าฉินเฉิงจะใช้โอกาสตั้งสำนักของตัวเอง! ด้วยความสามารถของเค้าควบคู่ไปกับตัวตนของเค้าที่เป็นผู้อาวุโสของตำหนักเทพโอสถ การก่อตั้งนิกายมันก็ไม่เรื่องยากอะไรเลย
ตามที่เข้าสำนักหวงคิด ฉินเฉิงก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาเหมือนกัน
“ถ้าฉันสามารถเปลี่ยนสำนักหลิงตงกลายเป็นของฉันได้ มันก็อาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการก่อตั้งสำนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าหยานรัวหยูจะเห็นด้วยหรือไม่” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็มาที่ห้องโถงของตำหนักหลิงตงเพื่อรอหยานรัวหยู
สิบนาทีต่อมา หยานรัวหยูก็เดินเข้ามา
เธอคืนต้นเชียนเทียนให้กับฉินเฉิง เธอถอนหายใจแล้วพูดว่า: “เรื่องที่เล่ากันเกี่ยวกับต้นเชียนเทียนนี่มันเป็นเรื่องจริง แค่คืนเดียวเท่านั้น มันก็มีผลมากจริงๆ”
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่จำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์ต้นเชียนเทียนนี่”
“ขอบคุณนะคะ คุณฉิน” ท่าทีของหยานรัวหยูก็เปลี่ยนไป เธอดูประทับใจในตัวเค้า
ฉินเฉิงพูดว่า: “เมื่อคืนก่อนเธอไม่ต้องการจะฆ่าฉันเหรอ แค่วันเดียวเอง ทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหละ?”
สีหน้าของหยานรัวหยูแดง เธอไม่พูดอะไร
ฉินเฉิงฉวยโอกาสกวาดดูพลังแก่นแท้วิญญาณกว่าสิบปีของเธอ เค้ากวาดสายตามองดูร่างของเธออีกครั้ง เธอต้องการฆ่าฉินเฉิงแล้วควักดวงตาของเค้าออกมา
แต่หลังจากที่รู้เกี่ยวกับตัวตนของฉินเฉิงแล้ว ท่าทีของเธอก็ค่อยๆเปลี่ยนไป เธอไม่เพียงแค่จะไม่รังเกียจเค้าเท่านั้น เธอยังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วย…
“เจ้าสำนักหยาน ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับคุณ” ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“คุณฉินเชิญพูด” หยานรัวหยูพยักหน้า
ฉินเฉิงเงียบไปซักพักแล้วพูดว่า: “ฉันไม่รู้ว่าเจ้าสำนักหยานจะมีความคิดที่จะถ่ายโอนสำนักหลิงตงไหม”