ใบหน้าพวกนี้แปลกมาก ฉินเฉิงเองก็ไม่เคยเจอพวกเค้ามาก่อนเลย
แต่ออร่าที่เปล่งออกมาจากพวกเค้ามันก็ไม่ใช่นักรบธรรมดาอย่างแน่นอน
“ปรมาจารย์ขั้นสุดยอดที่มีความสามารถในการเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดได้ สมแล้วที่จะกล้าท้าทายซูหยู่”
“ฉันเริ่มเปลี่ยนใจแล้ว บางทีฉินเฉิงคนนี้อาจจะเอาชนะซูหยู่ได้จริงๆ”
“อืม ถ้าเค้าสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตของจอมยุทธ์ได้ มันก็เป็นไปได้จริงๆ”
ฉินเฉิงเหลือบมองทุกคนอย่างเย็นชา: “พวกแกไม่ได้คิดที่จะมาลงมือกับฉันอย่างงั้นเหรอ?”
หลายคนมองหน้ากัน พวกเค้าส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ลงมือ? พวกเรายังต้องการดูความสนุกนะ ถ้าแกตาย แล้วจะไปดูใครหละ?”
ฉินเฉิงไม่พูดอะไรอีก เค้าหันหลังแล้วเดินออกไป
ส่วนคนที่เหลือไม่กี่คนก็มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ
วันรุ่งขึ้นมันเป็นวันส่งท้ายปีเก่าและข่าวการกลับมาของฉินเฉิงมันก็แพร่กระจายไปทั่งทั้งเมืองปีนัง
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือหลิวเจิ้งหลงที่เป่าประกาศไปทั่วเมื่อสองสามวันก่อน วันนี้ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของเค้าเลยด้วยซ้ำ
“หึหึ ดูเหมือนว่าหลิวเจิ้นหลงจะไม่ได้เก่งอะไรจริงๆ”
“ใช่แล้ว เค้าเลือกที่จะท้ายในตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน พอเค้ากลับมามันก็วิ่งหนีไปเลย”
“เห้อ ถ้าจินฮู่ไม่ตาย ครั้งนี้มันยังยิ่งกว่าเดิมแน่”
ในเวลาเดียวกัน ที่มณฑลปินโจว
เฝิงกงกับเจ้าแห่งลมปราณหูก็มารวมตัวกัน
“มันไม่มีข่าวอะไรของหลิวเจิ้งหลงเลย” เจ้าแห่งลมปราณหูจิบชาแล้วพูดขึ้นมา
เฝิงกงไม่พูดอะไร เค้ามองออกไปที่หน้าต่าง นี่ก็ไม่รู้เลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันแนะนำให้แกล้มเลิกความคิดนั้นไปซะ” เจ้าแห่งลมปราณหูตบไหล่เค้าแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางไปเมืองปีนังเพื่อไปอวยพรปีใหม่ นายจะไปด้วยกัน?”
เฝิงกงเงียบไปซักพักแล้วพยักหน้าพูดว่า: “ไปสิ”
…
วันส่งท้ายปีเก่า สำหรับฉินเฉิงแล้วมันก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลย
เค้าเป็นคนที่ไม่ชอบความครึกครื้นอะไร แม้ว่าจะต้องอยู่คนเดียว เค้าก็ยอมรับความเหงาได้
คืนนี้เอง ฉินเฉิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นเชียนเทียน เค้าสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ
ประทัดดังอยู่ด้านนอก พลุก็ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าเป็นระยะๆ
ฉินเฉิงลุกขึ้นมายืน เค้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยพลุ มันดูไม่ออกเลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่รู้เลยว่าชายชุดดำนั่นจะได้รีบยาเม็ดทองไปแล้วหรือยัง” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
ในยุคแบบนี้ การมีเงิน จะฉลองปีใหม่ จะไปไหนก็ได้
ดังนั้นฉินเฉิงก็เลยวางแผนที่จะออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น เค้าวางแผนที่จะไปที่เกาะหนานโจว
ในคืนนั้น ฉินเฉิงจองตั๋วเครื่องบินไปที่เมืองหนานโจว เที่ยวบินจากเมืองปีนังไปที่นั่นในตอนเช้า ราคามันค่อนข้างแพงมาก
ในตอนที่เฝิงกงกับคนอื่นๆกำลังรีบไปที่เมืองปีนัง ฉินเฉิงก็หายตัวไปแล้ว
ที่บนเครื่องบิน ฉินเฉิงก็นั่งที่ด้านข้างหน้าต่าง เค้าคำนวนเวลาอยู่อย่างเงียบๆ
เค้าเหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนเท่านั้น การที่จะไล่ตามซูหยู่ มันก็เป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ฉินเฉิงก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ ตราบใดที่เค้าสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตของจอมยุทธ์ได้ การเผชิญหน้ากับซูหยู่เค้าก็จะมั่นใจกับมันเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เครื่องบินมาถึงที่เกาะหนานโจว ฉินเฉิงก็มุ่งหน้าตรงไปที่การประมูล
ในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างตรุษจีน การประมูลก็หยุดดำเนินการ ฉินเฉิงเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโทรหาหนานหวางเพื่อขอความช่วยเหลือจากเค้า
หนานหวางเป็นคนที่ยังอยู่ หลังจากได้รับสายจากฉินเฉิงแล้ว เค้าพูดทางโทรศัพท์อย่างจริงใจว่า: “พี่ครับ ช่วงตรุษจีนเป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของเกาะหนานโจว หลายคนจะมาที่นี่เพื่อฉลองปีใหม่ จะให้ผมพาไปเที่ยวไหนไหมครับ?”
ฉินเฉิงส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ไม่หละ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำ อยากจะขอให้หนานหวางช่วยเตรียมเรือให้ฉันซักลำ”
หนานหวางเงียบไปซักพักแล้วตอบตกลง: “ครับ รอซักครู่”
หลังจากที่วางสายไปแล้ว ฉินเฉิงก็นั่งสมาธิอยู่ในสถานที่จัดงานประมูล
เนื่องจากการประมูลหยุดดำเนินการ พื้นที่โดยรอบก็เลยไม่ค่อยมีคนและนักท่องเที่ยว ฉินเฉิงก็เลยรู้สึกสงบ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์คันหนึ่งก็ขับเข้ามาอย่างช้าๆ
ทันทีที่รถหยุด ฉันเห็นหร่วนหยูรีบวิ่งเข้ามา
“คุณฉิน” หร่วนหยูวิ่งเข้าไปจับมือของฉินเฉิง จากนั้นเค้าก็ชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเค้าแล้วพูดว่า: “นี่คือกัปตันที่ผมหาได้ครับ เค้าพร้อมที่จะออกเดินทางในทันที”
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลำบากด้วยนะ”
“ไม่ลำบากเลยครับ ไม่ลำบากอะไรเลย” กัปตันก็รีบพูดขึ้นมา “งั้นพวกเราจะไปกันเลยไหมครับ?”
“ไปกันเถอะ” ฉินเฉิงพยักหน้า
ทั้งสองขึ้นเรือ ฉินเฉิงก็บอกทางที่จะไป
ฉินเฉิงใช้ญาณหยั่งรู้กับภาพของชายชุดดำที่มีเหลืออยู่ในหัว ดังนั้นการที่จะหาตัวเค้ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
หลังจากแล่นเรือไปหลายชั่วโมง ในที่สุดเรือก็หยุดที่เกาะแห่งหนึ่ง
“คุณฉิน ผมได้ยินมาว่าแถวนี้มันมีสัตว์ทะล จริงไหมครับ?” กัปตันพูดอย่างระมัดระวัง
ฉินเฉิงไม่ตอบ แต่พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “รอฉันบนเรือ อย่าลงไปเดินหละ”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็ลงไปจากเรือ
“คุณฉิน” หลังจากเห็นฉินเฉิง ชายชุดดำก็รีบเดินเข้ามา
ฉินเฉิงเหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า: “หาเจอแล้วยัง?”
ชายชุดดำพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ตามคำขอของคุณ ผมเจอรังของอสูรแล้ว แต่อสูรพวกนี้มันยากที่จะจัดการครับ คุณต้องระวังนะครับ”
ฉินเฉิงมองไปที่ชายชุดดำ เค้าไม่พูดอะไรอยู่นาน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเฉิงก็พูดว่า: “นายรอฉันอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”
“เกือบเดือนแล้วครับ” ชายชุดดำก้มหัวลงแล้วพูด
ฉินเฉิงส่งเสียงฮัม เค้าเอื้อมมือออกไปแล้วตบไหล่ชายชุดดำและพูดว่า: “พาฉันไป”
ชายชุดดำรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า: “คุณฉิน ตามมาเลยครับ”
หลังจากพูดจบ เค้าก็เดินนำหน้าขึ้นเรือลำเล็กแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายชุดดำก็พูดว่า: “จะถึงแล้วครับ คุณฉินระวังหน่อยนะครับ”
ฉินเฉิงเงียบ แววตาของเค้ามองไปข้างหน้า มันดูไม่ออกเลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่
จากนั้นไม่นานเรือก็มาหยุดที่เกาะขนาดใหญ่
พื้นที่ของเกาะมันค่อนข้างใหญ่ มันมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกสร้างขึ้นทั่วทั้งเกาะ
เมื่อมองไปรอบๆ มันแทบจะเรียกได้ว่าเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง
“คุณฉิน แถวนี้แหละครับ…” ชายชุดดำชี้ไปที่เกาะแล้วพูดว่า “ผมจะนำทางคุณ รอเดี๋ยวนะครับ ผมจะเอาอสูรนั่นออกมา”
หลังจากพูดจบ ชายชุดดำก็พร้อมที่จะเดินเข้าไปในเกาะ
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็เอื้อมมือออกไปแล้ววางมันลงบนไหล่ของเค้า
ชายชุดดำตัวแข็งทื่อ เค้าหันกลับมา: “คุณฉิน ยัง… มีอะไรอีกเหรอครับ?”
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าทรยศฉัน ผลของมันจะเป็นยังไง?”
ชายชุดดำก็ตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยในทันที
เนื่องจากใบหน้าของเค้าถูกห่อด้วยผ้าคลุมสีดำ ในตอนนี้มันก็เลยมองไม่เห็นสีหน้าของเค้าเลย
“เฮ้” ฉินเฉิงตบไหล่เค้าแล้วถอนหายใจออกมา: “ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาสู่เส้นการบ่มเพาะนี้ มันมีผู้คนมากมายที่ต้องการจะฆ่าฉัน ในที่สุดทุกคนก็ต้องร้องหายอย่างข่มขืนแล้วเสียใจในภายหลังเมื่อเจอกับฉัน”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉินเฉิงหยุดพูดแล้วพูดต่อว่า: “ต่อให้พวกมันน่าสงสารแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่สมควรที่จะให้อภัย นายคิดว่าที่ฉันทำไปมันถูกต้องไหม?”
ชายชุดดำไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของเค้าได้อีกต่อไป ร่างกายของเค้าสั่นสะท้านขึ้นมา หัวใจของเค้ามันก็ร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม