ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามของบริษัทท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง คุณชายตระกูลลู่ย่อมมีราศีจับเป็นเรื่องธรรมดา การที่เค้ามาก็จะมีบอดี้การ์ดติดตามมาอยู่เสมอ
บอดี้การ์ดพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีทักษะพิเศษ แม้ว่าพวกเค้าจะไม่ได้เป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ แต่คนทั่วไปก็เทียบอะไรกับพวกเค้าไม่ได้เลย
“ใครกล้ามาดูถูกตระกูลลู่ของฉัน!” เสียงของลู่เฟิงก็ดังขึ้นมาราวกับระฆัง ทันใดนั้นเองผู้คนต่างก็ถอยหนีออกไป
“พี่ ในที่สุดพี่ก็มา!” ชายหัวทองก็วิ่งเข้าไปหาลู่เฟิง จากนั้นเค้าก็ร้องไห้ออกมา
ลู่เฟิงก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา ในใจเค้าเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา
ลูกพี่ลูกน้องของตัวเองคนนี้ มันเอาแต่หาเรื่องให้ขายหน้าตระกูลลู่ตลอดเลย
หลังจากที่เค้าพูดเสร็จ เค้าก็กวาดสายมองไปที่ฝูงคนแล้วพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ใครตบเค้า?”
ทุกคนต่างก็เงียบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเลย
หลินชิงเชียงก็หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางผู้คน เธอเองก็กลัวว่าจะโดนจับ
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย: “คุณชายลู่ เราได้เจอกันอีกแล้วนะ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้เอง ความลังเลมันก็ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของลู่เฟิง จากนั้นดวงตาของเค้ามันก็จ้องมองไปที่ฉินเฉิง
สีหน้าของเค้ามันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เค้ารีบวิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า: “คุณฉิน คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?”
ฉินเฉิงก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ที่นี่คือที่ของฉัน”
ลู่เฟิงเป็นคนฉลาด เค้ารู้ได้อย่างรวดเร็วเลยว่ากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นของที่นี่จิงฮู่ก็ได้มอบให้กับฉินเฉิงแล้ว
ดังนั้นลู่เฟิงก็เลยยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ยินดีกับคุณด้วยนะครับ ผมนี่ทำให้คุณฉินหัวเราะจนได้ ไม่รู้เลยว่าคุณพอจะเห็นไหมว่าใครกันที่เป็นคนตบลูกพี่ลูกน้องของผม?”
“ไม่ต้องหาหรอก คนๆ นั้นก็คือฉันเอง” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย “ลูกพี่ลูกน้องของนายนี่โอหังจริงๆ เลยนะ แม้แต่เพื่อนของฉันมันยังกล้าที่จะมารังแก”
เมื่อลู่เฟิงได้ยินแบบนั้น ในใจเค้าก็แอบพูดอะไรไม่ดีออกมา
แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเค้าจะเจ็บตัว แต่เค้าเองก็รู้ว่าใครควรที่จะมีเรื่องหรือไม่ควรที่จะมีเรื่องด้วย
แต่ไม่กี่วันหลังจากที่ฉินเฉิงหายไป ลูกพี่ลูกน้องของเค้าจะไปรู้จักตัวตนของฉินเฉิงได้ยังไงกัน?
“ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!” ลู่เฟิงก็พูดออกมาอย่างเย็นชา: “ขอโทษคุณฉินซะ!”
ลูกพี่ลูกน้องของเค้าก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า: “คุณฉินอะไรกัน มันก็เป็นแค่แมลงวันหัวเขียวไม่ใช่เหรอ!”
สีหน้าของลู่เฟิงน่าเกลียดขึ้นมาเป็นอย่างมาก เค้ายกมือของเค้าขึ้นมาแล้วตบหน้าลูกพี่ลูกน้องของเค้า จากนั้นเค้าก็ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเคืองว่า: “ถ้าแกยังกล้าที่จะมาพูดมากอีก ฉันจะฉีกปากของแกออกซะ!”
“ไม่ต้องรบกวนคุณชายลู่หรอก” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
ทันทีที่เสียงนี้จบลง ฉินเฉิงก็พุ่งเข้ามาที่ตรงหน้าของชายหัวทองราวกับสายลม
ในวินาทีต่อมานี้เอง เสียงร้องครวญครางของชายหัวทองก็ดังลั่นไปทั่วทั้งบาร์
เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าที่ปากของเค้ามันมีเลือดไหลออกมาอย่างน่ากลัว
ด้วยความเร็วนี่ ลู่เฟิงก็ไม่ทันที่จะได้หยุดเค้าเลยด้วยซ้ำ
“ฉันสั่งสอนบทเรียนให้กับลูกพี่ลูกน้องของนายแล้ว คุณชายลู่ก็คงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม?” ฉินเฉิงก็เช็ดเลือดที่มือของเค้าออก จากนั้นเค้าก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ลู่เฟิงก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา จากนั้นเค้าก็จิกหัวตัวเองแล้วพูดออกมาว่า: “ไม่ติดอะไรครับ มันเป็นความผิดของเค้าเอง…..”
“อืม” ฉินเฉิงก็พยักหน้าของเค้าขึ้นมา “คุณชายลู่ เอาตัวลูกพี่ลูกน้องของนายไสหัวออกไปซะ”
ในใจลู่เฟิงก็อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก เค้าหันกลับมาแล้วพูดว่า: “ยังไม่ไสหัวออกไปอีก!”
พวกบอดี้การ์ดก็ลากชายหัวทองออกไปอย่างเร็ว
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
คนที่ชื่อฉินเฉิงนี่ เค้าเป็นใครกันแน่? แม้แต่หน้าของคุณชายลู่เค้าก็ยังไม่สนเลยเหรอ? หรือว่าเค้าจะเป็นทายาทรุ่นใหญ่ของมณฑล?
“คุณชายลู่ ไหนๆ ก็มาแล้ว อย่างงั้นเราก็มาดื่มด้วยกันซักหน่อยเถอะ” ฉินเฉิงก็โบกมือของเค้าขึ้นมา
ลู่เฟิงก็พยักหน้าของเค้าแล้วตามฉินเฉิงไปที่ดาดฟ้าแล้วนั่งลง
หลินชิงเชียงก็ตกตะลึงอยู่ท่ามกลางฝูงชน อดีตพี่เขยของเธอ เค้าไปมีความสามารถที่เยี่ยวยอดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้คนของตระกูลลู่เองก็ยังไม่กล้าที่จะไปยั่วยุเค้าเลย?
เธอก็กลอกตาของเธอ จากนั้นเธอก็เดินตามไป
“เธอจะมาทำไม” ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา “รีบกลับไปมหาลัยซะ”
“โอ้ยยย ตอนนี้มหาลัยมันก็ปิดประตูแล้วนะ” หลินชิงเชียงก็พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“งั้นก็กลับบ้านสิ” ฉินเฉิงก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
“ฉันไม่อยากกลับ…..” หลินชิงเชียงก็หน้าหนา เธอนั่งลงที่ข้างๆ ฉินเฉิง
ฉินเฉิงก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอ จากนั้นเค้าก็หยุดพูด
หลังจากที่ดื่มเหล้าไปได้สองสามแก้ว จู่ๆ ฉินเฉิงก็เอื้อมมือออกไปที่คอของลู่เฟิงแล้วดึงจี้หยกที่คอของเค้าออกมา
การกระทำแบบนี้มันก็ทำให้ลู่เฟิงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที
เค้าก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ฉินเฉิง ถ้าคุณชอบจี้หยกนี่ ก็บอกผมสิ ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย?”
ฉินเฉิงก็หัวเราะขึ้นมา เค้าไม่พูดอะไร
เค้าเอานิ้วชี้ไปที่จี้หยก เค้าจิ้มเข้าไปที่จี้หยก จากนั้นก็ร่ายมนต์สำหรับป้องกันร่างกาย
“คุณชายลู่ เพื่อแสดงคำขอโทษจากฉัน ฉันจะให้ของขวัญกับนาย” ฉินเฉิงก็คืนจี้หยกให้กับเค้า “ในวันที่นายมีปัญหาปานตาย จี้หยกนี่มันจะช่วยปกป้องชีวิตของนาย”
เมื่อลู่เฟิงได้ยินแบบนี้ เค้าก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมาในใจของเค้า
การที่แสร้งทำเป็นร่างทรงแบบนี้ นี่มันไร้สาระจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม เค้าเองก็ยังคงตอบกลับมาว่า: “ได้ครับ ขอบคุณคุณฉินมาก”
หลังจากที่พูดจบนี้เอง เค้าก็เก็บจี้หยกเข้าไปในกระเป๋าของเค้าอย่างไม่สนใจอะไรมาก
หลังจากที่ดื่มเหล้าเสร็จ ตอนนี้มันก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว
ฉินเฉิงก็ไม่ได้อยู่ต่อ เค้ากับชายที่หน้ามีรอยแผลเป็นก็เรียกรถแล้วเตรียมตัวที่จะกลับที่พัก
“ฉันไม่มีที่ไป ขอไปพักที่บ้านนายซักคืนนึงได้ไหม” หลินชิงเชียงก็กระพริบตาของเธอแล้วถามออกมา
ความเบื่อหน่ายมันก็ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของฉินเฉิงแล้วพูดว่า: “ทำไมคนตระกูลหลินอย่างพวกเธอถึงได้ไร้ยางอายแบบนี้?”
หลังจากที่พูดประโยคนี้ออกไปแล้ว ฉินเฉิงก็โบกมือของเค้าขึ้นมาแล้วพูดกับคนขับรถแท็กซี่ว่า: “ออกรถ”
ในตอนที่คนขับๆ รถออกไปนี้เอง หลินชิงเชียงก็นั่งกระทืบเท้าของเธอ: “มีอะไรเจ๋งมากนัก ห๊ะ!”
…
นอนหลับไปจนกระทั่งเที่ยงของวันถัดมา ทันทีที่ตื่นขึ้นมา ชายชราซูก็โทรหาเค้า
สิ่งนี้เองมันก็ทำให้ฉินเฉิงแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าเค้าจะติดต่อกับตระกูลซูอยู่ แต่ปกติแล้วพวกเค้าก็มักจะติดต่อผ่านซูหวานกันอยู่เสมอ
นี่มันเป็นครั้งแรกที่ชายชราซูโทรมาหาเค้าด้วยตัวเอง
หลังจากที่รับสายแล้ว เค้าก็ได้ยินชายชราซูที่หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ฉินเฉิง ตอนเที่ยงพอจะมีเวลาไหม? มาทานข้าวด้วยกันหน่อยสิ”
ฉินเฉิงครุ่นคิดอยู่ซักพัก มันก็พอดีกันเลย เค้าเองก็อยากที่จะขอให้ตระกูลซูช่วยหาข่าวคราวเกี่ยวกับแม่ของเค้าด้วย
เค้าเอาชายที่หน้ามีแผลเป็นไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูด้วย ที่โต๊ะในลานหน้าบ้าน มันก็มีคนหลายคนที่กำลังนั่งอยู่ด้วยกัน
นอกจากชายชราซูกับซูหวานแล้ว นังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ฉินเฉิงไม่รู้จัก
“นายท่านซู” หลังจากที่ฉินเฉิงเดินเข้าไป เค้าก็กล้าวทักทาย
ชายหนุ่มคนนั้นก็รีบเงยหน้าของเค้ามองไปที่ฉินเฉิงพร้อมกับรอยยิ้ม: “คุณปู่ นี่คือฉินเฉิงที่เค้ารักษาปู่อย่างงั้นเหรอครับ?”
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว” ชายชราซูก็พยักหน้าของเค้าขึ้นมา เค้าโบกมือของเค้าแล้วขอให้ฉินเฉิงนั่งลง
จากนั้นเค้าก็แนะนำให้รู้จักกัน: “นี่คือตี๋เชา เค้ามาจากเมืองเอกของมณฑลเพื่อมาเยี่ยมฉันโดยเฉพาะ”
ฉินเฉิงเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นศัตรูของตี๋เชา ดังนั้นเค้าก็เลยพยักหน้าแล้วนั่งลง
“ปู่ครับ นี่คือบัวหิมะพี่ของผมให้คนไปเอามาจากดินแดนทางด้านตะวันออก ผมมอบให้คุณเป็นพิเศษ ว่ากันมาว่ามันสามารถที่จะยืดอายุขัยของปู่ได้” ตี๋เชาก็หยิบกล่องที่สวยงามออกมา จากนั้นเค้าก็ยื่นมันให้กับชายชราซู
ชายชราซูก็พูดขึ้นมาด้วยความยินดี: “ฮ่าๆ เสี่ยวเชานี่ดีจริงๆ ของนี่ดีมากเลย ฝากเธอไปทักทายพ่อของเธอด้วยนะ”
ตี๋เชาก็ปัดมือของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ไม่เป็นไรครับ ถ้าหากว่าปู่ชอบ ผมจะให้ผมทำให้มากกว่านี้”
หลังจากที่พูดจบ ตี๋เชาก็เหลือบมองไปที่ฉินเฉิงโดยตั้งใจ
ฉินเฉิงก็หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าของเค้า: “ชายชราซู ผมเองก็เอาของขวัญมาให้ด้วยเหมือนกัน”
ภายในขวดนี้มันก็มียาเม็ดสีเขียว ยานี่มันก็คือยาซ่อมแซมวิญญาณขนาดเล็กที่พึ่งกลั่นมา
“นี่คืออะไรกัน? เม็ดถั่วเขียวอย่างงั้นเหรอ?” ตี๋เชาก็พูดติดตลกขึ้นมา “หรือว่าลูกอม? ราคากี่หยวนเหรอ?”
ฉินเฉิงก็เหลือบมองไปที่เค้าพูดขึ้นมาว่า: “แม้ว่สิ่งนี้มันจะไม่มีค่า แต่มันก็ดีกว่าแครอทที่นายให้แน่นอน”