สิ่งที่ฉินเฉิงพูดนั้นมันทั้งดีแล้วก็กระฉับกระเฉง ซูหวานเองก็อดไม่ได้ที่จะขยับขึ้นมา
แต่แล้วเธอก็ส่ายหัวของเธอขึ้นมา แม้ว่าในใจเธอไม่อยากที่จะพูดอะไรออกมา แต่ฉินเฉิงก็รู้อยู่ในใจว่าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด
ฉินเฉิงก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี มันมีบางอย่างที่ต่อให้ใช้ปากอธิบายมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ
“ใช่สิ ยังไงก็ตาม ผมเองก็อยากให้คุณช่วยถามข่าวคราวของใครคนหนึ่ง” ในตอนนี้เองฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
ซูหวานก็พยักหน้าขึ้นมาแล้วถามว่า: “ใครเหรอ?”
“เธอชื่อโจวฉิน เธอเป็นคนจิงตู” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ในตอนท้ายเค้าก็พูดเสริมขึ้นมาว่า: “เธอไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา อาจจะมีตระกูลใหญ่อยู่ที่เบื้องหลังของเธอ”
การพูดถึงจิงตูหลายครั้งติดต่อไปนี่เองมันก็ทำให้ซูหวานแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรแล้วก็ตกลง: “โอเค แต่ฉันไม่รับรองนะว่าจะหาเจอ”
“ไม่เป็นไร” ฉินเฉิงก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
เค้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ในเมื่อแม่ของเค้ายังมีชีวิตอยู่ ทำไมหลายปีมานี้เธอไมjมาพบเค้าเลย? นอกจากความเห็นแก่ตัวแล้ว มันยังจะมีเหตุผลอื่นอีกเหรอ?
“นายรู้ไหมว่าทำไมฉันไม่แตะต้องตระกูลหลินกับตระกูลหยาง” ในตอนนี้เอง การสนทนาของซูหวานก็เปลี่ยนไปในทันที
ฉินเฉิงก็ส่ายหัวเพื่อบอกว่าเค้าเองก็ไม่รู้อะไรเลย
ซูหวานก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ฉันคิดว่าควรที่จะจัดการกับปัญหาด้วยตัวเองแทนที่จะคอยเอาแต่พึ่งพาตระกูลซู”
ฉินเฉิงก็เงียบใส่ สิ่งที่เค้ามีอยู่ในตอนนี้มันเป็นเพราะตระกูลซู
รวมถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของตระกูลหลิน พูดกันตรงๆ แล้วตระกูลซูก็คือยักษ์ใหญ่ที่อยู่ที่เบื้องหลังของเค้า
“เข้าใจแล้ว” ฉินเฉิงก็สูดลมหายใจของเค้าเข้าไปลึกๆ แล้วพยักหน้าขึ้นมา
แม้แต่ตระกูลหลิน ตระกูลหยางทั้งสองตระกูลเองก็ยังไม่สามารถที่จะจัดการได้ ที่เรียกว่า “จุดยอดสุดของจิงตู” นี่มันก็เป็นคำพูดที่ว่างเปล่า
“เอาหละ นี่มันก็ดึกแล้ว ฉันเองก็ควรกลับแล้ว” ซูหวานก็ลุกขึ้นมาที่ยอดเขาแล้วยืดเอวของเธอ
“ยังไงก็ตามเถอะ สองสามวันนี้นายก็ต้องระวังตัวให้ดีนะ ตี๋เชาเค้าไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน” ซูหวานก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วเธอก็เตือนขึ้นมาในทันที
ฉินเฉิงก็พยักหน้าตกลง
ฉินเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องของตระกูลตี๋มากนัก แม้ว่าตระกูลของพวกเค้าจะมีธุรกิจใหญ่โต แต่สำหรับฉินเฉิงแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องทั่วไปก็เท่านั้น
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็ได้รับสายเรียกเข้าจากหวงหลง
เค้าก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คุกคามเล็กน้อย: “ตระกูลตี๋บอกว่าหากว่าแกสามารถที่จะรักษาตี๋เชาได้ พวกเค้าก็จะเห็นแก่หน้าของนายท่านซูแล้วไม่เอาเรื่องแก”
ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา: “ต้องการความช่วยเหลือ มันก็ต้องมีท่าทีที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
หวงหลงก็ผงะ เค้าพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคืองว่า: “ฉินเฉิง ฉันรู้ว่าแกยังเด็ก แต่ฉันจะบอกแกให้นะว่านี่มันไม่ใช่การขอร้อง แต่มันคือการให้โอกาสแก เข้าใจไหม นายท่านซูเองก็พูดออกมาแล้วว่าเค้าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ หรือว่าแกคิดที่จะสู้กับตระกูลตี๋คนเดียว?”
ฉินเฉิงก็หัวเราะเยาะขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ให้โอกาสฉัน? ได้ งั้นฉันจะให้โอกาสตระกูลตี๋ เอาเงินมาหาฉัน แล้วฉันจะรักษาให้ อย่างอื่นฉันไม่สน”
หลังจากที่พูดจบ ฉินเฉิงก็ตัดสายไปโดยตรง
ฉินเฉิงก็เคยชินกับท่าทีที่ดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน เค้าเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับอะไรอย่างนี้เป็นอย่างยิ่ง
เป็นคนแบบนี้ จะไปอายุยืนได้ยังไงกัน?
หลังจากที่ตัดสายไปแล้ว ฉินเฉิงก็เปิดคอมขึ้นมาแล้วเตรียมที่จะเข้าไปซื้อยา
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉินเฉิงก็หันมาสนใจกับเมืองจิง
เศรษฐกิจที่นี่มันมีการพัฒนาการมากขึ้นและประชากรเองก็อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีการขายสิ้นค้าราคาแพงมากมาย ทั้งถนนยาวมันก็เต็มไปด้วยยารักษาโรค
อย่างไรก็ตาม พวกมันก็มีราคาที่แพงมาก
ฉินเฉิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเค้าก็รู้สึกว่าเค้าควรที่จะหาวิธีหาเงินก่อน
ทุกเดือนมันก็มีธุรกิจที่สามารถที่จะมีรายได้ แต่มันก็ไม่มากพอ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวบรวมเงินจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้น ฉินเฉิงก็เลยตัดสินใจปรับแต่งยาเม็ดธรรมดาจำนวนหนึ่งขึ้นมาด้วยตัวเอง
ยาเม็ดธรรมดา วัตถุดิบยาธรรมดานี่มันก็พอแล้ว แต่สำหรับคนธรรมดา นี่มันก็ยังคงเป็นยาวิเศษที่หาได้ยากมากที่สุด
เค้าขอให้ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าออกไปซื้อสมุนไพรมาซักสองสามกระสอบ จากนั้นก็เริ่มที่จะสกัดยาขึ้นมา
หลังจากที่ใช้เวลามาแล้วประมาณครึ่งวัน ในมือของฉินเฉิงก็มีลูกกลมๆ เล็กๆ มากกว่ายี่สิบลูกอยู่ในมือ
สำหรับฉินเฉิงแล้ว ยาเม็ดเล็กๆ พวกนี้ มันก็มีผลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับคนวัยกลางคนแล้ว นี่มันก็คือยาที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด
ฉินเฉิงก็กุมแก้มของเค้าเอาไว้ซักพักแล้วคิดว่ามันน่าจะดีกว่าที่จะขายยานี่ให้กับจินฮู่ เค้าต้องการที่จะจัดการกับชีพจร การส่งยาเม็ดนี่ไปให้มันก็เป็นการเลือกของขวัญที่ไม่เลวเลย
เมื่อฉินเฉิงหยิบโทรศัพท์ของเค้าออกมาแล้วกำลังจะโทรหาจินฮู่นี้เอง ก็มีคนที่โทรเข้ามา
คนที่โทรเข้ามานี่ก็ไม่ใช่คนอื่นเลย แต่เธอก็คืออดีตน้องสะใภ้ของเค้า หลินชิงชือ
ในตอนนี้ หลินชิงชือก็ยังอยู่ที่มหาลัย เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องการรวมตัวของตระกูลซู เธอรู้เพียงแค่ว่าฉินเฉิงรู้จักกับคุณชายลู่ก็เท่านั้น
เมื่อเห็นหมายเลขเบอร์มือถือแล้ว ฉินเฉิงก็ไม่ได้คิดอะไร เค้าก็เลยตัดสายไป
ที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง หลินชิงชือก็กระทืบเท้าของเธอขึ้นมาด้วยความโกรธแล้วพูดออกมาอย่างโกรธเคือง: “อะไรกัน นายกล้าที่จะไม่รับสายของฉันอย่างงั้นเหรอ นี่มันมากเกินไปแล้วนะ!”
เพื่อนสาวที่อยู่ที่ข้างๆ ของเธอก็พูดติดตลกขึ้นมาว่า: “ชิงชือ เธอคงจะไม่ได้โม้ใช่ไหม? คุณชายลู่ เค้าจะมารู้จักกับพี่เขยของเธอได้ยังไงกัน”
สีหน้าของชิงชือก็แดงกร่ำขึ้นมา เธอก็อธิบายออกมาว่า: “นี่มันเรื่องจริงนะ! คืนนั้นฉันเห็นกับตาของตัวเองเลยว่าคุณชายลู่เค้าปฎิบัติต่อพี่เขยของฉันด้วยความเคารพ!”
“หึหึหึ เอาหละๆๆ ฉันเชื่อแล้วก็ได้?” เพื่อนสาวของเธอก็กลอกตาขึ้นมา
หลินชิงชือก็ยืนอยู่ซักพัก เธอครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเธอก็กัดฟันแล้วแอบพูดขึ้นมาว่า: “ถ้าหากว่านายไม่รับสายฉัน อย่างงั้นฉันก็จะไปหานายเอง!”
ในที่สุดเธอก็หันไปหาเพื่อนสาวของเธอแล้วพูดว่า: “ฉันไปเลี้ยงข้าวเธอวันอื่นก็แล้วกัน ฉันเลือกสถานที่ก่อน ตกลงไหม?”
เพื่อนสาวของเธอก็กระพริบตาขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ได้สิ แต่ฉันจะบอกเธอให้นะ ฉันไม่ไปร้านอาหารเล็กๆ หรอกนะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นร้านอาหารหรูๆ รู้ไหม?”
“โอเค เข้าใจแล้วน่า” หลินชิงชือก็ปัดมือของเธอขึ้นมาอย่างไม่อดทน
ในวัยของเธอ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าตาและการเปรียบเทียบระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอมันก็เกือบที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอไปแล้ว
ที่อีกด้านหนึ่ง ฉินเฉิงอยู่จินฮู่ที่ไซต์งานก่อสร้าง
คนสองคนก็นั่งอยู่ในรถ จินฮู่ดูท่าว่าจะให้เกียรติเค้า
“คุณฉิน คุณต้องการให้ผมทำอะไรเหรอครับ” จินฮู่ก็ยิ้มขึ้นมา
ฉินเฉิงก็หยิบเม็ดยาออกมาแล้ววางที่ตรงหน้าของจินฮู่ เค้าพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า: “แน่นอนว่าเรื่องดี นี่ฉันให้นาย”
จินฮู่ก็หยิบยานี่ขึ้นมา เค้ามองไปทั่ว จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า: “คุณฉินนี่คืออะไรเหรอครับ?”
“ยา มันดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคไตแล้วก็อ่อนแอ” ฉินเฉิงก็พูดติดตลกขึ้นมา
จินฮู่ก็ลูบจมูกของเค้า เค้าดูท่าว่าจะเขินอายเล็กน้อย
เค้าไม่รู้เลยว่าหลายปีมานี่เค้าเล่นสนุกกับผู้หญิงมาแล้วกี่คน ไตของเค้ามันก็ไม่ดีแล้วจริงๆ
“ถ้าอย่างงั้นก็ต้องขอบคุณคุณฉินมาก” จินฮู่ก็กล้าวขึ้นมาอย่างจริงใจในตอนที่เค้ากำลังถือยาอยู่
“อย่าพึ่งรีบขอบคุณสิ” ฉินเฉิงก็ส่ายหัวขึ้นมา
เค้าเหยียวนิ้วของเค้าออก ส่ายหัวแล้วพูดว่า: “สามร้อยล้านหยวน กินเข้าไปแล้วมันก็จะช่วยรักษาร่างกายของนายไปได้อีกสิบยี่สิบปี”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของจินฮู่ก็เกือบที่จะเขียวปัดขึ้นมา
พระเจ้านี่มันปล้นกันชัดๆ!
“ฉันเข้าใจผิดคิดว่าคุณต้องการที่จะมาเอาเงินจากฉันซะอีก?” ฉินเฉิงมองความคิดของเค้าออก
จินฮู่จะไปกล้าที่จะยอมรับได้ยังไงกัน เค้าส่ายหัวแล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า: “ไม่….ไม่ เดี๋ยวผมจะโอนเงินให้คุณเลย…..”
“อืม” ฉินเฉิงก็พยักหน้าขึ้นมา “ถ้าอยากจะกินอีก ก็มาซื้อ ฉันยังมีอีกหลายสิบเม็ด”
สีหน้าของจินฮู่ก็ดูไม่ได้เลย สิบกว่าเม็ดนี่ มันก็น่าจะราคาหลายล้านหยวน!
“ตกลง งั้นฉันไปก่อนหละกัน” ฉินเฉิงก็โบกมือของเค้าขึ้นมาแล้วลงไปจากรถ
เมื่อเห็นฉินเฉิงที่จากไปแล้ว จินฮู่ก็อดไม่ได้ที่จะด่าในใจ: “ซื้อเพิ่ม ซื้อบ้าอะไรกันวะ! ไอ่เวร ไอ่เด็กไม่รู้จักโต จิตใจแกนี่มันช่างร้ายกาจเสียจริง!”
แม้ว่าเค้าจะพูดออกมาแบบนี้ แต่เค้าก็กินยาที่ซื้อมาด้วยราคาสามร้อยล้านหยวนเข้าไป
ในตอนกลางคืนนี้เอง จินฮู่ก็รีบไปที่ชุมชนหลงไห่
เค้าปาดเหงื่อที่หน้าผากของเค้าแล้วพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า: “คุณฉิน คุณมียาอีกไหม ผมต้องการมันทั้งหมด!”