ซูหยูก็รีบแสดงท่าทีแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ได้โปรดมั่นใจในตัวผม ผมได้เตรียมความพร้อมมาอย่างเต็มที่แล้ว! ราศีของตระกูลซูจะต้องไม่มาแปดเปื้อนด้วยน้ำมือของผมอย่างแน่นอน!”
ซูฉีไห่ที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะขึ้นมา: “พ่อ พี่รอง ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมตรวจสอบฉินเฉิงแล้ว เค้าไม่มีภูมิหลังอะไรเลย เค้าเป็นก็แค่คนรากหญ้าเท่านั้น มันไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึงเลย”
“อย่าให้คนชั้นล่างมาทำให้แกเสียหน้าก็แล้วกัน” ซูโฮ่ก็พูดติดตลกขึ้นมา
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว คุณปู่ซูก็เดินเข้าไปหาซูฉีไห่แล้วพูดขึ้นมาว่า: “ฉันได้ยินมาว่าฉินเฉิงกับซูเป่ยนี่ พวกเค้าใกล้ชิดกันมากเลยนะ”
“ครับ พ่อ” เมื่อพูดถึงซูเป่ย ในใจซูฉีไห่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ซูเป่ยและพ่อของเค้าเป็นพี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์แบบนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าการควบคุมตระกูล มันก็ไม่ควรค่าแก่การให้ความสำคัญมากนัก
“อืม” คุณปู่ซูก็จิบน้ำ “อย่างงั้นก็จะแพ้ไม่ได้”
“ครับคุณปู่!” ซูหยู่รีบพยักหน้า ในแววตาของเค้ามันก็ดูมีความตื่นเต้นไม่น้อยเลย
คุณปู่ซูกับซูเป่ย พวกเค้าแข่งขันกันมานานหลายปีแล้ว ทุกวันนี้พวกเค้าต่างก็ส่งต่อมันมาให้กับคนรุ่นหลัง แน่นอนว่าพวกเค้าต้องการทำมันให้ดี
“เอาหละ มากินข้าวกันเถอะ” คุณปู่ซูก็ปัดมือขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็หยิบตะเกียบขึ้นมา
สถานที่นัดประลอง พวกเค้าเลือกใช้เมืองที่อยู่เมืองจิงตู เมืองแห่งนี้มันมีชื่อว่าหยานตู
แม้ว่าความมั่งคั่งของหยานตูจะเทียบไม่ได้กับจิงตู แต่หลังจากที่มีการพัฒนามาแล้วหลายปี เมืองหยานตูในตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสวนหลังบ้านของเมืองจิงตู
เพื่อที่จะจัดการประลองนี้ สมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูก็ปิดกั้นเขตชานเมืองทางตอนใต้ของเมืองหยานตูเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“ผู้อำนวยการชาง!” ในสถานที่จัดงาน ประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้หยานตูก็มาเอง เค้ากระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับชางโจวเป็นอย่างมาก
ชางโจวเพียงแค่พยักหน้า จากนั้นเค้าก็หันหัวไปอีกทางหนึ่ง
ประธานคนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วมอะไร เค้าใช้หน้าหนาๆพูดขึ้นมาอีกว่า: “ผู้อำนวยการชาง ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถทำให้ได้ก็บอกมาได้เลยนะครับ!”
“ไม่ต้อง” ชางโจวก็พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
แม้ว่าสถานที่ของเมืองหยานตูจะถูกใช้ในการประลองครั้งนี้ แต่พวกเค้าก็มองข้ามสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งจิงตูไป นี่มันก็ทำให้พวกเค้ารู้สึกสับสนเล็กน้อยแล้วก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำผิดอะไร
“นี่” ในตอนนี้เอง จู่ๆชางโจวก็เรียกประธานให้หยุดก่อน
เค้าชี้ไปที่พื้นที่โดยรอบแล้วพูดว่า: “เรามีกำลังคนไม่มากพอ คุณส่งคนไปรอบๆแล้วอย่าปล่อยให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามา เข้าใจไหม?”
“โอ้ ครับ!” ในตอนนี้เองประธานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เค้ารีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว “แล้วนักข่าวหละครับ? เท่าที่เราทราบ ครั้งนี้นักข่าวจากฟอรั่มการต่อสู้เองก็มาด้วย”
สีหน้าของชางโจวเริ่มเย็นชาลง เค้าพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า: “การะประลองครั้งนี้ ต้องบล็อกข่าว จะมาใช้นักข่าวอะไรกัน? เรื่องแบบนี้ยังจะต้องให้ฉันสอนนายอีกเหรอ!”
ในตอนนี้เอง ประธานก็เข้าใจ เค้าพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ครับ ผมจะจัดการมันเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากเดินออกมาจากสนามแล้ว เลขาที่อยู่ด้านข้างท่านประธานก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า: “ท่านประธาน ผมได้ยินมาว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันมีอิทธิพลอย่างมากในโลกของศิลปะการต่อสู้ ยังไม่ทันจะเริ่ม เรื่องนี้มันก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้ทำไมจู่ๆถึงจะมาบล็อคข่าว?”
ประธานเหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า: “ยิ่งคนน้อยก็ยิ่งทำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น นายเข้าใจความหมายของฉันไหม?”
สีหน้าของเลขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นเค้าก็กระซิบขึ้นมาว่า: “คุณหมายถึง ฉินเฉิง … ”
“บางคำ ก็แค่เก็บไว้ในใจ ไม่ต้องพูดออกมา” ก่อนที่เลขาจะพูดจบ การพูดของเค้าก็ถูกขัดจังหวะขึ้นมา
…
ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งวันก่อนการต่อสู้ แต่ฉินเฉิงก็ยังคงอยู่ที่สำนักฉิน เค้าไม่ได้ออกไปไหนเลย
ในตอนกลางคืน ฉินเฉิงนั่งอยู่ที่ลานของสนามฝึก เค้าขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันทีที่มีลมพัดผ่าน หมอกบนท้องฟ้าก็บังแสงทั้งหมดในทันที
“กลางคืนมีลมแรง แบบนี้มันเป็นลางไม่ดี” หยานรัวหยูกระซิบขึ้นมา เธอยืนอยู่ข้างๆเค้า
“ตราบใดที่ยังมีลม หมอกก็จะปลิวหายไปแล้วแสงสว่างก็จะกลับมาปรากฎอีกครั้ง” ฉินเฉิงพูดว่า “และฉันก็จะเป็นลมกระโชกแรงนั้น”
หยานรัวหยูตกตะลึง เธอมองไปที่ฉินเฉิงด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจความหมายของประโยคเมื่อกี้เลย
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะทำอะไรกันแน่?” หยานรัวหยูก็กระซิบถามขึ้นมา
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันแค่ต้องการใช้ความสามารถของฉันทำมันออกมาให้ดีที่สุด”
หลังจากที่พูดจบ ฉินเฉิงก็หันหลังแล้วเดินกลับไปที่ห้องของเค้า
เช้าวันถัดมา
ที่สนามในเมืองหยานตู มันก็มีรถจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาที่สนาม
“โปรดแสดงบัตรเชิญด้วยครับ” นักศิลปะการต่อสู้แห่งหยานตูมีหน้าที่ดูแลและตรวจสอบบัตรเชิญและตั๋วก็พูดขึ้นมา
“ทำไมถึงให้พวกเราเข้าไปไม่ได้?! ฉันเป็นคนของตระกูลหลี่จากเมืองเจ้อ!” คนที่ถูกขวางอยู่ที่ทางเข้าก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
น่าเสียดายที่มันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนตระกูลอะไรก็ตาม พวกเค้าก็ไม่อยู่ในสายตาของสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหยานตูเลย
“หืม สถานที่แห่งนี้มันใหญ่โตมาก” ในตอนนี้เอง รถโรลส์รอยซ์ที่มีป้ายทะเบียนเมืองไห่ก็มาจอดที่หน้าทางเข้า
“คุณชายเถิง คุณเองก็มาด้วยเหรอ” มีคนทักทายขึ้นมา
เถิงอาวก็พูดอย่างเฉยชาขึ้นมาว่า : “งานแบบนี้แน่นอนว่ามันจะขาดฉันไปได้ยังไงกัน”
“คุณชายเถิง คุณอยู่ข้างใครกัน?” ใครบางคนก็ถามขึ้นมา
เถิงอาวก็พูดขึ้นมาอย่างเฉยชาว่า : “แน่นอนว่าต้องเป็นซูหยู่สิ”
คนอื่นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนที่อยู่ที่สถานที่แห่งประสบการณ์ที่โชกโชน เถิงอาวเองก็มีประสบการณ์เห็นทั้งสองมาด้วยตาของตัวเอง
ในตอนนั้น ฉินเฉิงก็ถูกซูหยู่ทุบตีราวกับลูกหมา จนถึงตอนนี้มันก็ผ่านมาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
หลังจากการมาถึงของเถิงอาว ลูกหลานคนอื่นๆของตระกูลใหญ่ต่างก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้เอง ผู้หญิงในเสื้อคลุมสีดำที่คลุมใบหน้าของเธอก็เดินเข้ามา
“หยุด” พนักงานตรวจบัตรเชิญก็เอื้อมมือมาหยุดเธอ “บัตรเชิญอยู่ไหนครับ”
หญิงชุดดำก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนี้เองด้วยการสะบัดมือของเธอบัตรเชิญก็ตกลงมาที่ฝ่ามือ
“นี่อะ” หญิงสาวชุดดำยื่นบัตรเชิญ
เจ้าหน้าที่ตรวจบัตรเชิญก็มองหน้ากัน จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า: “เชิญครับ”
“เอ๊? บัตรเชิญของฉินหละ!” หลังจากที่หญิงชุดคลุมสีดำเข้ามาได้ไม่นาน คนที่อยู่ด้านนอกประตูคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา
“ฉันมีบัตรเชิญจริงๆนะ ฉันเป็นคนของตระกูลจ้าว สมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูส่งบัตรเชิญมาให้ฉันด้วยตัวเอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบดูสิ!”
“บอกว่าใช่ก็ใช่อย่างงั้นเหรอ? ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นคนของตระกูลซู! ถ้าไม่มีบัตรเชิญก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!”
….
ในสถานที่จัดงาน เหล่าเด็กที่มีพรสวรรค์มากมายก็มารวมตัวกัน
นอกจากเด็กพวกนี้แล้ว ก็ยังมีอาจารย์อาวุโสอีกหลายคนที่มาที่นี่ด้วย
ที่ด้านนอกสถานที่แห่งนี้มันก็วุ่นวายเป็นอย่างมาก มันมีจอมยุทธ์ที่ไม่เปิดเผยตัวอีกหลายคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ
“เจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถเองก็มาแล้ว” ที่ด้านในสนาม จงเผิงมองออกไป จากนั้นเค้าก็พูดออกมาเบาๆ
ทันทีที่เค้าพูดจบ หลายคนก็หันไปมอง
“ท่านเจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถเข้าข้างฉินเฉิง ทำไมเธอถึงได้บัตรเชิญด้วย?” เฉียวเซิงก็พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ในตอนนี้เอง ชางโจวก็เดินแทรกผ่านผู้คนเข้ามา เฉียวเซิงก็รีบเข้าไปหยุดชางโจวแล้วพูดขึ้นมาว่า: “ผู้อาวุโสชาง เจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถเองก็ได้รับบัตรเชิญด้วยเหรอครับ?”
ชางโจวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วส่ายหัว: “สมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองจิงตูไม่เคยส่งบัตรเชิญไปให้ตำหนักเทพโอสถ”
“แต่เจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถเธออยู่ที่นี่นะครับ” เฉียวเซิงก็ใช้มือชี้ออกไป