ดังนั้นเค้าก็เลยมองไปที่จินเฉิงอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “แกเองเหรอที่หักขาลูกชายของฉัน?”
“อืม เป็าตี๋เชาที่เริ่มก่อน……”
“แกกล้ามากนะ!” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็ขัดจังหวะขึ้นมาก่อนที่ฉินเฉิงจะพูดจบ
เค้าต้องไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดว่า: “ลูกชายของฉันเค้าเป็นเด็กมีพรสวรรค์ แกหักขาเค้า นี่แกจงใจที่จะทำลายอนาคตของเค้า? แกนี่ จิตใจเลวร้ายมากเลยนะ!”
ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็พูดความคิดของเค้าออกมา มันทำให้สีหน้าของฉินเฉิงเย็นชาลงไปในทันที
ท่าทีที่สุภาพก่อนหน้านี้ของเค้ามันก็หายไปแล้วแทนที่มาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“ทำไมคุณไม่ถามหละว่าทำไมฉันถึงหักขาลูกชายของคุณ” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แกไม่มีสิทธิแตะต้องเค้า!” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ฉันได้ยินมาว่าแกสามารถที่จะรักษา? เอาหละ เห็นแก่หน้าของคุณซู ดังนั้นฉันจะให้โอกาสแกรักษาขาของลูกชายฉันให้หายดี ฉันถึงจะปล่อยแกไป”
การพูดจาของเค้ามันดูราวกับว่าสิ่งที่เค้าพูดมันคือเรื่องที่ถูกต้อง
ฉินเฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา เค้ามองไปที่ชายที่หน้ามีแผลเป็นแล้วพูดติดตลกขึ้นมาว่า: “ดูเหมือนว่านายจะพูดถูกนะ”
ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็ผายมือของเค้าออกมา ท่าทีของเค้าดูเหมือนว่าเค้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
“ฉันคิดว่าข้าวนี่มันก็ไม่ต้องกินแล้วแหละ ตอนนี้แกไปที่โรงพยาบาลซะ” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็เอนพิงไปที่เก้าอี้แล้วพูดขึ้นมาอย่างเฉยชา
ฉินเฉิงก็เหลือบมองไปที่เค้าแล้วเยาะเย้ยออกมา: “ถ้าหากว่าฉันบอกว่าไม่ไปหละ?”
“แกกล้าเหรอ!” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็จงใจพูดขึ้นมาในทันที “ถ้าหากว่าแกรักษาขาของลูกชายฉันไม่ได้ ชีวิตที่เหลือของแก ฉันจะทำให้แกต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต!”
“ฮ่าๆ นี่มันลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ เลย” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ฉันว่าคุณน่าจะปล่อยให้ลูกชายของคุณนอนติดเตียงแบบนี้ไปน่าจะดีกว่านะ จะได้ไม่ไปหาเรื่องใครเค้า”
หลังจากที่พูดประโยคนี้ออกมาแล้ว ฉินเฉิงก็หันหน้าแล้วเตรียมที่จะจากไป
ในตอนนี้เอง ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็คว้าเค้าไปที่แก้มไวน์แล้วคว้ามันใส่ฉินเฉิงอย่างดุเดือด
แก้วไวน์นี่มันบังเอิญโดนเข้าไปที่หัวของฉินเฉิง
ฉินเฉิงก็ไม่หลบ แก้วไวน์ก็แตกที่หัวของเค้าแล้ว ไวน์นั่นมันก็กระจายไปทั่วหน้าของเค้า
“แกรนหาที่ตายนะ!” ชายที่มีแผลเป็นบนหน้าก็กำหมัดของเค้าจนแน่นแล้วพูดออกมา
ฉินเฉิงก็ยื่นมือออกมาห้ามเค้าเอาไว้แล้วส่ายหัว
ทันทีที่เค้าเช็ดไวน์ที่อยู่บนหน้าของเค้าออก เค้าก็เยาะเย้ยขึ้นมาว่า: “คุณรู้หรือไม่ว่าการกระทำของคุณมันจะส่งผลยังไงกับคุณ”
“ผลที่ตามมา?” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็หัวเราะเยาะขึ้นมา “ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณซูเค้าจะยอมมาสู้กับตระกูลตี๋ของเราเพื่อแก ส่วนแก…..แกกล้าที่จะทุบตีฉันอย่างงั้นเหรอ?”
“แกเข้าใจผิดคิดว่าคนที่หนุนฉันอยู่ด้านหลังก็คือตระกูลซูอย่างงั้นเหรอ อันที่จริงคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือตัวฉันเอง” ประโยคนี้มันไม่เพียงแค่บอกตี๋รุ้ยเจี๋ยเท่านั้น แต่เค้าตั้งใจที่จะบอกทุกคนอีกด้วย
“ฉันไม่ทำอะไรแกหรอก แต่การที่ฉันจะจัดการกับแก มันก็มีหลายวิธีเลย” หลังจากที่ฉินเฉิงพูดออกมา เค้าก็สะบัดนิ้วของเค้าแล้วพ่นลมหายใจใส่หน้าผากของตี๋รุ้ยเจี๋ยโดยตรง
ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เค้าไม่แม้มแต่ที่จะสังเกตการณ์เคลื่อนไหวนี้เลยด้วยซ้ำ
เค้าก็ด่าว่า: “หยุดที่จะพูดเรื่องไร้สาระกับฉันได้แล้ว ฉันจะให้เวลาแกแค่สามวันก็เท่านั้น ถ้าหากว่าหลังจากที่ผ่านไปแล้วสามวันลูกชายของฉันเค้ายังนอนติดเตียง อย่าหาว่าฉันเสียมารยาทก็แล้วกัน”
ฉินเฉิงก็ไม่ได้พูดอะไร เค้าหันหน้าแล้วพาชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าผากออกไป
หลังจากที่เดินออกไปจากร้านอาหารยุนลั่วแล้ว ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็พูดขึ้นมาอย่างเป็นกังวลว่า: “คุณฉิน คุณจะทนทำไม?”
การกระทำของชายที่มีแผลเป็นที่หน้ามันก็กระตุ้นความรู้สึกของฉินเฉิง
เค้าเองก็รู้ว่าตี๋รุ้ยเจี๋ยเป็นคนมีอำนาจ แต่เค้าก็ไม่ลังเลเลยที่จะทำเพื่อตัวเอง นี่มันเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก
ฉินเฉิงก็หัวเราะเยาะขึ้นมา: “อีกสามวัน เค้าจะต้องมาขอร้องฉัน”
สิ่งที่พ่นหน้าผากของเค้าก็คือยันต์ มันก็คล้ายกับคาถาของพวกคนตะวันตกเฉียงใต้ แต่มันซับซ้อนมากกว่าคาถา
เมื่อลงยันต์แล้ว ชีวิตมันจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย ต่อให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็จะไม่พบอาการอะไร
“กลับไปเก็บกวาดซะ พรุ่งนี้ฉันจะไปที่เมืองจิง” ฉินเฉิงก็พูดกับชายที่มีแผลเป็นที่หน้า
ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็พยักหน้าขึ้นมา มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเค้าเองก็ไม่พอใจเล็กน้อย
ที่ร้านอาหารลั่วยุนทุกคนก็ยังคงสนุกสนานกันต่อ ทุกคนชนแก้วกันอย่างมีความสุข
หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็รู้สึกคลื่นใส้ขึ้นมาเล็กน้อย เค้าแน่นหน้าอกแล้วหายใจหอบ แต่เค้าเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เค้าคิดว่าเค้าดื่มมากไป เค้าก็เลยบ่นพึมพำขึ้นมาว่า: “บ้าจริง ต่อไปต้องดื่มให้มันน้อยๆ ลงแล้ว”
…
หลังจากที่กลับบ้านไป หวงหลงก็บอกกับชายชราซูว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณซู คุณบอกว่าคุณจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แล้วคุณก็จะไม่ช่วยฉินเฉิงเลยอย่างงั้นเหรอ?” หวงหลงก็ลองที่จะถามดู
“นั่นมันก็แน่นอน” ชายชราซูพยักหน้าของเค้าขึ้นมา จากนั้นเค้าก็หันกลับมาแล้วพูดว่า: “แน่นอน ฉันก็จะไม่ช่วยตี๋รุ้ยเจี๋ยเหมือนกัน”
หวงหลงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาในใจ คนอย่างตี๋รุ้ยเจี๋ยเค้าจะต้องการความช่วยเหลือด้วยอย่างงั้นเหรอ
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงกับชายที่มีแผลเป็นบนหน้าก็ออกเดินทางไปที่เมืองจิงแต่เช้าตรู่
“คุณฉิน ทำไมเราไม่ซื้อรถหละครับ?” พวกเค้าก็ยืนกันอยู่ที่หน้า บขส ชายคนที่มีแผลเป็นที่หน้าหก็บ่นขึ้นมา
“ตัวตนของคุณ มันเหมาะที่จะนั่งรถทัวร์เหรอครับ?”
ฉินเฉิงก็กรอกตาของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ตัวตนของฉันมันคืออะไรกัน ฉันเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปก็เท่านั้น นอกจากนี้ นั่งรถทัวร์มันไม่ดีอย่างงั้นเหรอ?”
“มันไม่สบาย…..” ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็บ่นขึ้นมา “ถ้าคุณไม่มีเงิน กลับไปผมจะออกเงินให้”
ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น: “เอาหละ รอฉันมีเวลาก่อน ฉันจะซื้อมันอย่างแน่นอน”
ทันทีที่เค้าขึ้นรถแล้วนั่งลง ฉินเฉิงก็ถูกตบเข้าไปที่ไหล่
“ฉินเฉิง? บังเอิญอะไรเนี่ย?” เมื่อเค้าหันหน้ามาเค้าก็พบว่าคนๆ นี้เป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนของเค้า
ฉินเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
กงเหยาก็ฝืนยิ้มขึ้นมา: “ช่วงนี้บริษัทไม่ค่อยดีหนะ เค้ากำลังจะปลดพนักงาน น่าเสียดายที่ฉันเองก็เป้นหนึ่งในนั้น”
“งั้นก็จะไปพักผ่อนที่เมืองจิงเหรอ?” ฉินเฉิงก็ยิ้มขึ้นมา
“อย่างแรกก็ไปเที่ยว แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือไปหาลุงรอง เค้ามีบริษัทอยู่ที่เมืองจิง ฉันก็เลยไปเยี่ยวเค้าซะหน่อย” กงเหยาก็พูดขึ้นมา
จากนั้น เธอก็ถามว่า: “แล้วนายหละ?”
“ฉันจะไปเที่ยว” ฉินเฉิงก็พูดออกมาอย่างไม่สนใจอะไร
กงเหยาก็เป็นผู้หญิงที่เป็นคนตรงไปตรงมา แม้ว่าเธอดจะเรียนจบมหาลัยมาได้หลายปีแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยถูกสังคมย้อมให้เปลี่ยนสีไปตามสังคมเพี้ยนๆ พวกนั้นเลย
ระหว่างทาง ทั้งสองก็พูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวในปัจจุบัน หลังจากที่เข้าใจกันแล้ว เค้าก็ได้รู้ถึงเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้กงเหยาถูกไล่ออกมา ทั้งหมดมันเป็นเพราะจางหัว
จางหัวคนนี้เค้าก็ไม่กล้าที่จะจัดการกับฉินเฉิง ดังนั้นเค้าก็เลยไประบายความแค้นใส่กงเหยา
“จางหัวนี่ไม่รู้จักจำเลยจริงๆ” ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา
กงเหยาก็โบกมือของเค้าขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยแล้วพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า: “ไม่เป็นไรหรอก ตอนแรกฉันเองก็ไม่อยากที่จะทำงานนี้เท่าไหร่ การไปที่เมืองจิงนี่มันก็มีโอกาสมากกว่าอีกนะ”
ฉินเฉิงก็ยิ้มขึ้นมา เค้าไม่พูดอะไร เค้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วแอบส่งข้อความไปหาจินฮู่
ที่อีกด้าน สภาพร่างกายของตี๋รุ้ยเจี๋ยก็เริ่มแย่ลง เค้าไม่เพียงแค่หายใจลำบากเท่านั้น ต่เค้ายังคงรู้สึกราวกับว่ามีกรงเล็บนับร้อยที่กำลังขูดหัวใจของเค้าแล้วก็ยังมีมดที่คอยกัดแทะกระดูกของเค้า
“เร็วเข้า เอาฉันไปส่งโรงพยาบาล…” เค้ากวักมือเรียกผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ
หลังจากที่ตรวจร่างกายแล้วมันก็ไม่พบปัญหาอะไร แต่ความเจ็บปวดของตี๋รุ้ยเจี๋ยมันก็มีแต่จะมากขึ้น มากขึ้นจนเค้าอยากจะตายๆ ไป
“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน….” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็หอบอย่างหนัก เหงื่อเต็มหน้าผากไปหมด
“คุณตี๋ นี่มันเป็นเพราะฉินเฉิงหรือเปล่า?” ในตอนนี้เองคนที่อยู่ข้างๆ เค้าก็พูดขึ้นมา
สีหน้าของตี๋รุ้ยเจี๋ยก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นเองเค้าก็จำสิ่งที่ฉินเฉิงพูดไว้เมื่อวานนี้ได้