เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าแม่ลู่ยอมแพ้เขาในครั้งนี้เพื่อช่วยลู่ซือหยี่ แล้วต้องคิดหาวิธีการอื่นอีกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ให้ลู่ซือหยี่ออกมาง่ายๆแบบนี้หรอก
ผู้หญิงคนนี้ท้าทายความอดทนของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจะต้องให้เธอจดจำเป็นบทเรียน
และในเวลาเดียวกันนี้ ที่ตระกูลเฟิง
เดิมทีกู้ฉางฉิงที่วาดแบบร่างอยู่ก็ได้รับสายที่ไม่คาดคิด
“อาจารย์กู้ ว่างไหม?”
ได้ยินเสียงของชีเสี่ยวจิ่วดังขึ้นในโทรศัพท์
กู้ฉางฉิงขมวดคิ้ว แต่ยังคงเห็นด้วย
ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสองพบกันในร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัท
“คุณให้ฉันมาพบต้องการจะพูดอะไร?”
หลังจากนั่งลง ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา
ชีเสี่ยวจิ่วไม่ได้มองเธอ แต่กำลังคนกาแฟ พูดเบาๆว่า : “ฉันถูกไล่ออกแล้ว”
กู้ฉางฉิงเลิกคิ้ว ไม่พูดอะไร ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เธอไม่ได้เอ่ยปาก รอให้ชีเสี่ยวจิ่วพูดต่อ
เธอไม่เชื่อว่าที่ชีเสี่ยวจิ่วเรียกเธอมา แค่เพื่อบอกเรื่องนี้กับเธอ
และในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้น
ชีเสี่ยวจิ่วเห็นเธอไม่พูด จึงเอ่ยพูดอีกครั้ง
“คุณรู้ไหม? ถึงแม้ว่าท่านประธานจะชดเชยเงินให้ฉันในครั้งนี้ ไม่ได้สนใจความผิดของฉัน แต่ก็ขับไล่ฉันออกจากเมืองนี้ไปตลอดกาล……”
เธอพูดจบ แววตาก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอย : “ในตอนแรกฉันคิดว่าจะเรียนรู้จากคุณจริงๆ แต่ว่าพวกเขาทั้งหมดดูถูกฉัน ฉันไม่มีวันจะได้ดีตามคุณไป ฉันอยากมีหน้ามีตา ในที่สุดผู่หญิงท่านนั้นก็มาหาฉัน เธอรับปากกับฉันว่า ขอเพียงแค่ทำตามที่เธอสั่ง เธอไม่เพียงแต่จะให้เงินฉัน ยังจะให้ฉันไปเรียนต่อที่ต่างประเทศได้ด้วย คุณไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งเหล่านี้ดึงดูดความสนใจจากเด็กที่มีครอบครัวยากจนขนาดไหน”
“ไม่ คุณพูดผิดแล้ว สิ่งที่คุณพูดเหล่านี้ ฉันเข้าใจทั้งหมด”
กู้ฉางฉิงมองไปที่ชีเสี่ยวจิ่วด้วยสายตาเย็นชา
“ความยากจนไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับความผิดพลาดของคุณ คนยากจนก็มีศักดิ์ศรี อีกทั้งความยากจนเป็นสิ่งชั่วคราว ไม่ได้หมายความว่าจะยากจนไปตลอดชีวิต เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว หวังว่าเรื่องครั้งนี้จะทำให้คุณได้รับบทเรียน แล้วคั้งใจสร้างสรรค์ผลงานในอนาคตต่อไป”
ชีเสี่ยวจิ่วได้ยิน ก็จับขอบแก้วแน่น
กู้ฉางฉิงเห็นเช่นนี้ จู่ๆก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูด ถึงอย่างไรก็เป็นทางเลือกส่วนตัว
“ฉันยังมีธุระ ไปก่อนนะ คุณ……ก็รักษาสุขภาพด้วย”
เธอพูดจบ จ่ายค่ากาแฟแล้วก็ออกไป
ชีเสี่ยวจิ่วมองเธอที่จากไป ก็ปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา
……
และในเวลาเดียวกันนี้ ที่ลู่ซื่อกรุ๊ป
แม่ลู่ติดต่อประสานงานกับหลายฝ่ายแต่ไม่สามารถช่วยลู่ซือหยี่ได้ จึงจำใจต้องติดต่อสามีของตนเองเท่านั้น
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมคุณถึงมาติดต่อฉันในเวลานี้?”
เพราะพ่อลู่ไปดูงานราชการต่างจังหวัด ได้รับสายนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว น้ำเสียงไม่พอใจ
แม่ลู่รีบตอบกลับ
พ่อลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า : “ฉันจะส่งคนไปที่สถานีตำรวจ ใช้ชื่อของฉันให้คนปล่อยตัว”
แม่ลู่ได้ยิน ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นได้แค่เช่นนี้
หลังจากวางสาย พ่อลู่รีบให้คนสนิทของเขาจัดการทันที
แต่ไม่รู้ว่าทางด้านเขานั้เพิ่งจะจัดการ ทางด้านเฟิงจิ่งเหยานั้นก็ได้รับข่าวทันที
เฟิงจิ่งเหยารู้ว่าพ่อลู่จะอาศัยฐานะในตอนนี้ ให้ปล่อยลู่ซือหยี่ ได้อย่างง่ายดาย
เขาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ดวงตาสีดำเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“ชวี่ยี่ ให้คนไปขัดขวางคนของทางลู่ซือหยี่นั่น บอกพวกเขาว่าถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ระวังจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้”
ชวี่ยี่พยักหน้าแล้วไปจัดการ
ขณะที่พ่อลู่ส่งคนเดินทางมาถึงสถานีตำรวจ พวกเขาก็เข้าไปขัดขวาง
“พวกคุณเป็นใครกัน?”
ลูกน้องพ่อลู่มองคนที่ชวี่ยี่ส่งมาอย่างระมัดระวัง ตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
คนของชวี่ยี่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง บอกงานที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบน
“คุณผู้ชายวางใจ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย เจ้านายพวกเราเพียงแค่ฝากให้พวกเรามาบอกทั้งสองท่านคำหนึ่งว่า ถ้าท่านทั้งสองช่วยตระกูลลู่พาลู่ซือหยี่กนีล่ะก็ เจ้านายพวกเราจำเป็นต้องนำตระกูลลู่รายงานต่อทางการ ว่าใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่น”
ลูกน้องฟังถึงคำพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
หลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจ หลังจากบอกเสร็จ ก็จากไปทันที
ลูกน้องมองภาพด้านหลังพวกเขาจากไป แล้วมองสถานีตำรวจที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง ก็ลังเลใจขึ้นมาทันที
ในที่สุดชายที่เป็นหัวหน้าก็โทรศัพท์ไปหาพ่อลู่
“รับคนออกมาแล้วหรอ?”
พ่อลู่รับโทรศัพท์ แล้วยังคิดว่าจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว
“ขอโทษครับ หัวหน้า ยังไม่ได้รับคนออกมาครับ”
ผู้ชายกล่าวด้วยเสียงหม่นหมอง ไม่นานก็นำเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้เล่าให้ฟัง ฟังแล้วพ่อลู่ก็โกรธอย่างรุนแรง
“ตระกูลเฟิง เฟิงจิ่งเหยา ดี ดีมาก!”
เขากัดเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเดือดดาล แต่ก็ไม่กล้ากระทำการใดๆ
ขณะนี้ถึงแม้ตำแหน่งข้าราชการที่เขานั่งอยู่จะมั่นคง แต่ก็คลุมไปด้วยศักดิ์ศรี ไม่สามารถผิดได้แม้แต่นิดเดียว
ช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็เกลียดชังตระกูลเฟิงแล้วก็เฟิงจิ่งเหยาถึงที่สุด
เขาสูดลมหายใจอย่างแรง กล่าวสั่งด้วยจิตใจที่มั่นคงว่า: “ในเมื่อไม่สามารถปล่อยคุณหนูออกมาได้ ก็แจ้งให้คนในกองสันติบาล อย่าให้คนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือมารังแกคุณหนูได้”
ลูกน้องรับคำสั่ง วางสายโทรศัพท์แล้วไปจัดการทันที
และเรื่องเหล่านี้ กู้ฉางฉิงล้วรไม่รู้
หลังที่เธอและชีเสี่ยวจิ่วแยกกัน ก็ไม่ได้กลับตระกูลเฟิง แต่ไปที่บริษัท
ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะตัดสินแล้ว แต่ภายหลังมีการจัดการยังไง เธอก็ยังไม่รู้แน่ชัด
พอเธอมาถึงบริษัท แต่ก็ต้องพบว่าบรรยากาศที่บริษัทไม่เหมือนปกติ
คนทั้งหมดล้วนมีใบหน้าปิติยินดี รวมทั้งคนที่มองเธออย่างเหม็นขี้หน้าคาดไม่ถึงว่าจะยิ้มให้เธอ
กู้ฉางฉิงประหลาดใจ
เธอไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการใหญ่ทันที คิดที่จะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลี่ม่านเห็นเธอเข้ามา ก็ดีใจอย่างมาก
“มาตั้งแต่เมื่อไร?”
เธอกล่าวทักทายเชิญกู้ฉางฉิงนั่งไปพลาง กล่าวถามไปพลาง
“เพิ่งมาค่ะ”
กู้ฉางฉิงอมยิ้มแล้วตอบกลับ ไม่นานก็พูดถึงสถานการณ์ที่เห็นจากด้านนอก
“ทำไมเธอเกิดอะไรขึ้น? รู้สึกว่าแต่ละคนคล้ายกับจะตื่นเต้นคึกคัก”
หลี่ม่านฟังแล้ว ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“การปรากฎตัวของคุณนี้ไม่เลว ขณะนี้ทั้งบริษัทก็ตื่นเต้นคึกคักจริงๆ”
กู้ฉางฉิงได้ยิน ในสายตาก็ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
หลี่ม่านเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวอธิบายว่า: “จะพูดไปแล้วก็ยังต้องอาศัยบุญวาสนาของคุณ เรื่องราวครั้งนี้ ถึงแม้จะเกิดเรื่องใหญ่โต แต่ผลสุดท้ายก็ยังเป็นที่ชื่นชอบ ทางด้านลู่ซื่อกรุ๊ปก็ได้ออกมาประกาศขอโทษแล้ว ชื่อเสียงของคุณก็กลับคืนมาเหมือนเดิม อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าแต่ก่อน”
กู้ฉางฉิงฟังถึงคำพุดนี้ ในสายตาก็แปลกใจ
เธอไม่คาดคิดว่าลู่ซื่อกรุ๊ปจะกล่าวขอโทษ
ยังไม่ทันรอให้เธอได้คิดมาก ก็ได้ยินหลี่ม่านใช้น้ำเสียงที่ดีใจกล่าวต่อไปว่า: “แล้วก็ เหล่าชาวเน็ตรู้สึกว่าพวกเขาทำผิดต่อคุณ จึงทำการซื้อผลงานของคุณเองเพื่อเป็นการขอโทษคุณ แน่นอนว่าชื่นชอบผลงานของคุณด้วยใจจริง อย่างไรก็ตามตอนนี้ผลงานของคุณขายหมดแล้ว แม้แต่ผลงานของนักออกแบบคนอื่นๆใน บริษัทก็เป็นที่ต้องการเช่นกัน”
กู้ฉางฉิงได้ยิน ยังไงก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะพัฒนาไปเป็นเช่นนี้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ
ขณะที่เธอกำลังเข้าใจเรื่องราว แต่หลี่ม่านก็โมโหอย่างมาก
เธอก็ไม่รู้ว่าตกลงขั้นตอนผิดพลาดตรงไหน ทำให้ความตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษของเธอกลับกลายเป็นเหยียบย่ำกู้ฉางซินขึ้นไปด้านบน!