เมื่อได้ยินดังนั้น ผานหวังผู้สงบนิ่งมาตลอด ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาหรี่ตาและพูดว่า: “เหยียนเซี่ยมีอัจฉริยะเช่นนี้จริงหรือ? ศิษย์น้องของฉันเป็นถึงจอมยุทธระดับสูง หรือว่าเจ้าหนุ่มคนนี้จะเป็นจอมยุทธ?”
ใบหน้าของซูฉีไห่ดูเคร่งขรึมมาก
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “นี่คือที่ที่ฉันกังวลมากที่สุด ชายหนุ่มคนนี้มีความแข็งแกร่งเป็นจอมยุทธระดับหนึ่งเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผานหวังที่นั่งอยู่บนแผ่นหิน
เขามองที่ซูฉีไห่อย่างเย็นชาและกล่าวว่า “สิ่งที่นายพูดเป็นความจริง?”
“เป็นความจริง” ซูฉีไห่พยักหน้า
ผานหวังลุกขึ้นช้าๆ เขามองไปในทิศทางของเหยียนเซี่ย และพูดเบา ๆ ว่า “อัจฉริยะแบบนี้ ฉันอยากเห็นนัก”
ขณะที่เขาพูด รัศมีของผานหวังก็แผ่ซ่าน
จอมยุทธระดับเก้า!
ซูฉีไห่รับรู้ถึงพลังในกายของเขาเป็นครั้งแรก
แม้ว่าจะเหมือนกับโจวติ่ง ที่เป็นจอมยุทธระดับเก้าเหมือนกัน แต่ซูฉีไห่สามารถสัมผัสได้ว่าทั้งสองคนต่างกันมาก
รัศมีของผานหวังดูแข็งแกร่งและบริสุทธิ์กว่า ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ
“ผานหวัง คุณฝึกมาหลายปี ยังไม่เข้าสู่มหาจอมยุทธอีกเหรอ? ซูฉีไห่ขมวดคิ้ว
ผานหวังเอามือไขว้หลังและกล่าวว่า “การก้าวเข้าสู่มหาจอมยุทธนั้น…เป็นเรื่องยาก จะอยู่แค่ที่นี่ คงไม่พอสำหรับการเข้าไปสู้ขั้นมหาจอมยุทธ”
“คุณซูกำลังสงสัยในความแข็งแกร่งของอาจารย์เหรอ” เด็กฝึกหัดที่อยู่ข้างๆ เขานิ้ม “บอกตามตรง แม้ว่าอาจารย์ของฉันจะเป็นจอมยุทธระดับเก้า แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาแตกต่างจากจอมยุทธทั่วไปโดยสิ้นเชิง”
ซูฉีไห่ขมวดคิ้วและดูงุนงงเล็กน้อย
ผานหวังยิ้ม “น้องซู ไม่ต้องรู้มากหรอก พูดง่ายๆก็คือ ฉันยังไม่เคยเจอนักสู้ระดับเดียวกันเลย”
ที่ผานหวังต้องการจะสื่อคือ เขากับจอมยุทธทั่วไปไปมีความมีความแตกต่างกัน
เพราะเขายังเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญวิธีฝึกฝนเพื่อเป็นอมตะ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นจุดสุดยอดของขั้นจินตัน
ซึ่งเช่นเดียวกับฉินเฉิง ที่ได้เข้าสู่ขั้นจินตัน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจุดตันเถียนแล้ว
“ผานหวัง คุณจะสะดวกเมื่อไหร่?” ซูฉีไห่ถาม
ผานหวังตอบ”อีกไม่กี่วัน ฉันมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจัดการภายในอาณาจักร”
“ได้ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรอต้อนรับคุณที่เหยียนเซี่ย ” หลังจากที่ซูฉีไห่ก้มคำนับเขา และออกไปจากที่นั่น
….
เซิ่นหยุนวิลล่า คฤหาสน์หลังที่สอง วันนี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
เขาสวมชุดคลุมสีดำ ดูลึกลับ
ใครก็ตามที่เข้าใกล้กับ ชายคนนี้กำลังเข้าไปในเซิ่นหยุนวิลล่า
ในห้องของซูหยู่ เสียวหยู่เชี้ยนทำหน้าบูดบึ้งอยู่ข้างๆ
“แม่… ต้องฆ่าฉินเฉิง ต้องฆ่าเขา!” ซูหยู่เมื่อตื่นขึ้นมาก็นึกถึงหน้าของฉินเฉิง
เสียวหยู่เชี้ยนรีบลุกขึ้นมาปลอบ “หยู่เอ๋อ ไม่ต้องกังวล แม่จะแก้แค้นให้ลูกอย่างแน่นอน ลูกต้องรักษาอาการรบาดเจ็บ… ”
ซูหยูพูดออกมาด้วยความไม่เต็มใจ “แม่ ฉันลุกขึ้นไม่ได้อีกต่อไปแล้วใช่ไหม ฉันจะไม่มีวันฆ่าฉินเฉิงได้แแล้วใช่ไหม…”
แม้ว่าเธอจะไม่ตอบคำซูหยู่ มันก็แสดงความหมายออกมาชัดเจน
“ไม่ยอม มันไม่เป็นธรรม!!” ซูหยู่ตะโกน “ฉินเฉิงเป็นเพียงมดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ทำไมเขาถึงมาทำอะไรตระกูลซูของเราได้! ฉันต้องฆ่ามัน ต้องฆ่ามันให้ได้ !!!”
ซูหยู่คลุ้มคลั่งมาก
“แม่ ให้โจวติ่งอาจารย์ของฉันไปฆ่าเขา! ฉันอยากได้หัวของมัน!” ซูหยู่พูดพร้อมแสดงสีหน้าชั่วร้าย
เสียวหยู่เชี้ยนพูดด้วยเสียงสะอื้น “อาจารย์ของลูก…เขาตายแล้ว”
“อะไรนะ!” ซูหยู่ตกตะลึง “ใครเป็นคนทำ เย่อชิงยุนเหรอ?”
“ฉินเฉิง”
แม้ว่าเสียวหยู่เชี้ยนไม่อยากจะเชื่อ แต่มันก็เป็นความจริง
เมื่อได้ยินดังนี้ ซูหยู่ก็ทรุดลงยิ่งกว่าเดิม
ขนาดโจวติ่งยังตายด้วยน้ำมือของฉินเฉิง มันทำให้ซูหยู่รับได้ได้อย่างไร?
ในสายตาของเขา ทุกคนมีการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน คนธรรมดาอย่างฉินเฉิงไม่มีวันก้าวขึ้นมาได้
แต่คนประเภทนี้ กลับทำให้เขาต้องมานอนอยู่บนเตียงโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“ฉันต้องฆ่ามันให้ได้…” ซูหยู่กำหมัดแน่นและพูดด้วยความเจ็บปวด
“นายต้องการจะฆ่าฉินเฉิงจริงหรือ?”
ในเวลานั้น มีเสียงซึ่งฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้หญิงหรือผู้ชายดังขึ้น
เสียงของเขาปรับแต่งมา และไม่รู้ว่ามีวิธีลับใดในการทำ
การแต่งกายของเขา แสดงออกให้เห็นว่าไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน
เสียวหยู่เชี้ยนรีบลุกขึ้น มองไปที่ชายชุดดำที่อยู่ข้างหน้าเธอ และพูดอย่างเย็นชาว่า “นายเป็นใคร?”
ชายชุดดำยิ้ม “คุณผู้หญิง อย่าตกใจ ฉันมาเพื่อช่วยคุณ…”
“ช่วยพวกเราเหรอ?” เสียวหยู่เชี้ยนหรี่ตาลง “ตระกูลซูของพวกเราไปต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นตอนไหน? แล้วนายเข้ามาได้ยังไง”
ชายชุดดำหัวเราะ “คุณผู้หญิง ถ้าฉันบอกว่าฉันจะทำให้ลูกชายของคุณลุกขึ้นอีกครั้ง และฆ่าฉินเฉิงด้วยมือของเขาเอง คุณจะยอมไหม?”
ก่อนที่เสียวหยู่เชี้ยนจะพูดอะไร ซูหยู่ที่อยู่บนเตียงตะโกนอย่างสิ้นหวัง “ฉันยอม! ฉันขอแค่ฆ่าฉินเฉิงด้วยมือของฉันเอง เท่าไหร่ฉันก็ยินดีจ่าย!”
ชายชุดดำพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า “คุณผู้หญิงคงจะไม่คัดค้านความคิกของนายน้อยซูใช่ไหม?”
ดวงตาของเสียวหยู่เชี้ยนลังเล เธอดูไม่มั่นใจ
“แม่ ถ้าฉันไม่สามารถฆ่าฉินเฉิงด้วยมือของฉันเอง ฉันจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไปเพื่ออะไร!” ซูหยู่กล่าว
เมื่อเห็นดังนั้น เสียวหยู่เชี้ยนก็มองไปที่ชายชุดดำและกล่าวว่า “นายอย่ามาล้อเล่นกับพวกเราก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นตระกูลซูจะจัดการนายแน่”
ชายชุดดำหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ฉันจะทำให้ซูหยู่กลับมาเป็นปกติอย่างแน่นอน…”
…
ณ เมืองซุย ตระกูลเซียวนำโดยเซียวโม่ได้เขาไปขอโทษฉินเฉิง
ทุกคนคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ฉันไม่รู้ว่าคุณฉินอยู่ที่นี่ โปรดยกโทษให้ด้วย…” เซียวโม่พูดพร้อมกับก้มหน้าลง
ฉินเฉิงลุกขึ้นและพูดช้าๆ: “ตั้งแต่วันนี้ ตระกูลเนี่ยจะอยู่ในสำนักฉิน เรื่องอื่นฉันจะไม่พูดมากแล้ว ”
บางทีพูดมากไปก็จะดูยืดเยื้อเกิน
เซียวโม่และเนี่ยเทียนต่างก็เป็นคนฉลาด ฉินเฉิงเชื่อว่าพวกเขาจะจัดการกันได้ดี
แน่นอนว่ามันไม่ได้สำคัญที่สุดสำหรับฉินเฉิง หากเขาต้องการกำจัดตระกูลซู สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพึ่งหยานหยุน