“ฉินเฉิงเริ่มการแก้แค้นแล้ว” ผู้คนต่างพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ที่แรกคือสำนักเทียนหยวน และที่ต่อไปจะเป็นที่ไหน?”
ในตอนนั้น ผู้นำตระกูลโข่งแห่งตระกูลศิลปะการต่อสู้รีบเข้ามา
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ลูกชายของฉัน…ลูกชายของฉันถูกฆ่าตายเมื่อคืนนี้ ร่างกายของเขาถูกดูดกลืนจนแห้งเหี่ยว ร่างกายของเขาเหลือเพียงผิวหนังที่ติดกระดูก..”
“พักนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตายด้วยวิธีการแบบนั้น” คนข้างๆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ไม่เลว แค่ในจิงตูอย่างเดียวก็มีคนตายเป็นสิบๆคน แถมการตายของแต่ละคนก็เหมือนกันทุกอย่าง”
“จะใช่ฝีมือของฉินเฉิงหรือเปล่า?” มีคนถามออกมา
“ไม่รู้ แต่ในความคิดของฉัน ฉันว่าช่วงนี้พวกเราควรจะอยู่ด้วยกันจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นบางทีอาจจะถูกเจ้าฉินเฉิงหาโอกาสมาจัดการพวกเรา แบบนั้นทุกคนจะตายกันหมด”
“ฉันแนะนำว่ารีบเตรียมตัวและฆ่าเขาตั้งแต่เนิ่นๆ! พวกเราเป็นตระกูลใหญ่ คิดจะหลบซ่อนจากฉินเฉิงไปทั้งชีวิตหรือไง?”
ในตอนนั้นทุกคนต่างตกลงใจกันเพื่อหาโอกาสที่จะฆ่าฉินเฉิง
ทั้งวันทุกคนต่างหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู
กรรมการหลายคนรวมตัวกัน
ต่อหน้าพวกเขา มีการนำเสนอเอกสารมากมาย และเนื้อหาในเอกสารนั้นเป็นข่าวการฆาตกรรมล่าสุดของชายชุดดำ
“อีกฝ่ายไม่รู้ว่าใช้เวทมนตร์อะไรดูดพลังงานภายในของเหยื่อ วิธีการนี้โหดร้ายมากจริงๆ” ชางโจวพูดออกมา “สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นใจจิงตู มันหมายความว่าอะไร ฉันคิดว่าทุกคนคงเข้าใจ”
ในตอนนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
หลังจากที่เห็นชายหนุ่มคนนั้นทุกคนต่างลุกขึ้นและหันไปทำความเคารพเขา
“เลขานุการเจิ้ง คุณมาแล้ว” ชางโจวยิ้มและพูดออกไป
คนที่ถูกเรียกว่าเลขานุการเจิ้ง ขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “เมื่อสักครู่ด้านบนได้โทรมาหาท่านประธาน บอกให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี ตอนนี้คนทั้งโลกกำลังจับตาดูสมาคมของพวกเราอยู่ แม้แต่เย่อชิงยุนก็เอ่ยปากออกมาเป็นดารส่วนตัว”
ชางโจวรีบพูดออกไปว่า “คุณวางใจ ผมจะจัดการเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ”
“ชางโจว นายก็น่าจะรู้ว่าคนที่ถูกทำร้ายเป็นใครบ้าง และแต่ละสถานที่รู้ไหมว่ามันคือที่ไหน” เลขานุการเจิ้ง พูดออกมา “ด้านบนให้เวลาพวกเราหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนนี้ต้องหาตัวคนร้ายมาให้ได้ เข้าใจไหม?”
“เลขานุการเจิ้ง คุณวางใจ ในหนึ่งเดือนนี้ผมจะต้องหาตัวคนร้ายมาได้อย่างแน่นอน!”
เลขานุการเจิ้ง พยักหน้าจากนั้นเขาก็เดินออกไป
ชางโจวถอนหายใจออกมา “กล้าก่อเหตุที่ใหญ่โตขนาดนี้ มันช่างหยิ่งผยองจริงๆ”
หยิ่งผยอง เมื่อนึกถึงคำนี้ ชางโจวก็นึกถึงฉินเฉิงขึ้นมาทันที
เขาพูดออกมาว่า “เรื่องนี้คงไม่ใช่ว่าเกี่ยวข้องกับฉินเฉิงหรอกนะ?”
….
ตระกูลซู
ซูฉีไห่กำลังนั่งเมาอยู่บนโซฟา
ตั้งแต่เขาถูกผู้อาวุโสซูไล่ออกมา เขาก็เอาแต่ดื่มทุกวัน
และในตอนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากหน้าประตู
หยานหยุนค่อยๆเดินย่องเข้ามา
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เหมือนกับถูกทำร้ายมาอย่างหนัก
หลังจากที่เห็นซูฉีไห่ เขาก็ล้มลงกับพื้นทันที
“ผู้พิทักษ์อาวุโส?” ซูฉีไห่ขมวดคิ้วและพูดออกไป “เกิดอะไรขึ้นกับนาย?”
หยานหยุนชี้ไปทางหน้าประตูและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง…ฉินเฉิงจะฆ่าฉัน!”
ซูฉีไห่ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม และพูดออกมาอย่างเยือกเย็นว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นหยานหยุนก็ตกใจขึ้นมาทันที
เขารีบพูดออกไปว่า “คุณซู หลายปีที่ผ่านมาฉันทำเพื่อตระกูลซูตั้งมากมาย คุณ…คุณต้องช่วยฉันนะ!”
ซูฉีไห่หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ช่วยนาย? ตอนนี้ลำพังตัวฉันเองก็ยังยากที่จะปกป้องเลย แล้วจะเอาอะไรไปปกป้องนาย?”
ในตอนนั้นเสียวหยู่เชี้ยนก็เดินลงมาจากด้านบน
หยานหยุนไม่ยอมแพ้ เขาหันไปหาเสียวหยู่เชี้ยนและพูดออกมาว่า “คุณผู้หญิง!”
เสียวหยู่เชี้ยนพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น “ตระกูลซูตัดสาขาที่แปดทิ้งแล้ว ตอนนี้เรื่องของศิลปะการต่อสู้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาแล้ว มีนายไว้ก็ไม่มีประโยชน์ นายจะเป็นหรือตายมันเกี่ยวอะไรกับเรา?”
ในตอนนั้นสีหน้าของหยานหยุนน่าเกลียดมาก
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ก็ฟันและเดินออกไป
แต่หยานหยุนเดินออกไปได้ไม่นานฉินเฉิงก็เปิดประตูเข้ามา
เขาเดินมานั่งลงที่โซฟา จากนั้นก็หยิบองุ่นที่อยู่บนโต๊ะใส่ปาก
ซูฉีไห่ขมวดคิ้ว เขาพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง นายคิดจะทำอะไร?”
ฉินเฉิงยิ้มและพูดออกมาว่า “ส่งคนมาให้ฉัน”
“คนอะไร?” ซูฉีไห่ถามออกมาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น
“นายอย่าทำเป็นไม่รู้อะไร หยานหยุนอยู่ไหน?” ฉินเฉิงถามออกมา “ฉันเห็นกับตาว่าเขาหนีเข้ามาที่นี่ เขาเป็นผู้พิทักษ์อาวุโสของตระกูลซู นายคงจะไม่บอกว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกใช่ไหม?”
ซูฉีไห่ยิ้มและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง นายนี่มันไร้เดียงสาจริงๆเลย”
“ไร้เดียงสา?” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว
“ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความรู้และประสบการณ์มามากมาย ขอแค่มีประโยชน์เท่านั้น ถึงจะมีค่า นายคิดว่าอุบายเด็กๆแบบนี้จะใช้กับฉันได้อย่างนั้นเหรอ นายเองก็จะอายุ 30 อยู่แล้ว ไม่เข้าใจเหตุผลพวกนี้หรือไง?”
ฉินเฉิงหรี่ตาลง ในใจของเขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ตอนแรกเขาคิดว่าหยานหยุนอาจจะหักหลังเขา แต่เมื่อเห็นท่าทีของซูฉีไห่แล้ว ซูฉีไห่คงเป็นคนไล่หยานหยุนออกไปจริงๆ
“นั่นมันคนแบบพวกนาย” ฉินเฉิงลุกขึ้น “ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแบบนั้น”
ซูฉีไห่ตอบกลับไปว่า “ไม่ช้าก็เร็วนายจะเข้าใจเหตุผลนี้ บนโลกใบนี้ผลประโยชน์เท่านั้นที่จะมีค่าตลอดไป”
“ดังนั้นตอนนี้นายจึงทำได้แต่เกาะตระกูลซูไปวันๆ” ฉินเฉิงพูดออกมาและเดินจากไป
ในตอนดึก
ในอพาร์ตเมนต์หยานหยุนนั่งอยู่ที่นั่นอย่างหดหู่
เขาทำเพื่อตระกูลซูมามากมาย แต่วันนี้เมื่อเขาเห็นท่าทางของซูฉีไห่กับเสียวหยู่เชี้ยน มันทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
ฉินเฉิงเดินเข้ามาตบที่ไหล่ของเขา และไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นไม่นานหยานหยุนก็ลุกขึ้นและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง นายเองก็เห็นแล้ว ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้”
ฉินเฉิงส่ายหน้า “ไม่ ยังมีโอกาสอยู่ นายยังมีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ข้างๆผูอาวุโสซู”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง” หยานหยุนพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว “นายคิดอะไรของนายอยู่กันแน่ ผู้อาวุโสซูเขาเป็นใคร? สถานะของเขาอยู่บนจุดสูงสุดของเหยียนเซี่ย! ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เป็นคนที่เกลียดศิลปะการต่อสู้เอามากๆ”
“ฉันบอกว่ามีโอกาส มันก็ต้องมีโอกาส” ฉินเฉิงจ้องไปที่หยานหยุนและพูดออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจัง
หยานหยุนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็นั่งลงและพูดออกมาว่า “ก็ได้ งั้นนายบอกมาว่าจะให้ฉันทำอะไร”
“รอก่อน” ฉินเฉิงพูดออกมา “รอเมื่อมีโอกาสเมื่อไหร่ ฉันจะบอกนายเองว่านายควรจะทำอย่างไร ช่วงนี้นายไม่ต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อมีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะติดต่อไปเอง”
“ได้” หยานหยุนตอบกลับมา
ในคือนั้นหยานหยุนก็ออกจากที่พักทันที
ตระกูลซูเกือบจะอยู่ในจุดสูงสุดของโลก
แต่พวกเขามีข้อบกพร่องร้ายแรงสองประการ ประการแรกคือพวกเขาหยิ่งเกินไป และอีกประการหนึ่งคือพวกเขาดูถูกศิลปะการต่อสู้มาก ด้วยวิธีนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสดีสำหรับฉินเฉิง
วันรุ่งขึ้น ก็มีคนที่ไม่คาดคิดโทรมา ทำให้ฉินเฉิงประหลาดใจมาก