เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็เงียบไป ไม่กล้าถามต่อ แล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ทำให้ในห้องขนาดใหญ่ ในตอนนี้เหลือเพียงคนเดียว
เธอมีท่าทางยืดยาด ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง
ในเวลานี้ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า ท่าทางที่ดูเกียจคร้านก่อนหน้านี้ได้หายไป มันถูกแทนที่ด้วยออร่าที่ไม่สามารถบรรยายได้
…
บนเครื่องบิน ฉินเฉิงหลับตาลงเล็กน้อย
ดูๆแล้วเขามีท่าทีสบาย ๆ แต่จิตใจของเขายังคงยุ่งเหยิง เหมือนกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้น เขาหยิบเสื้อคลุมสีดำออกมาแล้วกระซิบ “จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”
เมื่อไปถึงตำหนักเทพโอสถ ก็ดึกมากแล้ว
แต่ที่ตำหนักเทพโอสถไม่มีใครหลับเลย พวกเขาทั้งหมดกำลังรอฉินเฉิง
ทันทีที่ฉินเฉิงกลับมา ทุกคนก็ล้อมเขาไว้
“ยินดีด้วย ผู้อาวุโสฉิน!” พวกเขาโค้งคำนับเพื่อแสดงความยินดี
ฉินเฉิงเผลอมองไปที่เจ้าสำนัก และพลางกระซิบ “เหมือนกับที่ฉันคิดไว้เลย…”
เจ้าสำนักเหลือบมองที่ฉินเฉิง และพูดขึ้นว่า “มากับฉัน”
เมื่อมาถึงห้องโถงตำหนัก เจ้าสำนักก็ถามว่า “เคยเห็นพวกเขาไหม”
ฉินเฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ท่าเจ้าสำนักไม่ต้องกังวลไป ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”
“ผิดหวัง?” เจ้าสำนักยิ้ม “ไม่ใช่ว่านายชนะแล้วหรอ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” ฉินเฉิงจ้องไปที่เจ้าสำนัก
คิ้วของเจ้าสำนักขมวดเล็กน้อย และหลังจากนั้นสักพัก ก็ค่อยๆคลายออกอย่างช้าๆ
“นายฉลาดกว่าที่ฉันคิด” เจ้าสำนักยิ้ม
“คุณเองก็หยั่งรู้มากกว่าที่ฉันคิด” ฉินเฉิงตอบ
เจ้าสำนักยืนขึ้น นางยืดเอวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แล้วสำนักงานรักษาความมั่นคงที่ต้องการยาล่ะ”
“ฉันจะเขียนวิธีกลั่นยาให้คืนนี้” ฉินเฉิงพูด “แล้วก็ถ้าคุณปรับแต่งยานี้แล้วล่ะก็ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“อืม” เจ้าสำนักพยักหน้าเห็นด้วย
ในคืนนั้น ฉินเฉิงเขียนอักษรเป็นหมื่นตัวถึงเขียนวิธีกลั่นเสร็จ
แต่วิธีนี้ ยาเม็ดจะยังไม่สมบูรณ์ มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งถูกส่งไปให้กับเจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถ และอีกส่วนหนึ่งจะถูกซ่อนอยู่ในห้องผู้อาวุโส
“ฉันหวังว่ามันจะไม่ถูกใช้” ฉินเฉิงกระซิบหลังจากซ่อนอีกครึ่งหนึ่งของเม็ดยา
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงยื่นวิธีกลั่นยาให้กับเจ้าสำนัก
เจ้าสำนักไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ และพูดว่า “ฉันจะเก็บยานี้แทนนายไว้ก่อนชั่วคราว และจะไม่ส่งให้แก่สำนักงานความมั่นคง”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” ฉินเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทั้งสองคนนั้นคล้ายๆกัน แม้ว่าฉินเฉิงจะส่งวิธีการกลั่นยาให้กับเจ้าสำนัก แต่เจ้าสำนักก็จะไม่ปรับแต่งใดๆ แต่จะรอให้ฉินเฉิงทำด้วยตัวเขาเอง
ในไม่ช้า ฉินเฉิงก็ออกจากตำหนักเทพโอสถ
…
สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู ผู้อาวุโสซูและผู้จัดการตระกูลซูกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุม
“ผู้อาวุโสซู ท่านคิดว่าความเห็นของฉันเป็นไง?” ชางโจวพูดด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้ให้เรื่องนี้เป็นจริงเพียง 10% ฉินเฉิงก็จะต้องตายอย่างแน่นอน! แม้แต่เย่อชิงยุนก็ยังทำอะไรไม่ได้!”
ผู้อาวุโสซูลูบหน้าผากและพูดว่า “ฉันไม่อยากเสียเวลากับไอ้เด็กนี่มากเกินไป สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูไม่มีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่หรอ ส่งคนไปฆ่าเขาซะ”
เมื่อชางโจวได้ยินสิ่งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูมีจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน แต่… คุณรู้ไหมว่าจอมยุธ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นยังไง จะใช้พวกเขาไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นสมาคมมีพวกเขาเพียงไม่กี่คน … ”
ผู้มีพลังเหล่านี้มันยุ่งยากเรื่องมากจริงๆ ผู้อาวุโสซูบ่นออกมาตรงๆ
เลขาเจิ้งที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างอึดอัดเล็กน้อย “ผู้อาวุโสซู ตระกูลซูของคุณรวยมาก ทำไมไม่ขอให้จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่มาฆ่าฉินเฉิงเองเลยล่ะ ตราบใดที่คุณให้เงินเพียงพอ ฉันเชื่อว่าพวกเขายินดี”
ผู้อาวุโสซูเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบ “ใช้เงินเป็นพันล้านเพื่อซื้อหัวมนุษย์น่ะหรอ ฉันจะทำธุรกิจที่ขาดทุนแบบนั้นได้ยังไง?”
ตามหลักแล้ว ผู้อาวุโสซูคนนี้ยังคงเป็นนักธุรกิจ สำหรับผู้อาวุโสซูแล้ว ทุกสิ่งสามารถวัดได้ด้วยมูลค่าของมัน
เลขาเจิ้งพูดด้วยท่าทางแปลก ๆ ว่า “คุณพูดถูก หรือว่าสมาคมศิลปะการต่อสู้ของเราจะออกแทนจะสะดวกกว่า”
ผู้อาวุโสซูพูดอย่างเย็นชา “คุณเยาะเย้ยฉันเหรอ?”
“ไม่ ฉันไม่กล้าหรอก” แม้ว่าเลขาเจิ้งจะพูดอย่างนั้น แต่ในใจเขาก็ดูถูกอย่างมาก
“ผู้อาวุโสซูไม่ต้องกังวล แผนของเราในครั้งนี้มันสมบูรณ์แบบ ตราบใดที่ฉินเฉิงกล้าที่จะแสดงตัวออกมา เราจะจับเขาได้อย่างแน่นอน!” ชางโจวพูดด้วยน้ำเสียงที่กลมกล่อม
ผู้อาวุโสซูพูดอย่างไม่อดทน “ก็ดี ฉันหวังว่าจะเห็นผลโดยเร็วที่สุด”
“ไม่มีปัญหา” ชางโจวตกลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกจากสมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตูแล้ว ผู้อาวุโสซูก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าฉินเฉิงมีสำนักฉินอยู่ใช่ไหม?”
“ครับท่าน” ผู้จัดการที่ยืนอยู่ด้านข้างโค้งคำนับและพูด
ผู้อาวุโสซูโบกมือและพูดว่า “รีบจัดการให้เร็วที่สุด”
“ครับท่าน” ผู้จัดการพยักหน้า
ในวันนั้น สำนักฉินก็ได้ต้อนรับผู้คนหลายกลุ่ม
คลื่นลูกแรกท่จากสมาคมศิลปะการป้องกันตัวได้ดำเนินการตรวจสอบสำนักฉินอย่างละเอียด จัดการคนได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
คลื่นลูกที่สองคือแรงกดดันจากตระกูลศิลปะการต่อสู้ ภายใต้การกดดัน ทำให้สำนักฉินสูญเสียคนไปอีกหนึ่งในสาม
สำนักฉินจำเป็นต้องรวบรวมคนอย่างหนัก เพียงแค่คำพูดของผู้อาวุโสซูเพียงไม่กี่คำ
…
ในอพาร์ตเมนต์ ฉินเฉิงได้จับหัวเล็กๆของจิ้งจอกไฟด้วยความเอ็นดู
จิ้งจอกไฟเองก็ยังลูบแขนของฉินเฉิงอย่างกระตือรือร้น
“มา ลองกัดฉันดู” ฉินเฉิงยกจิ้งจอกไฟขึ้นมาแล้วพูด
จิ้งจอกไฟส่ายหัวอย่างแรง ดูเหมือนว่าจะปฏิเสธ
ฉินเฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร กัดเจ็บก็จะไม่โทษหรอก ทแถมยังจะให้รางวัลเป็นอาหารมื้อใหญ่ล่ะ”
จากนั้นจิ้งจอกไฟก็ยอมประนีประนอม มันเลียปากที่มีขนปุกปุยแล้วก็พุ่งไปที่แขนของฉินเฉิง
ฟันของจิ้งจอกไฟกับแขนฉินเฉิงกระแทกเข้าหากันอย่างแรง ทำให้เกิดเสียงดัง
เมื่อมองลงมา เห็นเพียงรอยเลือดขนาดเท่ารูเข็มที่แขนของฉินเฉิง
จิ้งจอกไฟจ้องไปด้วยดวงตากลมโตของมันและตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
มันดูไม่มั่นใจและกระโจนเข้าหาอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ ก็กลับได้ผลเหมือนเดิม!
“ไม่เลว ไม่เลว” ฉินเฉิงพอใจอย่างยิ่ง ฟันของจิ้งจอกไฟนั้นคมมาก และแม้แต่ระดับจอมยุทธ์ก็สามารถถูกกำจัดได้อย่างง่ายดาย!
แต่ในตอนนี้ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉินเฉิง! ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าร่างกายของฉินเฉิงนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
“ร่างกายของฉัน ฉันกลัวว่าแม้แต่จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็จะไม่สามารถทำลายการป้องกันนี้ได้” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
แต่แน่นอนว่าจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่มีวิธีการมากมาย การจะฆ่าฉินเฉิงนั้นมันง่ายมาก
ในขณะนี้ มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกอพาร์ตเมนต์
ฉินเฉิงขมวดคิ้ว และจู่ๆ ก็ปล่อยพลังแห่งจิตศักสิทธิ์ออกมา
เห็นเพียงชายชุดดำสองคนยืนอยู่หน้าประตู ทั้งสองคนเป็นนักศิลปะการต่อสู้
“ใครกัน” เมื่อฟางเสี่ยวเต๋อเห็นฉินเฉิงเปิดประตูช้า เธอจึงก็เดินไปเปิดประตูด้วยท่าทางที่หงุดหงิด
ทันทีที่ประตูเปิด ชายชุดดำสองคนส่งคำเชิญให้ฟางเสี่ยวเต๋อ
“สมาคมศิลปะการต่อสู้จิงตู ขอเชิญเจ้าสำนักฉินเข้าร่วมการประชุมร้อยนิกาย” ชายชุดดำสองคนพูดอย่างเฉยเมย