เฉียวเซิงถอนหายใจแล้วพูดว่า: “ฐานรากการกลั่นพลังของฉินเฉิงยังไม่ฟื้นตัว ถ้าฉันต้องสู้กับเค้า นี่มันจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกอย่างงั้นเหรอ?”
ทุกคนพูดอย่างตื่นเต้น: “ตราบใดที่คุณลงมือ ผมสัญญาว่าทุกคนจะสนับสนุนคุณ!”
“ใช่ พวกเรายอมที่จะเชิญคุณมาลงมืออย่างเปิดเผย!”
“คุณชายเฉียว เราจะเขียนจดหมายเชิญคุณในฟอรัมศิลปะการต่อสู้ในทันที!”
เฉียวเซิงเยาะเย้ยในใจ เค้าต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อลุกขึ้นยืน แต่น่าเสียดายที่เค้าไม่พบโอกาสนี้เลย
ผู้ชายที่น่ารังเกียจอย่างเค้าก็ตอบประโยคนั้นไปว่า: เมื่อมันจนตรอกอย่างงั้นก็จัดการมันซะ
เค้าต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการจัดการกับศัตรูตัวฉกาจอย่างฉินเฉิง แต่เค้าก็กลัวว่าตัวเองจะถูกแทงหลัง
ตอนนี้คนกลุ่มนี้ก็เอาโอกาสนี้มาให้เค้า
“งั้นก็ได้” เฉียวเซิงแสร้งทำเป็นลำบากใจแล้วพูดว่า: “อย่างงั้นฉันก็จะตอบตกลงก็แล้วกัน”
“ต้องขอบคุณคุณชายเฉียวมาก!”
“คุณชายเฉียวนี่เป็นที่หนึ่งของโลกจริงๆ!”
“ความเมตตาของคุณชายเฉียว พวกเราจะไม่มีวันลืม!”
คนเหล่านี้เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและการกระทำของเฉียวเซิงไม่เพียงแต่สามารถกำจัดศัตรูที่ยิ่งใหญ่อย่างฉินเฉิงได้เท่านั้น แต่มันยังนำความร่วมมือมาสู่ตระกูลเฉียวด้วย
ในวันเดียวกัน ฟอรัมศิลปะการต่อสู้ได้ออกประกาศ: กว่าสิบสมาชิกจากตระกูลใหญ่ร่วมกันขอให้เฉียวเซิงจัดการกับวายร้ายอย่างฉินเฉิง
ข่าวนี้ดังระเบิดในทันที อย่างน้อยกว่า 80% ของผู้คนในฟอรัมทั้งหมดสนับสนุนการเคลื่อนไหวนี้ และกว่า 20% ของผู้คนรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกและเฉียวเซิงกำลังใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้
เมื่อเห็นแรงสนับสนุนที่มากขึ้น เฉียวเซิงก็โล่งใจ
ดังนั้นเค้าจึงตอบต่อสาธารณะชนในฟอรัมศิลปะการต่อสู้ว่า: “ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นเท่านั้น ในโลกนี้มีคนที่มีฝีมือจำนวนมาก แต่พวกเค้าไม่กล้าที่จะออกมา ถ้าหากว่าพวกเค้าไม่ทำมัน อย่างงั้นวายร้ายอย่างฉินเฉิงฉันจะจัดการมันเอง!”
คำพูดเหล่านี้ผลักดันให้เฉียวเซิงขึ้นแท่นเป็นผู้นำความยุติธรรมในทันที ฟอรัมศิลปะการต่อสู้ต่างก็ชื่นชมเค้าครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านอาจารย์ เฉียวเซิงคนนี้มันอยากจะสู้กับท่าน!” ที่ด้านบนภูเขาหลงไห่ ฉูเป่ยชวนบ่นพึมพำขึ้นมาในขณะที่เค้ากำลังถือแท็บเล็ต
“ไม่หละ” ฉินเฉิงปฎิเสธโดยไม่ดูมันด้วยซ้ำ
ฉูเป่ยชวนกลอกตาแล้วพูดว่า: “นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถปฏิเสธได้ ดูสิเฉียวเซิงมันตั้งชื่อตัวเองว่าคนที่ต้องการแสวงหาความยุติธรรมให้กับผู้คนในโลกของศิลปะการต่อสู้!”
“โอ้?” ฉินเฉิงหยิบแท็บเล็ตแล้วเหลือบมอง
เมื่อเห็นคำพูดที่อวดดีของเฉียวเซิง เค้าก็รู้สึกคลื่นใส้
เค้าโยนแท็บเล็ตทิ้งไปแล้วพูดว่า: “เฉียวเซิงนี่มันไร้ยางอายจริงๆ หรือว่าในจงหยวนไม่มีใครแล้วเหรอ มันถึงได้กล้าบอกว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง…”
“อาจารย์ ท่านจะทำอะไร?” ฉูเป่ยชวนถาม “ผมบอกเลยนะว่าผมเอาชนะเฉียวเซิงไม่ได้หรอก อย่าให้ผมลงมืออีกหละ!”
ฉินเฉิงเยาะเย้ยแล้วพูดว่า: “เฉียวเฉิงพยายามจะฆ่าฉันมาแล้วถึงสองครั้ง คิดว่าฉันไม่เอาถ่านอย่างงั้นเหรอ?”
“อย่างงั้นอาจารย์ก็ตอบตกลงแล้วสินะ?” ฉูเป่ยชวนรีบหยิบแท็บเล็ตขึ้นมา “อาจารย์จะให้ผมตอบรับมันเลยไหม”
“ไม่ต้อง” ฉินเฉิงเอนตัวลงบนโซฟา “ฉันจะรอมันมาหาเอง”
“ก็ได้”
การต่อสู้ของเฉียวเซิงกับฉินเฉิง มันกระตุ้นอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ความร้อนแรงครั้งนี้ มันไม่น้อยไปกว่ากระต่อสู้กับซูหยู่ในครั้งนั้นเลย
ในขณะที่ฟอรัมศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดกำลังคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความแตกต่างของครั้งนี้ก็คือ คราวนี้ทุกคนคิดว่าฉินเฉิงจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“ถ้าฉินเฉิงอยู่ที่จุดสูงสุด มันคงยากที่จะพูดแบบนี้ แต่ตอนนี้…”
“อืม ฉันเกรงว่าฉินเฉิงจะหนีไปก่อนแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ดูเหมือนว่าเค้าจะถูกห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศ เค้าจะหนีไปไหนได้”
“เทคนิคนี้เรียกว่าวิชาร่นระยะทาง” ที่ด้านบนภูเขาหลงไห่ ฉินเฉิงกำลังสาธิตเทคนิคนี้ให้กับฉูเป่ยชวน
“ถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับนาย นายสามารถให้เทคนิคนี้เพื่อหลบหนีได้”
ฉูเป่ยชวนดีใจมาก เค้ารีบพูดว่า: “ขอบคุณอาจารย์!”
การมีวิชาย่นระยะทาง ฉูเป่ยชวนก็จะยิ่งมีชัยมากขึ้น แม้ว่าเค้าจะไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่เค้าก็สามารถหลบหนีได้
“อืม แต่เทคนิคนี้ใช้พลังปราณสูงมาก การที่สามารถวิ่งได้ครั้งละห้าถึงหกกิโลนี่มันก็ไม่เลวเลย” ฉินเฉิงเตือนขึ้นมา
ในตอนนี้เอง จู่ๆโทรศัพท์ของฉินเฉิงก็ดังขึ้นมา
เค้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จากนั้นก็พบว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือฟางเสี่ยวเต๋อ
“นายฝึกเองก่อนก็แล้วกัน” หลังจากที่ฉินเฉิงพูดจบ เค้าก็เดินออกไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเค้า
“มีเรื่องอะไร?” ฉินเฉิงรับโทรศัพท์
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดอย่างกังวลว่า: “ตอนนี้นายอยู่ไหน?”
“ที่บ้าน” ฉินเฉิงพูดขึ้นมา
ฟางเสี่ยวเต๋อพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ที่บ้าน? เมืองจิงตู? หรือว่าที่ภูเขาหลงไห่? นายรู้ไหมว่าเฉียวเซิงเค้าจะตามล่านาย?”
“ฉันรู้” ฉินเฉิงยิ้ม “เธอสนใจข่าวพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ไม่ใช่แค่ฉันที่ให้ความสนใจ แต่พวกคณะเอกศิลปะการต่อสู้ในมหาลัยเราต่างก็รู้เรื่องนี้!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดอย่างโกรธเคือง “นายเองก็รู้ว่าเค้าจะฆ่านาย ทำไมนายไม่รีบหนีไปหละ”
“จะหนีไปไหน?” ฉินเฉิงหาว “ตอนนี้นฉันยังเดินไม่ไหวเลยแล้วจะวิ่งหนีไปไหนได้”
“อย่างงั้นนายคิดว่าจะทำยังไง?” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดอย่างกังวลใจ “นายมาหลบที่มหาลัยก่อนก็ได้นะ!”
ฉินเฉิงกลอกตาแล้วพูดว่า: “ถ้าฉันไปมหาลัยของเธอ อาจารย์ของเธอก็จะฆ่าฉันอยู่ดี เอาหละ ก็แค่เฉียวเซิง ไม่ต้องกังวลหรอกน่า จะมาก็มาสิ”
ฟางเสี่ยวเต๋อยังคงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉินเฉิงก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอ เค้ากดวางสายไปในทันที
วันถัดมา
ฉินเฉิงตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับ เค้าไปที่จุดรวมวิญญาณบนยอดเขาแต่เช้าแล้วเด็ดสมุนไพร จากนั้นก็กินมันเข้าไป
ในช่วงเวลานี้ ฉินเฉิงต้องกินยาวันละสามถึงห้าเม็ดโดยเฉลี่ยเพื่อชดเชยการสูญเสียพลังวิญญาณในร่างกายของเค้า แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมันก็น้อยมาก
ในตอนนี้เอง จู่ๆก็มีรถมาที่หน้าประตู
ทันทีที่รถหยุด ก็มองเห็นฟางเสี่ยวเต๋อกับชายวัยกลางคนสามหรือสี่คนที่เดินเข้ามา
“ฉินเฉิง!” ฟางเสี่ยวเต๋อรีบวิ่งเข้าไปหาฉินเฉิง “นายจะอยู่บ้านจริงๆเหรอ?”
ฉินเฉิงกลอกตาแล้วพูดว่า: “เธออยู่ในมหาลัย จะมาหาฉันที่นี่ทำไม?”
“โอ้ ไม่ต้องพูดแล้ว” ฟางเสี่ยวเต๋อโบกมืออย่างไม่อดทน “สามคนนั้นคือจอมยุทธ์ที่ฉันจ้างมาเพื่อปกป้องนาย นายพูดให้มันน้อยๆหน่อย เข้าใจไหม?”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของฟางเสี่ยวเต๋อ ฉินเฉิงก็รู้สึกว่ามันน่ารักเล็กน้อย
แต่… การเชิญจอมยุทธ์มาสามคน มันจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
“เธอจ่ายไปเท่าไหร่?” ฉินเฉิงถามด้วยรอยยิ้ม
ฟางเสี่ยวเต๋อชูสามนิ้ว: “สามล้าน! เงินฉันหมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ดวงตาของฉินเฉิงก็หรี่ลงทันที
สามล้าน เพื่อเชิญจอมยุทธ์มา? นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย
ดูเหมือนว่าฟางเสี่ยวเต๋อจะถูกสามคนนี้หลอก
จากนั้นไม่นาน ฟางเสี่ยวเต๋อก็พาทั้งสามเข้าไปหาฉินเฉิง
“คุณคือฉินเฉิง?” ชายรูปร่างสูงหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมา
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วพูดอย่างสนุกสนานว่า: “ฉันเอง พวกนายเป็นใครกัน?”
“ฉันบอกแล้วไง พวกเค้ามาที่นี่เพื่อปกป้องนาย!” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดขึ้นมาอย่างร้อนใจ
หลังจากนั้น เธอก็วิ่งไปหาคนทั้งสามแล้วพูดขอโทษว่า: “อย่าถือสาเลยนะคะ เค้าไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้น”