คำคืนนี้ ตระกูลหลินก็ดูเหมือนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว
และนี่เป็นเพียงเพราะคำพูดของฉินเฉิง
งานศพของคุณปู่หลินจะจัดในวันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงไม่ได้ไปที่บ้านตระกูลหลิน แต่เขาไปที่สุสาน และรอคนจะตระกูลหลินออกมาก่อนจึงเข้าไป
ฉินเฉิงยืนอยู่หน้าหลุมศพของคุณปู่หลินเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดออกมา “คุณปู่ สิ่งที่ฉันสัญญาไว้ มันยังไม่สำเร็จ”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็โค้งคำนับ
ในตอนบ่ายของวันเดียวกัน ฉินเฉิงมาที่ถนนกู่หวาน และใช้เวลาในการเลือกหยกที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
ตอนกลางคืน ฉินเฉิงนั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ วางจี้หยกไว้บนพื้นหิน
ทันใดนั้น เขาหลับตาลงเล็กน้อย จิตใจแน่วแน่ ความทรงจำต่างๆก็หลั่งไหลเข้ามา
เครื่องรางมีหลายประเภท แต่ข้อดีของมันไม่ใช่แค่มีไว้เพื่อโชคลาภ แต่ยังสามารถป้องกันการถูกทำร้ายจากผู้ไม่หวังดีทั้งหลายได้
แต่ตอนนี้ฉินเฉิงยังทำมันไม่ได้
แต่ยังไงก็ต้องฝึก ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลนัก
ฉินฉิงได้พบกับตำราเทียนกังฝู๋ ตำราป้องกันแคล้วคลาด
ตำราเทียนกังฝู๋มีประโยชย์มากที่จะช่วยปกป้องทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งในโลกปัจจุบัน และโลกที่มองไม่เห็น
“นี่แหละ มันต้องแบบนี้” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ รวมพลังไปที่กึ่งกลางคิ้วของเขา และบีบเลือดของเขาเองหยดหนึ่ง
หลังจากที่หยดเลือไปบนจี้หยก แสงสีแดงจาง ๆ ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากนั้นจี้หยกทั้งหมดก็มีเหมือนหมอกมาปกคลุม
หลังจากผ่านไปสิบนาที หมอกที่คลุมอยู่บนหยกก็เริ้มกระจายออก จิตวิญญาณทั้งหมมดหล่อหลออยู่ในจี้หยกนี้แล้ว
“เฮ้อ” ฉินเฉิงถอนหายใจ “ตอนใช้พลังลมปราณ ดีมีจุดตันเถียนไม่ถูกดูดกลืนไปจนหมด…”
หลังจากทำเครื่องรางเสร็จ ฉินเฉิงก็กลับไปที่ห้องและเข้านอน
ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงยื่นจี้หยกให้ซูวานและกล่าวว่า “เอานี่ห้อยไว้ที่คอ แล้วอย่าถอดเด็ดขาด”
ซูวานหยิบจี้หยก พลิกมอง และพูดด้วยความประหลาดใจ: “จี้หยกนี้ให้ความรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่า…มันมีปฏิกิริยาต่อร่างกายของฉัน”
ฉินเฉิงยิ้มโดยไม่อธิบาย
ในตอนเช้าฉินเฉิงกำลังจะออกไปหายา เขาบอกกับซูวาน แล้วก็ออกไปกับชายที่มีแผลเป็นบนไปหน้า
“คุณฉิน ถ้าคุณอยากจะหายาจริงๆ ทำไมไม่ไปเมืองเจียง” ชายที่มีแผลเป็นบนไปหน้าพูด
“เมืองเจียง?” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว
“ครับ” ชายที่มีแผลเป็นบนไปหน้าพยักหน้า “เมืองเจียงเป็นเมืองโด่งดังด้านวัตถุดิบตัวยาง นั่นเป็นสาเหตุที่ประธานช้าวสามารถหาเห็ดหลินจือพันปีได้”
ฉินเฉิงแตะคางและพยักหน้า “อืม ถ้ามีเวลาต้องลองไปดู”
ปีนังยังเล็กเกินไป และทั้งเมืองมีการประมูลแห่งเดียว ส่วนตลาดยา ก็ไม่ต่างจากตลาดทั่วไป
ยิ่งเมืองใหญ่ ทรัพยากรยิ่งมั่งคั่ง เหมือนเมืองจิงตู ที่นั่นก็เป็นแหล่งรวมสมุนไพรที่ดีที่สุด
น่าเสียดายที่พ่อบอกว่า ถ้าไม่แข็งแกร่งจริง อย่าก้าวเท้าไปที่จิงตู
บนยอดเขาหลงไห่
รถสีดำ ป้ายทะเบียนจิงตู ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามา
“นายน้อยซู เรามาถึงแล้ว” คนขับพูดด้วยความเคารพทันทีที่รถจอด
นายน้อยซูค่อยๆลืมตาขึ้น เขามองไปที่ลานบ้านและพูดว่า “เหอะเหอะ คนของตระกกูลซูต้องมาอยู่ที่แบบนี้เหรอ? น่าสงสารจริงๆ”
หลังจากนั้น เขาก็ลงจากรถ พร้อมชายชราสองคน
ชายชราสองคนสวมเสื้อคลุมจีนยาว มีใบหน้าซีดราวกับหลุดมาจากความตาย
“เข้าไปสิ” จัดสูทเสร็จนายน้อยซูก็พูดออกมา
“ครับ” ชายชราสองคนก้าวไปข้างหน้า โดยไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีใดในการเปิดประตู และเดินเข้าไป
ซูวานกำลังเรียนรู้การทำอาหารจากสูตรอาหารในมือของเธอ
“อาหารนี่มันทำยากจริงๆ ” เธอเกาหัว มองดูอาหารสีดำในหม้อ เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
“คนของตระกูลซูต่ำต้อยจนต้องมาทำอาหารเองเลยหรือ?” มีเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้า ซู่วานก็สะดุ้งทันที และจากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น
“ซูหยู่? นายมาทำอะไร” ซูวานถามอย่างเย็นชา
ซูหยู่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไม มาจากจิงตูหลายปีจนลืมมารยาท อย่างน้อยเธอต้องฉันว่าพี่ชายใช่ไหม?”
“พี่ชาย?” ซูวานหัวเราะเยาะ “ตั้งแต่ฉันมาจากที่นั่น ฉันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซูในจิงตูแล้ว”
ซูหยู่ยกมือขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
เขา นั่งบนโซฟา คว้าแอปเปิ้ลมากัด แล้วถอนหายใจ “คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
ใบหน้าของซูวานเปลี่ยนไปเล็กน้อย และเธอพูดอย่างไม่พอใจ “มันเกี่ยวอะไรกับนาย?
“ไม่มีอะไร” ซูหยู่ขว้างแอปเปิ้ลลงพื้น จากนั้นหรี่ตาและพูดว่า: “ฉันได้ยินเพื่อนบอกว่า คุณปู่ดูเหมือนจะเอาของบางอย่างไปจากตระกูลซู สิ่งเหล่านี้สำคัญสำหรับกับฉันและทุกคนในตระกูลซูทั้งหมด …”
“เธอรู้ไหมว่ามันอยู่ที่ไหน” ซูหยู่หรี่ตามองไปที่ซูวาน
“ไม่รู้” ซูวานพูดอย่างเย็นชา “ที่นี่ไม่ต้อนรับนาย ออกไปเดี๋ยวนี้”
ซูหยู่ยกมือและพูดต่อ “เหอะๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเอาให้เธอไว้?”
ซูวานขมวดคิ้ว: “ของอะไร? ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
“โอ้ ใช่ เธออาจรับมันไว้ไม่ได้” ซูหยู่ยิ้มอย่างดูถูก
เขาเหลือบมองชายชราสองคน และชายทั้งสองก็เข้าใจและค้นหาในบ้านทันที
ซูวานพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้านายไม่ไป ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“โทรหาตำรวจ?” ซูหยูฟังแล้วก็รู้สึกตลก
“น้องสาวที่แสนดีของฉัน เธออยู่ปีนังมานาน เลยทำให้เธอกลายเป็นคนโง่เหรอ? ในปีนัง ใครจะกล้ามาจับฉัน?” ซูหยู่เลิกคิ้ว
ซูวานเงียบไป
นี่เป็นเรื่องจริง ด้วยอำนาจของตระกูลซูไม่มีใครกล้าเดือดร้อน
หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราสองคนก็เดินลงมาข้างล่างและกล่าวว่า “นายน้อยซู ไม่พบอะไรเลย”
“ไม่พบ?” ใบหน้าของซูหยูดูเซ็ง
เขารีบวิ่งไปหาซูวานและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องสาว ฉันแนะนำให้เธอเอาของสิ่งของของคุณ ไม่งั้นฉันไม่รับรองความปลอดภัย”
ซูวานขมวดคิ้ว “ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่รู้มันคืออะไร”
ซูหยู่ยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบหน้าซูวาน
ในขณะนี้ จี้หยกบนหน้าอกของซูวานก็สั่นไหว มันทำให้ซูหยู่ต้องถอยกลับไปสองสามก้าว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราสองคนในชุดจีนก็รีบก้าวไปข้างหน้าและรับซูหยู่ไว้
ซูหยู่พูดด้วยความประหลาดใจ: “ฉันไม่นึกว่าเมืองเล็กๆอย่างปีนัง จะมีของแบบนี้! ฉันประหลาดใจจริงๆ!”
ชายชราสองคนในชุดยาวก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับและพูดว่า “คุณซู ฉันแนะนำให้คุณมอบสิ่งของนั้นมาเถอะ หากเราทำอะไรไป ใครก็ช่วยคุณไม่ได้”
“จริงเหรอ” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา
ทันทีที่เสียงตกลงไป หินก้อนหนึ่งก็เจาะประตูเหมือนกระสุน และพุ่งไปที่ด้านหลังศีรษะของชายชรา
ชายชราในชุดจีนรีบเหินขึ้นไปในอากาศ เพื่อหลบ
เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นฉินเฉิงยืนอยู่ที่ประตูด้วยท่าทางเย็นชา