ฉินเฉิงประคองชายที่มีแผลเป็นที่หน้าขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในรถ
รถคันนี้ขับมาโดยอาจารย์เถียนและพวกของเค้า ดังนั้นฉินเฉิงก็เลยสำรวจโดยรอบก่อน เค้าเองก็อยากจะดูว่ามันจะมีของมีค่าอะไรหรือเปล่า
โชคดีที่ฉินเฉิงพบกระเป๋าหนังงูที่เบาะหลังของรถ ทันทีที่เปิดกระเป๋าหนังงู เค้าก็เห็นเม็ดยาสีดำ
ฉินเฉิงรีบหยิบเม็ดยามาที่ปลายจมูกแล้วดม
ทันใดนั้นเอง เค้าก็สัมผัสได้ถึงพลังที่พุ่งพล่าน
“พลัง?” ในตอนแรกฉินเฉิงก็ประหลาดใจก่อน จากนั้นเค้าก็ดีใจ
เม็ดเล็กๆนี้มันเต็มไปด้วยพลังจริงๆเลย!
ถึงพลังของมันจะค่อนข้างน้อย แต่เม็ดยาก็เยอะ!
ในกระเป๋าหนังงูใบนี้มันก็มีน้อยๆกว่าหลายร้อยเม็ด!
“อย่างน้อยก็ยังมีอะไรดีๆ?” ฉินเฉิงดีใจมาก เค้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์เถียนจะมีของขวัญที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ให้ตัวเอง!
“ดูเหมือนฉันจะต้องหาเวลาไปเที่ยวตะวันตกเฉียงใต้ซะแล้วสิ” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
การที่อาจารย์เถียนมียาเม็ดที่หายากแบบนี้ อย่างงั้นสามสำนักใหญ่พลังเวทตะวันตกเฉียงใต้ก็น่าจะมีมันอีกเหมือนกัน
หลังจากได้ยามาแล้ว ฉินเฉิงก็ขับรถกลับไปที่ชุมชนหลงไห่ซานพร้อมกับชายที่มีแผลเป็นที่หน้า
ตั้งแต่ที่ฉินเฉิงจากไป นี่มันก็ผ่านมาสามวันแล้ว
เมื่อกลับมา ซูวานกับฟางเสี่ยวเต๋อก็เห็นชายที่มีแผลเป็นที่หน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแล้วอยู่ในอ้อมแขนของเค้า
ทันใดนั้นทั้งสองก็อุทานออกมา ฟางเสี่ยวเต๋ยก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เธอหลับตาลงด้วยความกลัว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ซูวานมีความกังวลเล็กน้อย เธอรู้สึกประหลาดใจ
ฉินเฉิงโบกมือแล้วพูดว่า “ที่ข้างนอกบังเอิญเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย แต่ตอนนี้ก็จัดการมันเรียบร้อยแล้ว”
“บังเอิญเจอเรื่องอะไรเข้า?” ซูวานก็พูดขึ้นมาในเวลาเดียวกันนี้เอง ในความคิดของเธอ เธอก็รู้สึกแปลกๆ
ครั้งแรกที่เธอเจอเข้ากับฉินเฉิง เธอก็ตั้งตาที่จะได้เห็นฉินเฉิงยืนอยู่ที่ยอดสุด
แต่เมื่อเจออะไรมากขึ้นเรื่อยๆ ซูวานก็ไม่อยากให้ฉินเฉิงเสี่ยงอีกต่อไป
เพราะว่า… เธอไม่อยากจะเห็นฉินเฉิงโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
แต่เธอก็ไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้ออกมา เพราะว่าในใจเธอเองก็รู้อยู่แน่ชัดว่ามันมีเรื่องบางเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของเธอ
หลังจากใช้เวลาทั้งคืน ฉินเฉิงก็ใช้ความรู้ทั้งหมดที่เค้าเรียนมา เค้าเกือบจะช่วยชีวิตของชายที่มีแผลเป็นที่หน้าไม่ได้
น่าเสียดายที่แผลที่ท้องน้อยของชายที่มีแผลเป็นที่หน้ามันใหญ่เกินกว่าจะรักษาได้ ต่อไปก็เกรงว่าเค้าจะต้องใช้ชีวิตไปกับรูแผลที่มีขนาดใหญ่
ในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น การต่อสู้กับปี้เสี่ยวเหยามันก็เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวก็เท่านั้น
ในวันนี้ ฉินเฉิงทำได้เพียงแค่เตรียมตัวแล้วกำลังจะเดินทางไปที่เมืองเอกในมณฑลก็เท่านั้น
“เฮ้ ปี้เสี่ยวเหยา เค้าเป็นคนเก่งที่ทุกคนในเมืองต่างก็รู้จักกันดี นายไม่กลัว?” ฟางเสี่ยวเต๋อถามด้วยสีหน้าที่พอใจก่อนที่จะไป
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า: “กลัว? กลัวอะไรกัน ตราบใดที่เค้าสามารถที่จะผ่านสนามประลองอย่างเป็นทางการได้ นี่มันก็น่าจะพอแล้วหนิ”
“หึ” ฟางเสี่ยวเต๋อก็ขดริมฝีปากของเธอ “ฉันเองก็เจอคนแบบนายมามากแล้ว พวกเค้าก็ดีแต่ปาก ฉันไม่เคยมีคนไหนเก่งจริงเลยซักคน ก็มีแค่พวกที่มั่นใจในตัวเอง ฉันจะบอกแกให้นะ นี่มันไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย”
ฉินเฉิงพูดกึ่งตลกกึ่งจริงจัง: “อย่างงั้น คุณหนูฟางมีวิธีการอะไรที่ดีกว่านี้อย่างงั้นเหรอ?”
“แน่นอน!” ฟางเสี่ยวเต๋อดูพอใจ เธอพูดว่า “พ่อของฉันเป็นเจ้านายของปี้เสี่ยวเหยา ทำไมนายถึงไม่ติดตามฉันหละ ต่อไปฉันจะปกป้องนายเอง นี่มันก็จะรับประกันได้ว่าต่อไปปี้เสี่ยวเหยาจะไม่กล้าทำอะไรนาย แบบนี้เป็นยังไงหละ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางเสี่ยวเต๋อ ฉินเฉิงก็อดหัวเราะไม่ได้
“ทำไม มันมีอะไรตลกมากอย่างงั้นเหรอ!” ฟางเสี่ยวเต๋อแยกฟันเขี้ยวของเธอแล้วพูดออกมาอย่างดุเดือด
“อย่างงั้นก็ได้ มันน่าจะเป็นฉันเองที่ปีนี้ได้ฟังเรื่องที่ตลกที่สุดของปี” ฉินเฉิง
พูดขึ้นมา
ฟางเสี่ยวเต๋อกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เธอกัดฟันเขี้ยวแล้วพูดว่า: “อย่างงั้นนายก็รอโดนปี้เสี่ยวเหยากระทืบตายได้เลย!”
หลังจากขึ้นรถแล้ว ฉินเฉิงก็ก็ขับรถไปยังเมืองเอกของมณฑล
ระหว่างทางซูวานก็ถามขึ้นมาว่า: “ทำไมนายถึงยอมรับการนัดสู้ของปี้เสี่ยวเหยาหละ? ทำไมนายถึงพูดออกไปแบบนั้น? หรือว่ายังจะมีวิธีการอื่นอีก?”
ฉินเฉิงมองไปที่ซูวานแล้วพูดว่า “ก็ทั้งหมดนั่นแหละ”
“ทรัพยากรของเมืองเอกมันมีมากกว่าที่ปีนังมาก ฉันเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ตลอดไป”
“หลิวหยางบอกว่าปี้เสี่ยวเหยาเป็นคนที่เป็นพี่ใหญ่ในเมือง การจัดการเค้ามันก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ซูวานก็อดหัวเราะไม่ได้: “ปี้เสี่ยวเหยาคนนี้โอหังมาก ถ้านายทำให้เค้ารู้ว่าเค้ากำลังจะเตะหิน เค้าจะต้องโกรธมากอย่างแน่นอน”
ฟางเสี่ยวเต๋อกระพริบตาของเธอขึ้นมา ทันใดนั้นเองเธอก็เกิดความคิดไม่ดีขึ้นมา
เธอจงใจตะโกนออกมาว่า: “เฮ้ นายกล้าหลอกใช้ปี้เสี่ยวเหยาอย่างงั้นเหรอ นายไม่รู้เหรอว่าเค้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากเลยนะ?”
“งั้นก็เหยียบเค้าซะสิ” ฉินเฉิงก็หัวเราะออกมา
ฟางเสี่ยวเต๋อก็หัวเราะออกมา เธอแอบส่งข้อความเสียงนี้ไปหาฟางเสี่ยวเต๋อ
ในเวลานี้เอง ปี้เสี่ยวเหยาก็กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการ การตรวจสอบและอนุมัติสังเวียน
แต่ด้วยตัวตนของปี้เสี่ยวเหยาแล้ว แม้ว่าเค้าต้องการจะฆ่าใครซักคน สังเวียนนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เค้าจะต้องรับผิดชอบเลย
ในโรงยิม ปี้เสี่ยวเหยาก็กำลังฝึกซ้อม หมัดที่เหมือนเหล็กก็ชกไปที่กระสอบทรายจนทำให้เกิดเสียง”ตุบ ตุบ”
ในตอนนี้เอง มันก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินตรงเข้ามา เค้าหยิบเอกสารสองสามฉบับออกมาแล้วยื่นให้กับปี้เสี่ยวเหยา เค้ายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ปี้ ขั้นตอนได้รับการอนุมัติแล้ว นี่เป็นเอกสารครับ”
ปี้เสี่ยวเหยาก็หยิบแฟ้มแล้วเหลือบมาดู จากนั้นเค้าก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม ขอบใจมาก”
“พี่ปี้ พี่ว่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะต้องขนาดนี้เลยเหรอครับ” ชายหนุ่มก็ยิ้มแล้วถาม
ชายหนุ่มคนนี้เค้าชื่อจี้เซียง พ่อของเค้าคือจี้หงเซิง เค้ามีบทบาทในเมืองเอกของมณฑลคล้ายกับจินฮูในเมืองปีนัง แต่ความแตกต่างคือจี้หงเซิงเค้าเข้าสู้สังคมชั้นสูงในเมืองไปตั้งนานแล้ว
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของปี้เสี่ยวเหยาก็ดังขึ้นมา
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นคุณหนูฟางที่ส่งข้อความเสียงมา
“เฮ้ นายกล้าหลอกใช้ปี้เสี่ยวเหยาอย่างงั้นเหรอ นายไม่รู้เหรอว่าเค้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากเลยนะ?”
“งั้นก็เหยียบเค้าซะสิ” ฉินเฉิงก็หัวเราะออกมา
เสียงที่คุ้นเคยสองเสียงดังขึ้นในโทรศัพท์มือถือของปี้เสี่ยวเหยา
เกือบทุกคนในโรงยิม พวกเค้าต่างก็ได้ยินเสียงนี้
สีหน้าของปี้เสี่ยวเหยาก็ซีดลงไปในทันที มันมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าของเค้า
เค้ากำหมัดแน่นแล้วกระแทกเข้าใส่กระสอบทราย
กระสอบทรายถูกชกอย่างแรงจนทรายในกระสอบมันก็แตกกระจายไปทั่งบริเวณนั้น
“ไอ่เด็ก***…” ปี้เสี่ยวเหยาแทบจะสั่นเทาด้วยความโกรธ อากาศรอบตัวเค้ามันก็หนาวเย็นขึ้นมาในทันที
“ไอ่เด็กนี่มันรนหาที่ตายจริงๆ มันคิดที่จะมาเหยียบย้ำพี่ปี้อย่างงั้นเหรอ แล้วยังจะมาหลอกให้พี่ปี้เตะหินอีก?” จี้เซียงก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา
ปี้เสี่ยวเหยาจ้องมองเค้าอย่างดุเดือดแล้วพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “หุบปากซะ!”
จี้เซียงหดตัว เค้าไม่กล้าพูดอะไรเลย
ปี้เสี่ยวเหยากำหมัด เค้ากัดฟันแล้วพูดว่า “ฉินเฉิง ถ้าฉันไม่สามารถจัดการแกได้ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าสกุล ปี้!”
ทันใดนั้นเอง เค้าก็พูดกับจี้เซียงว่า: “ไป ไปเชิญทุกคนที่แกรู้จักมา ฉันจะทำลายฉินเฉิงนี่ไปต่อหน้าของทุกคนเอง!”
“ครับ ฉันจะทำมันเดี๋ยวนี้เลย!” จี้เซียงตอบตกลง
“อา… ชิว!” ฉินเฉิงที่ขับรถอยู่บนทางหลวงก็จามขึ้นมาในทันที
“ใครว่าฉัน” เค้าถูจมูกแล้วบ่นขึ้นมา