ปี้เสี่ยวเหยายืนอยู่บนสังเวียน เค้ามองดูนาฬิกาบนเวทีด้วยแววตาที่เย็นชา
“มันจะแปดโมงแล้ว” ปี้เสี่ยวเหยาขมวดคิ้วขึ้นมา ในใจเค้าก็รู้สึกแปลกๆ
หรือว่า ฉินจุนคนนี้ มันเป็นคนที่อ่อนแอและไร้ความสามารถจริงๆ? ไม่หรอกมั้ง คนแบบนี้มันจะไปกวาดล้างคนทั้งตระกูลได้ยังไงกัน?
“หึหึ ดูท่าแล้ววันนี้ ไอ่เด็กนั่นมันน่าจะไม่กล้ามานะ” จี้เซียงที่อยู่ข้างๆ เค้าก็ลูบคางแล้วยิ้มออกมา
ที่เค้าพูดออกมาแบบนี้ได้ก็เพราะว่ายาพิษนั่น เค้าเป็นคนสั่งการเอง
ถ้าฉินเฉิงไม่มาในวันนี้ มันจะต้องโดนทำลายแน่
ถ้ามันมาก็จะเป็นผลลัพธ์มันก็จะต้องเหมือนกัน
“พี่ปี้ ฉันว่าพวกเราคงจะไม่ต้องรอมันแล้วมั้ง มันไม่กล้ามาหรอก” จี้เซียงพูดกับปี้เสี่ยวเหยา
ปี้เสี่ยวเหยาส่ายหัวแล้วพูดว่า “รอมันก่อน”
สิบนาทีต่อมา ฉินเฉิงก็ยังคงไม่ปรากฏตัวที่โรมยิมศิลปะการต่อสู้
เมื่อเห็นแบบนี้ จี้เซียงก็รู้สึกพึงพอใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เค้าเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในสติปัญญาของตัวเอง
“ดูเหมือนว่ามันจะกลัวจริงๆด้วย” เมื่อเห็นว่าแปดโมงแล้ว ปี้เสี่ยวเหยาก็ถอนหายใจออกมา
“ขอโทษครับ มีเรื่องนิดหน่อย ผมเลยมาสาย”
ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มรูปงามก็เดินเข้ามา
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็หันไปมองที่ฉินเฉิง
“ฉันคิดว่านายจะไม่กล้ามาซะแล้ว!” ฟางเสี่ยวเต๋อวิ่งเข้ามาพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
ฉินเฉิงยิ้มแล้วไม่สนใจอะไรเธอมาก
“เฮ้ นายต้องการให้ฉันช่วยขอร้องไหม?” ฟางเสี่ยวเต๋อหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันจะบอกนายให้ ปี้เสี่ยวเหยา เค้าเก่งกาจมากเลยนะ อย่างน้อยๆวันนี้เค้าจับนายหักขาทั้งสองข้างแน่”
“เธอจะข้อร้องแทนฉันยังไง?” ฉินเฉิงถามอย่างติดตลก
“เอ่อ…” ฟางเสี่ยวเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายก็เรียกฉันว่าคนสวยสิแล้วฉันจะบอกให้ปี้เสี่ยวเหยาปล่อยนายไป นายคิดว่าไง?”
ฉินเฉิงกลอกตาแล้วพูดว่า “อย่างงี้ก็แล้วกัน ถ้าฉันชนะปี้เสี่ยวเหยาน เธอก็จะต้องเรียกฉันว่าพี่ชาย… ไม่สิ เธอเรียกฉันว่านายท่านก็แล้วกัน คิดว่าไง?”
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ สีหน้าของฟางเสี่ยวเต๋อก็แดงขึ้นมาในทันที
เธออายและโกรธแล้วพูดว่า: “หน้าไม่อาย!”
“เธอสิหน้าไม่อาย” ฉินเฉิงพูดด้วยแววตาที่ว่างเปล่า “ทำไม เธอกลัวเหรอ?”
“ใครกันแน่ที่ต้องกลัว!” ฟางเสี่ยวเต่อเท้าเอว ท่าทางของเธอไม่ค่อยมั่นใจซะเท่าไหร่
“พนันกันสิ ถ้านายแพ้ นายจะต้องเลิกกับพี่วานเอ๋อ กล้าไหมหละ?” ฟางเสี่ยวเต๋อถามด้วยสายตาที่จ้องเขม็ง
เหตุผลที่เธอมั่นใจมากก็เพราะเมื่อคืนฟางจิ้งเหยาบอกว่าฉินเฉิงคนนี้ไม่สามารถที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของปี้จิ้งเหยาได้เลยด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดแล้ว ปี้จิ้งเหยาเค้าก็อยู่ที่ระดับขั้นของพลังปราณระดับปรมาจารย์ขั้นที่เก้า ตราบใดที่เค้าไม่ไปบังเอิญเจอเข้ากับเจ้าแห่งพลังปราณ ยังไงก็ไม่มีใครที่สามารถสู้เค้าได้เลย
“งั้นก็เอาเป็นว่าตกลงตามนี้” ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูฟางคงจะไม่ผิดสัญญาใช่ไหม?”
“ฉันพูดแล้วก็เป็นไปตามนั้น!” ฟางเสี่ยวเต๋อก็พูดขึ้นมา
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วเดินไปที่สังเวียน
เมื่อทุกคนมองไปที่ฉินเฉิง พวกเค้าต่างก็พากันกระซิบขึ้นมา
“นี่คือคือฉินเฉิงอย่างงั้นเหรอ เค้าดูธรรมดามากเลย”
“หุบปาก แกไม่รู้เหรอว่าตระกูลตี๋โดนกำจัดไปได้ยังไงกัน? ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะไอ่เด็กคนนี้”
“นั่นมันไม่ใช่ว่าเพราะการหนุนหลังของตระกูลซูอย่างงั้นเหรอ วันนี้พี่ปี้จะต้องล้างแค้นให้กับตี๋เชาอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง”
ในตอนที่พูดกันอยู่นี้เอง ฉินเฉิงก็เดินไปถึงที่ขอบของสังเวียนแล้ว
“ไอ่เด็กน้อย แกยังกล้ามาอีกเหรอ?” ในตอนนี้เอง จี้เซียงก็กระโดดออกมาจากด้านข้าง
ฉินเฉิงเหลือบมองเค้าแล้วพูดว่า “นายเป็นใครกัน ฉันรู้จักนายอย่างงั้นเหรอ?”
จี้เซียงก็ถอนหายใจออกมา: “อย่างงั้นฉันก็แนะนำตัวเองหน่อยก็แล้วกัน ฉันชื่อจี้เซียง พ่อของฉันคือจี้หงเซิง!”
“พ่อของนายคิดยังไงกัน ถึงตั้งชื่อให้นายแบบนี้” ฉินเฉิงถาม
จี้เซียงพูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย: “พ่อของฉันบอกว่า เค้าหวังให้ฉันกางปีกแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เค้าก็เลยใช้คำว่าเซียงที่หมายถึงปีก!”
“เอ่อ…ปีกไก่ ชื่อนี้ก็ไม่เลวเลยนี่” ฉินเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย
“นั่นมันก็แน่.. พระเจ้า อย่ามาใกล้ฉัน ฉันบอกแล้วไง มันไม่มีประโยชน์!” จี้เซียงไม่ฟังในสิ่งที่ฉินเฉิงพูดเลย
“อย่าพูดไร้สาระ ฉินเฉิง ฉันรอแกมานานมากแล้ว” ในตอนนี้เอง ปี้เสี่ยวเหยา ที่อยู่บนสังเวียนก็ตะโกนออกมา
ฉินเฉิงเหลือบมองเค้า จากนั้นก็แตะเท้าเบาๆแล้วร่างของเค้าก็กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนในทันที
สิ่งนี้เองมันก็ทำให้จี้เซียงขมวดคิ้วขึ้นมา
เป็นไปไม่ได้ พิษนั่นมันน่าจะทำให้เค้าอ่อนแอสิ อย่างน้อยพิษนั่นมันก็จะต้องออกฤทธิ์สองถึงสามชั่วโมง!
ยิ่งไปกว่านั้น คนแข่งทุกคนเค้าก็จะต้องกินอาหารก่อนขึ้นสังเวียนเพื่อชดเชยพลังงานสิ ทำไมฉินเฉิงถึงไม่เป็นแบบนั้น?
“ฉินเฉิง แกไม่ตรงต่อเวลาเอาซะเลยนะ” ปี้เสี่ยวเหยาพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาเบาๆ : “นั่นมันก็ดีกว่าวิธีการโง่เง่าของบางคนก็แล้วกัน”
“วิธีการโง่เง่า?” ปี้เสี่ยวเหยาขมวดคิ้วขึ้นมา “หมายความว่ายังไง?”
ฉินเฉิงมองดูปี้เสี่ยวเหยาอย่างใกล้ชิด เค้าพบว่ามันไม่มีร่องรอยของการโกหกบนใบหน้าของเค้าเลย
อย่างงั้น เรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับปี้เสี่ยวเหยา
“สู้เสร็จแล้วค่อยคุยกัน” ฉินเฉิงพูดพร้อมกับเอามือไขว้หลัง
ปี้เสี่ยวเหยา เขย่าร่างของเค้าทันทีแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ฉันรอมานานแล้ว!”
หลังจากพูดจบ ร่างกายของเค้าก็เต็มไปด้วยพลัง พลังของเค้ามันก็ถึงจุดสุดยอดในทันที! ลมที่แผ่วเบามันก็ก่อตัวขึ้นรอบตัวเค้า
ลมที่ไม่ชัดเจนนี้เอง มันเหมือนกับความร้อนของฤดูร้อน แต่มันก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของฉินเฉิงได้เลย
“ไปตายซะ!” ปี้เสี่ยวเหยาตะโกนขึ้นมาแล้วร่างของเค้าก็หายไปทันที! บนผ่ามือของเค้ามันก็มีแสงสีฟ้าอ่อนขึ้นมา!
“ปรากฏตัวแล้ว!” ในหมู่ผู้ชมก็มีคนร้องอุทานขึ้นมา “นี่เป็นทักษะที่มีชื่อเสียงของพี่ปี้!”
“เค้าเป็นมือสังหารจริงๆ ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่จะทนมานานแล้ว!”
“ใช่ หมัดนี้ ฉินเฉิงมันตายแน่!”
เคล็ดลับนี้ มันค่อนข้างโด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่ในเมืองเอกของมณฑล มันแทบจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว
ว่ากันว่าปี้เสี่ยวเหยา เอาชนะคนร้ายหลบหนีในต่างแดนด้วยเทคนิคนี้! ตั้งแต่นั้นมา เค้าก็มีชื่อเสียง!
“ตายซะ!” เส้นเลือดสีฟ้าที่หน้าผากของปี้เสี่ยวเหยามันก็ปูดโปนขึ้นมา ด้วยลมสีฟ้าอ่อนนี้เอง แม้แต่อากาศมันก็ถูกกลืนกิน!
หมัดของเค้าอยู่ใกล้กับหัวของฉินเฉิง มันเห็นได้ชัดว่าปี้เสี่ยวเหยาต้องการที่จะเอาชีวิตฉินเฉิง!
“จบแล้ว ถ้าเค้าตายจริงๆ พี่ว่านเอ๋อจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน” ฟางเสี่ยวเต๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อเห็นฉากนี้
แม้ว่าเธอจะไม่ชอบเค้าซะเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่คิดว่าฉินเฉิงจะต้องมาตายที่นี่จริงๆ!
“รีบหนีไป!” ฟางเสี่ยวเต๋อตะโกนอย่างร้อนใจ
อย่างไรก็ตาม ฉินเฉิงยืนอยู่กับที่ เค้าดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลย สีหน้าของเค้าดูไม่แยแส เค้าไม่แม้แต่ที่จะสู้กลับเลยด้วยซ้ำ
แววตาของปี้เสี่ยวเหยาก็เป็นประกายขึ้นมา เค้าก็กระซิบ: “ที่แท้แกมันก็แค่ไอ่อ่อน!”
“ตูม!”
หมัดทั้งสองของเค้าซัดเข้าไป หมัดหนึ่งชกที่หน้าผากของฉินเฉิงและอีกหมัดก็ตรงไปที่ตำแหน่งของตันเถียนในท้องน้อยส่วนล่าง!
มันทำให้สังเวียนเกิดคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นมา เศษซากและเสียงดังทำให้หลายคนต้องปิดหู!
“ไอ่เด็กนี่มันตายแน่!”
“ฮ่าฮ่า ฉันเองก็อยากเห็นชัดๆตอนที่หมัดของพี่ปี้ซัดเข้าไปที่ร่างของเค้า!”
“พี่ปี้สามารถฆ่าควายได้ด้วยหมัดเดียว นี่มันไม่ต้องพูดถึงคนเลย!”
ฟางเสี่ยวเต๋อก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจของเธอ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“มัน… มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน!”
ในตอนนี้เอง มันก็มีเสียงตะโกนอย่างอ่อนล้าที่ดังออกมาจากสังเวียน
ในน้ำเสียงนี้มันก็มีความโกรธเล็กน้อย แต่สิ้นหวังมากกว่า!
เศษซากร่วงหล่นลงมาอย่างช้าๆ สังเวียนทั้งสังเวียนมันก็สั่นสะเทือนจนต้องตกตะลึง
ฉินเฉิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แม้แต่เสื้อผ้าของเค้ามันก็ไม่ฉีกขาดอะไรเลยด้วยซ้ำ
ส่วนปี้เสี่ยวเหยาก็ลอยกระเด็นออกไปจากสังเวียนแล้ว รอยเลือดที่มุมปากของเค้า เค้าดูเสียหน้าเขินอาย!