ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน – ตอนที่ 5 ต่อกร + บทที่ 6 สอนให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้

บทที่ 5 ต่อกร

หนิงเมิ่งเหยาไม่พอใจกับคำพูดเหล่านั้นจึงวางจอบลง แล้วมองหยางซิ่วเอ๋อร์ด้วยแววตาเย็นชา

“ข้าต้องมานั่งจ้ำจี้จำไชสอนเจ้า ทั้งๆ ที่ตัวข้าเองก็มีสิ่งที่จะต้องทำเช่นกันอย่างนั้นหรือ เจ้าถามคำถามมามากมาย แล้วไม่รู้ว่าจดจำหรือเรียนรู้อะไรได้บ้างเล่า เจ้าคิดว่าตนเองมีความสามารถในด้านนี้จริงๆ หรือ”

จะกล่าวโทษหญิงสาวว่าพูดจาเสียดแทงใจดำเช่นนั้นก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนล้ำเส้นก่อนจนนางรู้สึกอึดอัดใจ

สีหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์ซีดเผือดในทันใด พลันชี้หน้าหนิงเมิ่งเหยาด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา “ข้าแค่อยากจะเรียนรู้จากเจ้าเพื่อจะได้หารายได้เสริมก็เท่านั้น ใยต้องพูดจารุนแรงกับข้าเช่นนั้นด้วยเล่า”

“การเรียนรู้นั้นมีขอบเขตความเหมาะสมของมัน หากเจ้าไม่มารบกวนกิจวัตรประจำวันของข้าแล้วไซร้ ข้าจะไปสอนท่านเอง แต่ตอนนี้ข้าจะไม่ไปช่วยสอนท่านอีกแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้รู้สึกผิดกับอีกฝ่าย หนำซ้ำยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

หยางซิ่งเอ๋อร์พินิจดูหญิงสาวแบบศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะคว้าตะกร้าของตนวิ่งจากไปพร้อมทั้งเอามือปิดหน้าปิดตา หนิงเมิ่งเหยาได้ยินเสียงนางร้องคร่ำครวญ

หญิงสาวมองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนกระทั่งหายลับตา ดวงตาคู่นั้นยังคงเย็นชาขณะวางจอบลง ก่อนจะหยิบถังไม้ไปยังลำธารเพื่อตักน้ำมารดพืชผักสวนครัวต่อไป

หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์กลับมาที่หมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนสังเกตเห็นดวงตาของนางบวมแดง จึงรู้สึกว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น ‘มิใช่ว่านางออกไปหาหญิงสาวผู้ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหนหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงกลับมาในสภาพเช่นนี้ได้’

เมื่อนางหลัวเจอลูกสาวของตน ก็อยากจะเอ่ยถามว่าหนิงเมิ่งเหยาสอนเคล็ดลับอะไรให้หรือไม่ แต่เมื่อเห็นสภาพของนาง ผู้เป็นแม่ก็รู้สึกไม่พอใจ “ซิ่วเอ๋อร์ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า ใครรักแกเจ้ารึ”

“ท่านแม่…เหตุใดนางถึงต้องทำตัวเย็นชากับข้าด้วย ข้าแค่อยากจะเรียนรู้จากนางเท่านั้นเอง แต่นางกลับโมโหและยังพูดจาดูถูกข้าอีกด้วย” หยางซิ่วเอ๋อร์โน้มตัวเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นแม่ก่อนร้องไห้เสียงดัง

เหล่าชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างส่งเสียงฮึดฮัดเมื่อฟังคำของหญิงสาว

เดิมทีพวกชาวบ้านต่างไม่ค่อยชอบหนิงเมิ่งเหยาอยู่ก่อนแล้ว เพราะหญิงสาวเข้ามาในหมู่บ้านและอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ ตรงเชิงเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้บรรดาชาวบ้านสงสัยว่านางน่าจะเป็นคนไม่ดี

หลังจากชาวบ้านทั้งหลายได้ยินคำพูดของหยางซิ่วเอ๋อร์ ต่างก็พากันส่งเสียงเอะอะโวยวาย

“อย่าพูดจาเหลวไหลสิ เหยาเหยามิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย” ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นเสียงดังจนแทรกบทสนทนาอันร้อนระอุนี้

เหล่าฝูงชนต่างหันศีรษะไปมองลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านผู้มีนามว่าหยางเล่อเล่อคนนี้

แม้ว่านางจะมิใช่คนรูปร่างสูง แต่ก็เติบโตจากตระกูลมีฐานะและถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาเป็นอย่างดี ใบหน้าอันอ้วนกลมนั้น ทำให้เวลานางขมวดคิ้วช่างดูคล้ายกับซาลาเปาแสนอร่อย

“เล่อเล่อ ทำไมถึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า จะบอกว่าซิ่วเอ๋อร์พูดปดหรือ” นางหลัวมองหยางเล่อเล่ออย่างไม่สบอารมณ์

เด็กสาวพ่นลมหายใจ ‘เฮ้อ’ และมองหยางซิ่วเอ๋อร์ด้วยแววตารังเกียจ “เหยาเหยาไม่ใช่คนเช่นนั้น ถึงนางจะเย็นชาไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว ตอนข้าขอให้นางช่วยสอนการเย็บปักถักร้อย เหยาเหยาไม่เพียงแค่ช่วยข้าเท่านั้น แต่ยังเอาขนมอร่อยๆ มาให้กินอีกด้วย หนำซ้ำเวลามีเด็กจากหมู่บ้านวิ่งเข้าไปในกระท่อมของนางโดยไม่ตั้งใจ นางก็ไม่โกรธเคืองอะไร ทั้งยังให้เด็กคนนั้นอาบน้ำและเอาอาหารมาให้กินอีกด้วย…”

หลังจากหยางเล่อเล่อพูดถึงการกระทำต่างๆ ของหนิงเมิ่งเหยาจบ ก็มองดูหยางซิ่วเอ๋อร์ “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเหยาเหยาที่กระท่อมของนาง แต่ข้าก็เชื่อว่าเหยาเหยาไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่ เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าบังอาจมาใส่ร้ายนางนะ”

ไม่ว่าพวกชาวบ้านจะมองหนิงเมิ่งเหยาเช่นไร เด็กสาวก็ไม่มีทางเชื่อ เพราะในใจของนางรู้ดีว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นคนดีคนหนึ่ง

ผู้คนที่ฟังหยางซิ่วเอ๋อร์ในตอนแรกเริ่มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ส่วนเด็กๆ ที่ได้ยินคำพูดของหยางเล่อเล่อ ก็วิ่งกรูเข้ามาทันทีพลางมองฝูงชนทั้งหลายด้วยแววตาใสซื่อ “พี่เมิ่งเหยาดีกับพวกเราจริงๆ”

“ใช่แล้ว พี่เมิ่งเหยาน่ารักมากๆ เลยนะ” เด็กน้อยอีกสองสามคนกระโดดเข้ามาร่วมวงและผงกศีรษะหงึกๆ อย่างเห็นด้วย

หลังจากที่เด็กๆ ได้ไปยังกระท่อมของหนิงเมิ่งเหยาแล้ว พวกเขามักจะพากันวิ่งเล่นไปทั่วบ้าน บ้างก็เด็ดดอกไม้สวยงามตรงด้านนอกกระท่อม แต่นางไม่เคยโกรธที่พวกเขาแวะมาหาเลยสักครั้ง ทั้งยังให้กินขนมและของว่างอร่อยๆ อีกต่างหาก

บทที่ 6 สอนให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้

ตราบใดที่เด็กๆ ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย หนิงเมิ่งเหยาก็จะไม่โกรธ เวลาพวกเขาส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวจนหญิงสาวไม่มีสมาธิปักผ้า นางก็จะวางงานลงและมองดูพวกเขาเล่นกันตรงลานบ้าน บางครั้งก็เข้ามาเล่นด้วยกันเสียอีก

“ใช่แล้ว พี่เมิ่งเหยาเคยสอนเราเขียนหนังสือด้วย ทำให้ตอนนี้พวกเราเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว” เหล่าเด็กน้อยมองหยางซิ่วเอ๋อร์อย่างไม่พอใจและบอกว่า “พวกเราไม่ยอมให้ท่านปรักปรำพี่เมิ่งเหยาเช่นนี้อย่างเด็ดขาด”

เด็กๆ คนแล้วคนเล่าต่างกล่าวอ้างว่าตนเองจำคำเขียนได้สองสามคำแล้ว และบางคนจำได้มากกว่าสามคำอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ กลุ่มชาวบ้านที่คลางแคลงใจกันอยู่ ก็พลันสลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปสิ้น เพราะเด็กๆ ไม่พูดโกหก หลังจากเห็นว่าบรรดาเด็กน้อยต่างลงความเห็นคล้ายคลึงกัน ทั้งที่เด็กๆ ไม่เคยเข้าศึกษาในสถานศึกษามาก่อน แต่กลับรู้บทเรียนที่สอนกันเฉพาะในสถานศึกษาเท่านั้น จึงตีความได้เพียงอย่างเดียวว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนสอนพวกเขา

ความรู้สึกของชาวบ้านทั้งหลายต่อหนิงเมิ่งเหยานั้นค่อยๆ เปลี่ยนไป บางคนเริ่มมองว่านางเป็นคนดีคนหนึ่ง

หลังจากหยางซิ่วเอ๋อร์ฟังคำพูดพวกนั้น ก็ซุกตัวในอ้อมกอดของนางหลัวอย่างอึดอัดใจ เพราะรู้ดีว่าหากยังคงใส่ร้ายหนิงเมิ่งเหยาอยู่ก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี

นางรู้สึกไม่พอใจหยางเล่อเล่อ ‘เป็นเพราะเด็กนั่น! หากเจ้าลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ไม่โผล่มา นางก็คงจะไม่เสียหน้าขนาดนี้!’

“ซิ่วเอ๋อร์ ครั้งหน้าจงอย่าใส่ความผู้อื่นแบบไร้เหตุผลเช่นนี้อีกนะ มันไม่ดีเลย”

“ถูกต้อง”

“หากมีใครเต็มใจจะสอนท่านก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่อยากสอนมันก็มิใช่เรื่องผิดนี่นา”

ผู้คนพากันแสดงความเห็น จนใบหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์กลายเป็นสีม่วงไม่น่าดูในเวลาไม่นานนัก

หยางเล่อเล่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของหยางซิ่วเอ๋อร์ผู้หมดหนทางสู้ จึงพ่นลมออกทางจมูกอย่างดูหมิ่นแล้วหันหลังจากไป เด็กๆ เหล่านั้นก็กระโดดโลดเต้นตามติดเด็กสาวตัวเล็กผู้นี้เพื่อไปเล่นด้วยกันตรงริมแม่น้ำ

หลังจากผู้คนแยกย้ายจากไป หยางซิ่วเอ๋อร์นั้นไม่อาจเสแสร้งได้อีก จึงเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของนางหลัวและพูดอย่างชั่วร้าย “เราน่าจะทำลายชื่อเสียงหนิงเมิ่งเหยาให้ป่นปี้สิ ใครจะไปคิดว่าแผนจะล่มเช่นนี้ได้”

“โอ๋ๆ ” นางหลัวโอบไหล่ของลูกสาวเพื่อปลอบประโลมนาง

หญิงสาวนั่นเป็นเพียงเด็กกำพร้าแล้วจะทำอะไรได้ นางจะไปทีใดได้อีกเล่า นางไม่ได้มาเพื่อให้พวกเขาเอาเปรียบหรอกรึ

เมื่อหยางเล่อเล่อกลับถึงบ้านก็คิดถึงสิ่งที่เด็กๆ พูดกันก่อนจะเจรจากับบิดาของตน “ท่านพ่อ เหยาเหยามีความรู้เรื่องการอ่านเขียนหนังสือ ท่านว่าเราให้นางมาสอนเด็กๆ ในหมู่บ้านอ่านหนังสือดีหรือไม่”

“แล้วนางอยากจะมาสอนหรือไม่เล่า” ค่าธรรมเนียมในการเข้าสถานศึกษานั้นแพงหูฉี่ หมู่บ้านของพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต่อให้เด็กๆ หลายคนอยากจะเล่าเรียนแต่ก็ไม่มีโอกาส หากหนิงเมิ่งเหยาสามารถสอนพวกเขาได้ต้องเป็นเรื่องที่ดีมากแน่นอน

หยางเล่อเล่อยิ้มพลางหัวเราะ “เหยาเหยาเคยสอนเด็กๆ ให้เขียนอ่านเป็นเลยนะ ข้ามั่นใจว่านางเป็นคนดีและจะต้องเต็มใจช่วยอย่างแน่นอน เดี๋ยวข้าจะไปถามให้เอง หากนางตกลง ท่านพ่อก็ควรจะเข้าไปพูดคุยกับนางด้วยนะ”

“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ข้าควรจะเป็นคนไปถามนางเองต่างหาก จึงจะดูจริงใจกว่า” หยางจู้ไตร่ตรองและส่ายศีรษะไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว

ในเมื่อเขาต้องการเชิญให้หนิงเมิ่งเหยามาสอนเหล่าเด็กน้อยในหมู่บ้าน เขาจึงควรไปเยี่ยมนางด้วยตัวเองเพื่อแสดงความจริงใจ เพราะหากนางคิดว่าพวกเขาไม่จริงใจเกิดปฏิเสธขึ้นมา แล้วจะทำเช่นไรเล่า

หัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้เพียงแค่อยากให้หญิงสาวสอนพื้นฐานให้เด็กๆ เท่านั้น ไม่ต้องถึงขนาดเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสอบจริงจัง เพราะอย่างน้อยพวกเขาจะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นอีกหนทางหนึ่ง ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ต้องสวดภาวนาจากสรวงสวรรค์เพื่อให้มีข้าวกิน

“ดีเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปด้วยกันบ่ายวันนี้เลยดีหรือไม่ ข้าอยากไปเล่นกับนางด้วย” หยางเล่อเล่อเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก

นางชอบเล่นกับหนิงเมิ่งเหยาเพราะรู้สึกมีความสุขมากๆ เวลาอยู่ใกล้กับหญิงสาว

ตกบ่ายวันนั้น หยางจู้ก็เอาผลแตงโมที่ตนปลูก เดินทางไปบ้านของหนิงเมิ่งเหยาพร้อมกันกับลูกสาว

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นหยางเล่อเล่อมาหาพร้อมกับผู้เป็นพ่อ ก็วางมือจากสิ่งที่กำลังทำก่อนเดินเข้าไปหาทั้งคู่ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมาทำอะไรที่นี่หรือ”

หยางจู้เคยช่วยเหลือหญิงสาวอย่างดีตอนที่เพิ่งเข้ามาลงหลักปักฐานที่นี่ใหม่ๆ นางจึงเคารพนับถือชายผู้นี้อย่างมาก

“แม่หนู ลุงมีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยสักหน่อย” เสียงของผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสั่นเครือเล็กน้อยขณะมองหนิงเมิ่งเหยา ทำให้หญิงสาวรู้สึกฉงนใจจนต้องหันมองหยางเล่อเล่อซึ่งกำลังทำหน้าตาไร้เดียงสาอยู่ข้างๆ

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

นิยายแปลรักย้อนยุคละมุนใจ กับวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ พร้อมลุ้นรักต่างชนชั้น ‘หนิงเมิ่งเหยา’ ย้อนอดีตกลับมาในยุคจีนโบราณพร้อมกับคนรักที่กำลังจะแต่งงานกัน ทว่านางกลายเป็นเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่งพิง ในขณะที่คนรักของนางเป็นถึงซื่อจื่อ นางคิดว่าชนชั้นคงจะไม่เป็นอุปสรรคระหว่างพวกเขา แต่นางคิดผิด… เมื่อเขามาขอให้นางไปเป็นอนุภรรยา นางจึงตัดความสัมพันธ์จอมปลอมนี่ทิ้งเสีย! แล้วหนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่อย่างสันโดษ พร้อมหาทางเป็นผู้ร่ำรวยในหมู่บ้านเล็กๆ บนเขา กระทั่งวันหนึ่ง นางพบกับ ‘เฉียวเทียนช่าง’ พรานป่าที่นางมักจะขอซื้อสัตว์ที่เขาล่าได้อยู่เสมอ ความสนิทสนมจึงค่อยๆ ก่อให้เกิดรักครั้งใหม่ แต่…เขาจะเป็นแค่พรานป่าจริงหรือ? ไม่หรอก…นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความลับและความสัมพันธ์ของพวกเขาเท่านั้น!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset