บทที่ 9 เตรียมความพร้อม
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้ายินยอมอย่างไม่มีทางเลือก “ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าขอรบกวนด้วย”
“ไม่รบกวนหรอก ไม่เลยสักนิด” ชายทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน
หญิงสาวพูดคุยกับพวกเขาอีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัว
หลังจากนางออกไป เด็กชายสองคนจากตระกูลหลี่ก็กลับเข้าบ้าน ผู้เฒ่าหลี่จึงบอกกับทั้งคู่ว่าพวกเขากำลังจะได้เรียนหนังสือแล้ว
“ท่านปู่พูดจริงรึ” หลินเอ๋อร์วัยเจ็ดขวบมองชายชราอย่างมีความหวัง
“จริงสิ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทั้งเจ้าและเสี่ยวมู่จะต้องทำตัวเป็นเด็กดีกันด้วยนะ เข้าใจไหม” ผู้เป็นปู่รู้ว่าหลายชายคนโตอยากจะศึกษาเล่าเรียนมานานแล้ว แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะมีฐานะทางการเงินดีกว่าชาวบ้านคนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่อาจส่งหลานชายเข้าเรียนในสถานศึกษาได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
หากหลินเอ๋อร์มีพรสวรรค์จริงๆ พวกเขาก็วางแผนจะส่งให้เขาเข้าเรียนที่นั่น
หลินเอ๋อร์และน้องชายของเขามองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจยกใหญ่ “เยี่ยมไปเลย!”
เหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นกับบ้านอื่นๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ เหล่าผู้ใหญ่ต่างมีความสุขและเด็กๆ เองก็เปี่ยมล้นด้วยความหวัง
วันรุ่งขึ้น หยางเล่อเล่อนำงานปักผ้าของตนไปที่บ้านของหนิงเมิ่งเหยา ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งวัวลากเกวียนเพื่อเข้าเมือง
เมื่อมาถึงตัวเมือง หนิงเมิ่งเหยาไปเป็นเพื่อนกับหยางเล่อเล่อที่ต้องการขายผ้าปักลายก่อน แล้วจึงไปซื้ออุปกรณ์เย็บปักถักร้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านขายตำราหนังสือ
หนิงเมิ่งเหยาหยิบตำราเรียนง่ายๆ ขึ้นมาหลายเล่ม เช่น “ตำราสามอักษร ร้อยแซ่สกุล” “ตำราพันอักษร” “ตำราหลักปฏิบัติสำหรับผู้เยาว์” นอกจากนี้ หญิงสาวยังซื้อกระดาษ น้ำหมึก และพู่กันอีกด้วย
“เหยาเหยา ตำราเหล่านั้นมีราคาแพงทีเดียวนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอเรากลับบ้านแล้ว ข้าก็จะตัดกระดาษเพื่อคัดลอกเนื้อหาจากในตำราเอง” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะอย่างไม่เป็นกังวล
หญิงสาวซื้อตำรามาทั้งหมดสิบเล่ม นางเพียงต้องใช้เวลากับการทำสำเนาขึ้นมาเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายที่เสียไปก็แค่ตำลึงเศษๆ ยังไม่ถึงสองตำลึงด้วยซ้ำ
“ข้าจะช่วยเจ้าทำด้วย แม้ว่าข้าจะยังเขียนหนังสือไม่เป็น แต่ก็พอจะช่วยตัดกระดาษให้ได้นะ” หยางเล่อเล่อคิดพลางเอ่ยขึ้น
“ดีเลย” หนิงเมิ่งเหยายิ้มพลางผงกศีรษะ
หลังจากชำระเงินค่าตำราเสร็จ หญิงสาวก็หาซื้อสิ่งของจำเป็นต่างๆ ต่อ ก่อนจะเดินทางกลับ
พอมาถึงบ้าน หนิงเมิ่งเหยาจัดแจงแบ่งพื้นที่บนโต๊ะ แล้ววางพู่กันกับน้ำหมึกไว้ด้านบน จากนั้นจึงเริ่มคัดลอกเนื้อหาจากตำราลงบนกระดาษ
เมื่อนางทำเสร็จไปส่วนหนึ่ง หยางเล่อเล่อก็จะช่วยรวบรวมพวกมันไว้ด้วยกันอย่างบรรจงโดยใช้กระดาษไข ก่อนจะเย็บสันหนังสือด้วยด้ายเส้นหนา
หลังจากกลับมาจากตัวเมือง ทั้งคู่ก็วุ่นอยู่กับการทำตำราฉบับคัดลอก จนกระทั่งบ่ายวันนั้น “ตำราหลักปฏิบัติสำหรับผู้เยาว์” ก็เสร็จสมบูรณ์และถูกวางรวมกัน
หนิงเมิ่งเหยามองดูตำราเรียนทั้งสามสิบเล่มด้วยรอยยิ้ม
หยางเล่อเล่อมองกองหนังสือบนโต๊ะอย่างภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น จึงพูดเสนอตัวว่า “พรุ่งนี้ข้าจะมาช่วยอีกนะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องขอรบกวนเจ้าแล้ว”
“ไม่เป็นไรเลย” เด็กสาวโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
ในคืนนั้น นางทานอาหารเย็นที่กระท่อมของหนิงเมิ่งเหยา ก่อนจะเก็บของแล้วกลับบ้านของตน
หยางจู้และนายหญิงหยางยืนรออยู่ตรงหน้าประตูบ้านอย่างเป็นห่วง และแล้วความกังวลใจของทั้งคู่ก็หายเป็นปลิดทิ้งหลังจากสังเกตเห็นเงาตะคุ่มของบุตรสาว
เมื่อหยางเล่อเล่อเห็นบุพการีของตนยืนรอ ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกให้พวกเขารู้ก่อนล่วงหน้า เพราะมัวแต่ยุ่งกับการช่วยหนิงเมิ่งเหยาเย็บตำราอยู่
เด็กสาววิ่งไปที่ประตูบ้านอย่างรวดเร็วและรีบบอกทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าสบายดี พอดีข้าไปช่วยเหยาเหยาเย็บตำรา จนเผลอลืมกลับบ้านเพื่อบอกพวกท่านก่อน ขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าบอกว่าเจ้าช่วยนางเย็บตำรามาเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว วันนี้เหยาเหยาซื้อตำรามาสิบเล่ม แต่พวกมันราคาแพงมาก นางจ่ายเงินเกือบสองตำลึงเชียวนะ เหยาเหยาเลยบอกว่าจะทำคัดลอกเพื่อทำสำเนาน่ะ” เมื่อหยางเล่อเล่อคิดถึงตอนที่ทำตำราฉบับคัดลอกทั้งสามสิบเล่มจนเสร็จ ก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมา
หยางจู้มองดูบุตรสาวเอื้อนเอ่ย โดยไม่รู้ว่าควรใช้คำใดอธิบายความรู้สึกในจิตใจของตนออกมา
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าขอไปช่วยเหยาเหยาอีกนะ นางทำมันทั้งหมดคนเดียวคงจะไม่ไหวแน่นอน” เด็กสาวทำสีหน้าจริงจังพลางกล่าว
‘หากไม่มีใครช่วยหนิงเมิ่งเหยา นางก็ต้องคัดลอกบทความจากตำราและเย็บพวกมันทั้งหมดให้เสร็จสิ้นด้วยตัวคนเดียว นางจะต้องใช้เวลาเท่าใดกันเล่า’
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็พักงานบ้านก่อน แล้วไปช่วยเหยาเหยาเถิด” หยางจู้พยักหน้าและรู้สึกพึงพอใจกับนิสัยของบุตรสาว
โชคไม่ดีนักที่เหล่าบุตรชายของเขาไม่อยู่บ้าน มิเช่นนั้นก็คงจะส่งลูกๆ ไปเรียนด้วย
วันรุ่งขึ้น หยางเล่อเล่อไปหาหนิงเมิ่งเหยาที่บ้านอีกครั้ง แต่พอนางไปถึง กลับพบว่ามีตำราฉบับคัดลอกที่เสร็จสมบูรณ์อยู่สองสามเล่มข้างๆ หญิงสาวผู้นั้น
“เจ้าทำเสร็จไปขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมถึงไม่รอให้ข้ามาช่วยก่อนเล่า” หยางเล่อเล่อเดินมาที่โต๊ะ และหยิบเข็มมาเย็บกระดาษส่วนที่หนิงเมิ่งเหยาทำเสร็จไว้แล้ว
หญิงสาวยิ้ม แต่ยังคงเงียบเพราะกำลังใช้สมาธิกับการคัดลอกเนื้อหาจากตำราอยู่
ทั้งสองทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณสี่ถึงห้าวัน และแล้วทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ส่วนโต๊ะและเก้าอี้จากผู้เฒ่าหลี่นั้น ก็ทำเสร็จพร้อมส่งมอบให้นางแล้วเช่นกัน
บทที่ 10 รวมตัวกัน
ชาวบ้านต่างเกิดข้อสงสัยว่าชั้นเรียนจะถูกยกเลิกหรือไม่ หยางจู้ยืนยันกับพวกเขาว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นได้เตรียมตำราให้แก่เด็กๆ เรียบร้อยแล้ว พอได้ยินดังนั้น แม่บ้านบางคนจึงนำแตงโมจากบ้านของตนมามอบให้หนิงเมิ่งเหยา
เมื่อพวกนางมาถึง ก็พบว่าหญิงสาวและหยางเล่อเล่อนั่งอยู่ตรงลานบ้าน และกำลังวุ่นวายกันอยู่ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยหนังสือที่เพิ่งทำเสร็จ
“ในที่สุดก็เสร็จจนได้” หนิงเมิ่งเหยายืดหลังและทุบไหล่ของตน
“นั่นสิ แล้วเจ้าคิดว่าจะเริ่มสอนเมื่อไหร่หรือ” ตลอดระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา หยางเล่อเล่อสนิทสนมกับหญิงสาวมากขึ้น ทั้งยังได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติมอีกสองสามคำ ทำให้นางมีความสุขมากๆ
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดก่อนจะตอบอีกฝ่าย “รบกวนเจ้าบอกท่านลุงหยางเพื่อแจ้งกับชาวบ้านทั้งหลายว่าในวันพรุ่งนี้ ให้ทุกคนพาลูกๆ มาที่นี่ ข้าจะลงทะเบียนรายชื่อของพวกเขาแล้วมอบหนังสือให้”
“ตำราทุกเล่มเลยหรือ”
“ไม่ใช่ แค่สามเล่มก่อนเท่านั้น ถ้าพวกเขาอ่านมันครบแล้ว ข้าถึงจะแจกเล่มอื่นๆ ให้” หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะปฏิเสธ และวางแผนจะใช้วิธีการสอนอันทันสมัย
หยางเล่อเล่อพยักหน้าเห็นด้วย เพราะตำราทุกเล่มนั้นใช้เวลาในการทำสำเนา หากเด็กๆ โยนมันทิ้ง หนิงเมิ่งเหยาก็จะต้องคัดลอกใหม่อีกเล่ม แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่ก็เสียเวลาพอดูเลยทีเดียว
นางกลับบ้านไปในบ่ายวันนั้น และบอกหยางจู้ตามที่หนิงเมิ่งเหยาฝากมา หัวหน้าหมู่บ้านจึงรีบแจ้งให้ชาวบ้านมารวมตัวกันในทันที ก่อนจะประกาศข่าวดีให้ทราบโดยทั่วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าเด็กน้อยและบรรดาผู้ปกครองต่างมายืนออกันตรงหน้าประตูลานบ้านของหนิงเมิ่งเหยาหลังจากได้ยินว่าจะมีการแจกจ่ายตำราให้ในวันนี้
หญิงสาวเปิดประตูทักทาย ก่อนขอให้ทุกคนยืนต่อแถวเรียงหนึ่งและทยอยเข้ามาทีละคน
หยางเล่อเล่อยืนอยู่ข้างหนิงเมิ่งเหยา และคอยมอบตำราจำนวนสามเล่มให้แก่เด็กทุกคนที่ลงทะเบียน
มีเด็กๆ ทั้งหมด 26 คน พวกเขาต่างกอดตำราทั้งสามเล่มของตนอย่างปลาบปลื้ม ทั้งยังคอยจับถูลูบไล้มันแบบไม่ยอมวางมืออีกต่างหาก
“พรุ่งนี้เช้า อย่าลืมนำตำราเหล่านี้มาด้วยนะ เข้าใจไหม” หนิงเมิ่งเหยายิ้มและมองดูเด็กๆ ที่ตื่นเต้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากรับตำรามาแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายจึงพาลูกๆ ของตนกลับบ้าน พอพวกเขากลับมาถึง ก็รีบเปิดตำราอย่างใจร้อนและมองดูลายมืออันบรรจงสวยงามภายในนั้น หนิงเมิ่งเหยาช่างเป็นคนดีเสียจริง ถึงแม้ว่าหนังสือทั้งสามเล่มนี้มีราคาไม่กี่ร้อยอีแปะ และเป็นเพียงฉบับคัดลอก แต่นางก็ต้องใช้เวลาและทุ่มเทอย่างมากเพื่อทำมันให้สมบูรณ์
วันต่อมา เด็กๆ ที่ลงทะเบียนเอาไว้ต่างกินอาหารเช้ากันตั้งแต่เช้าตรู่ และมายืนรอตรงหน้าประตูบ้านของหนิงเมิ่งเหยา แม้ว่าหญิงสาวจะอยากเริ่มสอนสายกว่านี้อีกหน่อยแต่ไม่มีทางเลือก จึงให้พวกเขาเข้ามาตรงลานบ้านที่มีโต๊ะและเก้าอี้จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย
“ทุกคนต้องนั่งเรียงกันตามความสูงนะ” หนิงเมิ่งเหยามองเด็กๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างจริงจัง
จากนั้น หญิงสาวจึงเริ่มสอนพวกเขาให้อ่านหนังสือ โดยชี้พร้อมกับพูดออกเสียงไปทีละคำ เด็กๆ ต่างอ่านตามอย่างตั้งใจ
พวกเขาใช้เวลาอ่านหนังสือทั้งสามเล่มประมาณหนึ่งก้านธูป [1]หลังจากอ่านครบแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็สอนให้พวกเขาหัดเขียนคำง่ายๆ
ด้านหน้าของเด็กทุกคนจะมีกระบะทรายกองหนึ่งและกิ่งไม้หนึ่งก้านวางเอาไว้ หญิงสาวใช้พู่กันธรรมดาที่มีด้ามยาวคล้ายกิ่งไม้ ก่อนจะบอกให้เด็กๆ สังเกตวิธีการจับพู่กันของนาง
เมื่อถึงคราวที่พวกเขาต้องจับกิ่งไม้ของตน หนิงเมิ่งเหยาจะคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กที่จับผิดวิธี เพื่อปรับท่าทางให้ถูกต้อง
หลังจากเด็กทุกคนจับกิ่งไม้อย่างถูกวิธีแล้วนั้น หญิงสาวจึงใช้ถ่านเขียนพยัญชนะ ‘人’ ขนาดใหญ่ลงบนกระดาน
นางอธิบายเด็กๆ เกี่ยวกับการลากเส้น พวกเขาต่างก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เมื่อหนิงเมิ่งเหาบอกให้ลองฝึกฝนดู เหล่าศิษย์ตัวน้อยก็ลองหัดเขียนกันอย่างขะมักเขม้น
หลินเอ๋อร์มีพรสวรรค์อย่างมาก เขามองพยัญชนะบนกระดานและลองเขียนเพียงสองครั้ง ก็สามารถคัดบรรจงตัวอักษรนั้นได้อย่างประณีต หรืออาจเป็นเพราะอักษรตัวนั้นเขียนไม่ยากด้วย
หลังจากที่เด็กๆ รู้วิธีการเขียนตัว ‘人’ แล้ว หนิงเมิ่งเหยาจึงสอนตัว ‘之’ ต่อไป ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับพวกเขา หญิงสาวช่วยเด็กบางคนที่ยังเขียนไม่ได้ด้วยการจับมือแล้วลากเส้นเพื่อทำเป็นแบบอย่าง จนกระทั่งเหล่าศิษย์ตัวน้อยเริ่มเขียนได้หลังจากลองฝึกสองสามครั้ง
พยัญชนะหลังจากตัว ‘之’ คือ ‘初’ ถือเป็นตัวอักษรที่ท้าทายในการหัดเขียนตัวหนึ่งเลยทีเดียว หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป มีเด็กไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเขียนได้สำเร็จ หนึ่งในกลุ่มเด็กเหล่านั้นมีหลินเอ๋อร์และเสี่ยวมู่ด้วย
[1] ครึ่งชั่วโมง