บทที่ 17 โมโหและไม่พอใจ
ท่านป้าลั่วเต็มใจช่วยอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมองว่างานปักเย็บของหยางเล่อเล่อในตอนนี้ยังอยู่ในระดับทั่วไป แต่ถ้ามีหนิงเมิ่งเหยาเป็นอาจารย์ช่วยสอนอยู่ทั้งคนแล้วละก็ ผลงานของนางผู้นี้จะต้องออกมาโดดเด่นได้อย่างแน่นอน แต่อาจจะต้องอาศัยเวลาเรียนรู้เพิ่มเติมเท่านั้น การส่งเสริมผลักดันในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับใครกันเล่าหากมิใช่เพื่อตัวของนางเอง
หยางเล่อเล่อได้สติกลับคืนสู่โลกความเป็นจริง และได้ยินหนิงเมิ่งเหยาพูดคุยกับท่านป้าลั่วว่าให้ช่วยดูแลนาง ดวงตาของเด็กสาวก็แดงระเรื่อทันที “เหยาเหยา ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณทำไมกันเล่า เราเป็นสหายกันนี่ เดี๋ยวเจ้าพูดคุยกับท่านป้าลั่วก่อนนะ ข้าจะไปเลือกซื้อผ้าปักและเส้นด้ายสักหน่อย” หนิงเมิ่งเหยาดึงตัวหยางเล่อเล่อมาตรงหน้าของผู้เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ และปล่อยให้ทั้งสองสนทนากันระหว่างที่ตนเดินเลือกซื้อของอยู่ข้างๆ
หยางเล่อเล่อมิได้ต่อรองราคาที่สูงเกินไป แต่ท่านป้าลั่วนั้นก็ตีราคาให้ดีมากจนเด็กสาวตกใจ เพราะหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อนที่นางเคยขายงานปักผ้าของตนแล้วนั้น ราคาที่ได้ในตอนนี้แทบจะเป็นสองเท่าเลยทีเดียว
“ท่านป้าลั่ว นี่มัน…”
“แม้ว่าป้าลั่วจะเห็นแก่หน้าของเมิ่งเหยาจริง แต่เล่อเล่อ เจ้าต้องเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองด้วยว่างานของเจ้านั้นมีราคาเท่านี้จริงๆ ”
หยางเล่อเล่อยังคงไม่มั่นใจ และพูดอย่างรู้สึกไม่ดีนัก “แต่เมื่อก่อนนี้ คนอื่นยังบอกว่างานปักเย็บของข้านั้นยังดีไม่พออยู่เลย”
ท่านป้าลั่วมองเด็กสาวอย่างไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ก่อนจะเอื้อมมือตบไหล่นาง และชี้ไปยังหนิงเมิ่งเหยาผู้กำลังเลือกซื้อของอยู่ “มีอาจารย์สอนวิชาดีขนาดนี้ เจ้ายังคิดว่างานปักเย็บของเจ้าแย่อยู่อีกหรือ คนพวกนั้นพูดเพราะต้องการจะกดราคา เจ้าจะได้ขายงานปักผ้าคุณภาพดีให้พวกเขาในราคาถูกน่ะสิ”
หยางเล่อเล่อรับฟัง และคิดว่าคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหยาเหยาเป็นคนฝีมือดี และยังเคยพูดว่านางไม่มีข้อติใดๆ ส่วนท่านป้าลั่วก็ยังบอกอีกว่าผลงานของนางนั้นไม่มีปัญหามากนัก ฉะนั้นนางจึงเริ่มเชื่อมั่นว่าตนเองทำได้
“ขอบคุณท่านป้าลั่ว” หยางเล่อเล่อรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงก่ำ
“เอาเถอะ นี่เป็นเงินค่างานปักของเจ้า รับไปเสีย” ผู้เป็นเจ้าของร้านยื่นเงินประมาณหนึ่งตำลึงมาให้
เด็กสาวรับเงินนั้นไว้ด้วยดวงตาที่มีประกายแห่งความสุข มันช่างยอดเยี่ยมไปเลย “ท่านป้าหลัว เหยาเหยาเคยบอกว่าข้าสามารถปักเย็บปลอกหมอนหรือสิ่งอื่นๆ ประมาณนี้ได้แล้ว ข้าจึงอยากจะรับจ้างปักเย็บผ้าได้หรือไม่”
“แน่นอนอยู่แล้ว บังเอิญจริงๆ ว่าข้าพอจะมีงานบางอย่างอยู่พอดี เป็นผ้าเช็ดหน้าคู่สมรสน่ะ ตามข้ามาสิ” ท่านป้าลั่วได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินนำทางให้หยางเล่อเล่อในทันที
หญิงสาวทุกคนในร้านแห่งนี้ต่างเย็บปักถักร้อยงานชิ้นใหญ่ แต่มีน้อยคนนักที่จะเต็มใจรับงานปักอย่างผ้าเช็ดหน้าของคู่สมรส เพราะนอกจากจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากแล้ว ราคาของมันก็ไม่ได้สูงนัก ท่านป้าลั่วจึงกังวลว่าจะหาคนมาปักเย็บมันไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาเสนอตัวเข้ามาราวกับฟ้ามาโปรด
หยางเล่อเล่อถือปลอกหมอน และมองลวดลายบนนั้น มันมีทั้งฝูงนกเป็ดน้ำกำลังเล่นน้ำ และดงดอกบัวบาน รวมถึงมีลายมังกร และนกเพลิงอีกจำนวนหกชุดซึ่งแสดงถึงความเป็นสิริมงคล
“ท่านป้าลั่ว ยังพอมีเวลาให้ทำนานอยู่ใช่หรือไม่”
“อย่ากังวลเลย มีเวลาเหลืออีกสองเดือนกว่าๆ เพียงพอให้เจ้าปักเย็บจนเสร็จนั่นแหละ” ท่านป้าลั่วเข้าใจในสิ่งที่หยางเล่อเล่อถามเป็นอย่างดี นางเกรงว่าจะปักเย็บได้ไม่ดี และอาจจะเสร็จไม่ทันกำหนด
หยางเล่อเล่อโล่งใจหลังจากได้ยินคำตอบ เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเลือกของเสร็จ จึงเดินไปดูปลอกหมอนทั้งหกชุดในมือของเด็กสาว ก่อนจะเห็นว่ามันไม่ยากเกินไปนัก ให้นางฝึกฝนโดยใช้งานชิ้นนี้ก็ดีเหมือนกัน “ไม่เลวเลยนะ มันเหมาะกับฝีมือการปักเย็บของเจ้าในตอนนี้พอดีเลย”
“ใช่แล้ว ท่านป้าลั่วก็เอ่ยเช่นนี้” หยางเล่อเล่อยิ้มด้วยหัวใจพองโตอย่างมีความสุข หลังจากนี้นางจะขายงานปักทุกชิ้นของตนให้กับที่นี่ และต้องขอบคุณเหยาเหยาสำหรับความช่วยเหลือทั้งหมดนี้จริงๆ
ทั้งสองเลือกซื้อของจนเสร็จ และหนิงเมิ่งเหยาเป็นผู้ชำระเงิน ในขณะที่หยางเล่อเล่อตั้งใจจะวางมัดจำ แต่ป้าลั่วคิดไว้แล้วว่าหนิงเมิ่งเหยาคงไม่ยอม
หลังจากทั้งคู่เดินออกจากร้านรับซื้องานผ้าปักแห่งนี้ไปไม่นานนัก พวกนางก็พบหยางซิ่วเอ๋อร์ผู้มีสีหน้าถมึงทึงโดยเฉพาะสายตาที่จ้องมองมาทางหยางเล่อเล่อนั้นดูไม่ดีนัก
เนื่องจากในตอนนั้น นางเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาพาเด็กสาวผู้นี้ไปยังร้านรับซื้องานผ้าปักที่ดีที่สุด แต่กลับไม่เคยพาตนไปด้วย หนำซ้ำร้านนี้ยังตีราคางานปักเย็บดีกว่าร้านอื่นๆ มากนัก
“หนิงเมิ่งเหยา เจ้าพานางไปยังหอลั่วหยุน แต่ทำไมเจ้าถึงไม่พาข้าไปด้วย” หยางซิ่วเอ๋อร์ถามต่อหน้าหนิงเมิ่งเหยา
“แล้วทำไมข้าต้องพาเจ้ามาด้วยเล่า” หญิงสาวปรายตามองอีกฝ่ายก่อนถามกลับ
นางพาหยางเล่อเล่อไปด้วยเพราะเป็นเพื่อนสนิท อีกทั้งยังอยากให้นางมีรายได้เพิ่ม และมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่สำหรับหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นเป็นใครกัน ช่างเห็นแก่ตัวนัก
นางโกรธหน้าดำหน้าแดง จนใบหน้านั้นถมึงทึงอย่างไม่น่าดู จากนั้นจึงสะบัดหน้าหนี แล้วหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อหยางเล่อเล่อเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างฉงน “เหยาเหยา ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนหรือเปล่า”
“ช่างเถอะ ข้าพาเจ้ามาแนะนำให้รู้จักกับท่านป้าลั่ว เพราะงานเย็บปักของเจ้าเป็นไปตามมาตรฐานของหอลั่วหยุน แต่ข้าไม่อาจพาหยางซิ่วเอ๋อร์มาพบท่านป้าลั่วได้ ต่อให้นางจะยอมรับงานไว้ แต่ก็คงอึดอัดใจน่าดู” ทั้งนี้เพราะงานปักเย็บของหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นไม่มีความสวยงามประณีตใดๆ เลย
บทที่ 18 ความอิจฉาและแค้นใจของหยางซิ่วเอ๋อร์
หนิงเมิ่งเหยาสอนทักษะต่างๆ ให้กับหยางซิ่วเอ๋อร์ไปไม่น้อย แต่ผลงานของนางยังคงแข็งทื่อ และไร้ชีวิตชีวา หากท่านป้าลั่วรับซื้อชิ้นงานเหล่านั้นอย่างเต็มใจก็คงจะแปลก
ต่างจากหยางเล่อเล่อผู้มีพรสวรรค์อย่างมาก หากนางได้รับการสอนมากกว่านี้ ก็จะสามารถปักเย็บได้อย่างช่ำชองขึ้น และนั่นคือประเด็นที่ท่านป้าลั่วให้ความสำคัญ นอกจากจะเห็นแก่หน้าของหนิงเมิ่งเหยาแล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นผลดีต่อเด็กสาวเองอีกด้วย
หลังจากหยางเล่อเล่อได้ฟังคำตอบของหญิงสาวก็หัวเราะลั่น เพราะหยางซิ่วเอ๋อร์มักบอกว่างานปักผ้าของนางนั้นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ และไม่เคยคาดคิดว่าเมื่อเหยาเหยาเห็นงานของนางแล้ว จะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรดีเลย
จากนั้นสองสาวเพื่อนรักจึงเดินจากไป โดยไม่รู้เลยว่าหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นกำลังนำงานปักผ้าของนางไปยังหอลั่วหยุนและตั้งใจจะอ้างชื่อหนิงเมิ่งเหยาเพื่อจะขายงานของตน
แต่นางไม่นึกไม่ฝันว่าท่านป้าลั่วจะตำหนิว่างานปักผ้าของนางนั้นช่างไร้ค่า และให้นำงานของนางไปขายที่ร้านอื่น
ท่านป้าลั่วมองดูหยางซิ่วเอ๋อร์จากไป ‘เหมือนว่าเมื่อก่อนจะเคยเห็นหญิงสาวผู้นี้มากับหนิงเมิ่งเหยา และเคยคิดว่าหนิงเมิ่งเหยาจะแนะนำให้รู้จัก แต่ก็เปล่า นอกจากนี้งานปักเย็บของนางผู้นั้นยังไม่มีอะไรดีพอจะให้รับซื้อได้เลย’
นางน่าจะเรียนรู้วิธีการปักเข็มเย็บผ้าเช่นนั้นมาจากหนิงเมิ่งเหยา แต่ทว่ามันกลับแข็งทื่อ ไม่ลื่นไหล เทียบชั้นกับของหยางเล่อเล่อไม่ได้เลย
หลังจากหยางเล่อเล่อได้รับเงินมา นางก็มีความสุขอย่างยิ่ง จึงเอ่ยชวนหนิงเมิ่งเหยาไปทานอาหารอร่อยๆ ด้วยกัน
ในที่สุด ทั้งคู่ก็ตัดสินใจทานอาหารที่ร้านข้างทางร้านหนึ่งจนหมดเกลี้ยง รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว
“เหยาเหยา เจ้ามีอะไรต้องซื้อเพิ่มเติมอีกหรือไม่”
“ข้าต้องการเส้นก๋วยเตี๋ยวน่ะ พอดีว่าที่บ้านไม่มีเหลือแล้ว” หญิงสาวอยู่คนเดียวตามลำพัง ดังนั้นทุกๆ ครั้ง นางจึงซื้อของเข้าบ้านไม่มากนัก ทำให้ต้องออกมาซื้อข้าวอยู่บ่อยๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
พวกนางมายังร้านขายข้าว และซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวจำนวนเก้าจิน [1]จากนั้นจึงเลือกซื้อเนื้อหมูรวมถึงกระดูกชิ้นโต
“เจ้าซื้อกระดูกนี่มาทำไมรึ มันไม่มีเนื้อติดมาเลยนะ” หยางเล่อเล่อมองดูชิ้นกระดูกในมือของหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่เข้าใจ ‘เหตุใดนางจึงต้องเสียเงินกับการซื้อกระดูกนั่นด้วย ที่คนอื่นๆ ซื้อก็เพื่อจะนำไปให้สุนัขของตนก็เท่านั้น’
หญิงสาวกระซิบตอบด้วยเสียงแผ่วเบา จนหยางเล่อเล่อมองนางด้วยดวงตาเบิกกว้าง “จริงหรือนี่”
“จริงสิ ข้าจะโกหกเจ้าทำไมกัน”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะซื้อมันกลับบ้านด้วย จะได้นำไปต้มซุปกิน” นางกล่าวพลางหยิบกระดูกขนาดใหญ่มาสองชิ้นราคารวมสองอีแปะ โดยส่วนบนของกระดูกยังพอมีเนื้อติดอยู่บ้าง
หลังจากซื้อข้าวของจำเป็นเสร็จสิ้น ทั้งสองก็เตรียมตัวเดินทางกลับ และมีรถเกวียนของชายชราจอดรออยู่ตรงประตูเมือง แต่ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นวี่แววของหยางซิ่วเอ๋อร์เลย
“พวกเราออกรถเถิด”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หนิงเมิ่งเหยาสอนวิธีการต้มซุปกระดูกให้กับหยางเล่อเล่อ และยังให้เครื่องปรุงรสที่ซื้อมาด้วย
“มันจะรสชาติดีอย่างที่เจ้าว่าจริงหรือ” หยางเล่อเล่อเอ่ยถามอย่างด้วยความสงสัย
หญิงสาวผงกศีรษะ “น้ำซุปต้มกระดูกนั้นดีต่อเด็กๆ รวมถึงคนสูงวัยอีกด้วย หากเจ้ารู้สึกว่าแค่กระดูกอย่างเดียวยังไม่พอ ก็สามารถใส่สมุนไพรหรือหัวไชเท้าเพิ่มได้”
“ตกลง คืนนี้ข้าจะลองทำดู” เมื่อหยางเล่อเล่อฟังดังนั้น จึงเลิกสงสัย ก่อนจะหยิบสัมภาระของตนกลับบ้าน พร้อมทั้งบอกกับหนิงเมิ่งเหยาว่าวันรุ่งขึ้นจะขอมาหาเพื่อปักเย็บผ้าด้วยกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องดีๆ ให้ท่านแม่ของตนฟังอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ครั้งนี้ข้าขายกระเป๋า และผ้าเช็ดหน้าได้ถึงสองตำลึงเงินเชียวนะ”
“โห มากขนาดนั้นเชียว ก่อนหน้านี้ยังราคาสามร้อยอีแปะเท่านั้นเองนี่” นางหยางเอ่ยถามพลางมองลูกสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
หยางเล่อเล่อบอกผู้เป็นแม่ของตนว่าหนิงเมิ่งเหยาพานางไปยังหอลั่วหยุน นางหยางฟังเช่นนั้น จึงยิ้ม และเอ่ยว่า “นั่นเพราะเมิ่งเหยาอยากจะช่วยเหลือเจ้า ดังนั้นเจ้าจงตั้งใจปักเย็บเพื่อไม่ให้นางต้องเสียหน้านะ”
“ข้ารู้น่าท่านแม่ ข้าต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” เด็กสาวผงกศีรษะอย่างขึงขัง นางรู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยาตั้งใจช่วยเหลือตน มิเช่นนั้นคงไม่พานางไปยังหอลั่วหยุนเป็นแน่
ส่วนหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นกลับบ้านมาอย่างทุกข์ระทม ต่างจากหยางเล่อเล่อโดยสิ้นเชิง เมื่อนางคิดถึงเรื่องน่าอับอายที่เกิดขึ้นในหอลั่วหยุน และเมื่อนึกถึงหนิงเมิ่งเหยาที่พาหยางเล่อเล่อไปแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของร้านนั่น ความเกลียดชังก็เอ่อล้นในใจของนาง
“ซิ่วเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันเนี่ย มิใช่ว่าเจ้าเข้าเมืองกับนางหรอกหรือ” เมื่อนางหลัวเห็นสีหน้าบึ้งตึงของลูกสาวที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน จึงถามอย่างประหลาดใจ
ถ้าไม่มีใครเอ่ยกระตุ้นก็ดีอยู่หรอก แต่เมื่อมีคนพูดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ราวกับไปสะกิดให้เปลวไฟในดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์ลุกโชนขึ้น นางหันมองผู้เป็นแม่อย่างเดือดดาล
“ไม่ใช่เรื่องของท่านเสียหน่อย”
นางหลัวอึ้ง และมองดูลูกสาวที่กำลังขุ่นเคือง ‘นางเห็นลูกสาวดูทุกข์ใจจึงเอ่ยถาม นางผิดด้วยหรือ’
[1] ประมาณ 4.5 กิโลกรัม