บทที่ 249 ความคืบหน้าเล็กๆ น้อยๆ
สีหน้าของหลี่หลินเอ๋อร์แข็งทื่อ คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเป็นปม “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็เปิดเผยความลับนี้ให้ทุกคนรู้กันได้เลย แต่จากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับจวนตระกูลเซียวเล่า บางทีอาจจะเป็นการสั่งประหารคนทั้งตระกูลก็เป็นได้ และนั่นรวมถึงตัวเจ้าเองด้วย” เซียวอี้หลินมองหลี่หลินเอ๋อร์อย่างไม่คิดจะสนใจ
หากนางคิดจะเปิดเผยความลับของพวกเขา เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางทำไปเสีย หากสถานการณ์มันแย่ขึ้นกว่านี้ อย่างน้อยสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการที่นางทำให้จวนตระกูลเซียวล่มสลายด้วยน้ำมือของนางเอง
หลี่หลินเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อยืนนิ่งอยู่กับที่ นางไม่ได้คิดเรื่องนั้นมาก่อน
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจจนตาตั้งของหลี่หลินเอ๋อร์ เซียวอี้หลินจึงเยาะขึ้น “หากไม่มีเรื่องอื่น เช่นนั้นข้าขอตัวล่ะ ส่วนเรื่องที่นี่… ข้าว่าเจ้าควรจะอยู่เงียบๆ เช่นนี้ต่อไปสักพัก”
เซียวอี้หลินหันหลังเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย ท่าทางที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้นางนั้นทำเอาแขนขาของนางถึงกับหมดแรง ทรุดลงไปนั่งกับพื้น
นางคิดไปว่าจะสามารถทำให้เซียวอี้หลินมาอยู่ในกำมือของตนได้ แต่เขากลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว และสิ่งที่เขากล่าวนั้นก็ถูกต้อง การเปิดเผยความลับจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น นางคงไม่พ้นต้องถูกประหารด้วยเช่นกัน มิหนำซ้ำอาจจะทำให้ตระกูลทางฝั่งของตนต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เพราะฉะนั้น แม้นางอยากจะเปิดเผยความลับออกมาเท่าใด แต่นางก็ไม่กล้าลงมือทำจริง
เซียวอี้หลินเดินกลับมาที่ห้องหนังสือของตนอย่างใจเย็น เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป ก็เห็นหัวหน้าองครักษ์ลับยืนอยู่ข้างใน
เมื่อเห็นเขา สีหน้าอันอึมครึมของเซียวอี้หลินก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น “เซียวอี เจ้าพบอะไรแล้วหรือ”
“ขอรับนายท่าน หญิงชราที่เป็นผู้เลี้ยงดูภรรยาของท่านแม่ทัพนั้นเคยเป็นช่างตัดฉลองพระองค์ในวังหลวงขอรับ แต่นางเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคชรา ดังนั้นร่องรอยทั้งหมดจึงสูญหายไปพร้อมกับนางด้วย เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสืบเพิ่มอีกสักหน่อยขอรับ” เซียวอีรายงานสิ่งที่ตนพบให้เซียวอี้หลินฟัง
เซียวอี้หลินขมวดคิ้ว หญิงชราที่เคยเป็นช่างตัดฉลองพระองค์ในวังหรือ
“สืบต่อไป เราต้องรู้ความจริงทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เซียวอี้หลินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งการต่ออย่างเร่งร้อน
เซียวอีรับคำสั่ง จากนั้นเขามีท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ข้ายังพบอีกว่าเวลาเกิดของภรรยาท่านแม่ทัพนั้นช้ากว่าเวลาเกิดขององค์หญิงเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นขอรับ”
เซียวอี้หลินขมวดคิ้วหนักขึ้นอีก เขามองเซียวอี ชายผู้นี้หมายความว่าอย่างไร
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากถามเซียวอี เซียวอี้หลินพลันนึกถึงปานของหนิงเมิ่งเหยาขึ้นมาได้ แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยน คิ้วของเขาขมวดกันจนยุ่งเหยิง หนิงเมิ่งเหยาต้องเป็นเด็กจากตระกูลเซียวไม่ผิดแน่ แต่เหตุใดนางจึงถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกกัน
“ไปสืบต่อ ตรวจสอบดูว่าฮ่องเต้องค์ก่อนมีหญิงอื่นอยู่นอกวังด้วยหรือไม่ หรือมีธิดาองค์ใดที่ไม่ได้เกิดในวังอีกหรือเปล่า จัดการสืบสองเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กันเสีย” หลังจากคิดเล็กน้อย เซียวอี้หลินจึงสั่งการต่อ
“ขอรับนายท่าน”
หลังจากเซียวอีออกไป คิ้วของเซียวอี้หลินก็ขมวดเข้าหากันอีกครั้ง ใบหน้าของเขาบูดบึ้งเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินเรื่ององค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูอยู่นอกวังหลวงมาก่อน เป็นไปได้ไหมว่า…
เมื่อคิดเช่นนั้น หัวใจเขาก็เต้นระรัว เซียวอี้หลินพยายามตั้งสติอีกครั้ง เรื่องพรรค์นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาน่าจะคิดมากไปเอง
ณ จวนตระกูลหลิง เซียวจื่อเซวียนจ้องร่างหลายร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเขม็ง เจ้าของร่างนั้นคือหมอซึ่งนางตามมาให้ดูอาการบุตรชายของตน ใบหน้านางบูดบึ้งขณะเอ่ยถาม “เจ้าว่าอะไรนะ ไม่มีทางช่วยเขาได้เช่นนั้นหรือ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขา ข้าจะตัดหัวพวกเจ้าทุกคนทิ้งเสีย”
หลังจากอุ้มบุตรชายกลับมาที่ห้องของตน เซียวจื่อเซวียนก็สั่งข้ารับใช้ให้ไปตามหมอ แต่สิ่งที่นางทำกลับไร้ประโยชน์ หมอทุกคนที่มาดูอาการล้วนแต่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นางใช้เวลานานเกินไปกว่าเด็กจะถึงมือพวกเขา ทารกผู้นี้ยังเล็กนัก ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะรักษาอาการไข้ของเขาให้หายได้ จะสั่งยาแรงๆ ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
“ชายาซื่อจื่อ ได้โปรดเมตตาด้วยเถิด”
“เมตตาหรือ หากเจ้าไม่อยากตาย เช่นนั้นก็รักษาลูกข้าเสีย” เซียวจื่อเซวียนกำมือแน่นพลางตะโกนด้วยความโกรธ
หมอทุกคนมองหน้ากันอย่างสิ้นหวัง บางทีวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาก็เป็นได้
หลังจากหลิงหลัวรู้เรื่อง เขาก็ทิ้งทุกอย่างในมือและรีบมาที่ห้องของเซียวจื่อเซวียน
“ลูกเป็นอย่างไรบ้าง” หลิงหลัวรักลูกคนแรกของตนยิ่งนัก เมื่อเห็นลูกชายของตนนอนอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ก็อดจะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
“เป็นอย่างไรน่ะหรือ เขากำลังจะตายน่ะสิ” เซียวจื่อเซวียนกรีดร้อง
ทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดของแม่นมผู้นั้นทั้งสิ้น หากไม่ใช่เพราะนาง ลูกของนางจะเป็นเช่นนี้ไปได้เช่นไร
หลิงหลัวหันหน้าไปมองผู้ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
“สถานการณ์เป็นอย่างไร”
“ลูกของท่านมีไข้ขึ้นสูงเป็นเวลานานเกินไป และไข้ก็ไม่ลงเสียทีขอรับ ถึงแม้เขาจะหายขาดจากอาการนี้ได้ แต่อาจต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการอื่นแทน”
หลังจากที่ทารกมีอาการไข้เป็นเวลานาน สมองย่อมจะได้รับความเสียหายไปด้วย
บทที่ 250 ไม่ตาย
หลิงหลัวไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้
“ตราบใดที่รักษาลูกข้าให้หายได้ เจ้าจะเรียกค่าตอบแทนเท่าใดก็ได้” ไม่ว่าอย่างไรหลิงหลัวก็จะไม่ให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับบุตรชายของเขาเป็นอันขาด
หมอทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”
พวกเขารับประกันไม่ได้ว่าจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ เพราะอาการไข้ของทารกผู้นี้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมาเป็นเวลานานจนเกินไป
“ก่อนอื่นเราต้องหาทางลดอุณหภูมิร่างกายของเด็กคนนี้ลงก่อน” หลิงหลัวกังวลเรื่องบุตรชายของตนที่กำลังนอนอยู่บนเตียง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น
“ใช่ขอรับ” หมอผู้หนึ่งขานรับคำพูดของหลิงหลัว แล้วพวกเขาก็เริ่มลงมือทำการรักษา
ขณะที่หมอหลายคนกำลังยุ่งมือเป็นระวิงอยู่นั้น หลิงหลัวมองลูกของตนและเซียวจื่อเซวียนที่นั่งอยู่ข้างเตียง
แม้หญิงผู้นี้จะมีข้อเสียหลายประการ แต่ขณะนี้นางดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก คิ้วของนางขมวดเข้าหากันจนแทบกลายเป็นเส้นเดียว ราวกับว่ากำลังมีเรื่องอะไรกวนใจนางอยู่
เขานวดหัวคิ้วตัวเอง บางทีหญิงผู้นี้อาจจะไม่ได้น่าเหลืออดขนาดนั้นก็ได้
“อย่าห่วงไปเลย ลูกจะต้องไม่เป็นไร” โดยไม่รู้ตัว หลิงหลัวพลันก้าวเข้าไปปลอบประโลมเซียวจื่อเซวียน
เซียวจื่อเซวียนชะงัก นางหันมองหลิงหลัว เมื่อดวงตาของทั้งคู่สบกัน นางก็หันมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว หลิงหลัวยิ้มกับตัวเองแล้วเบนสายตาไปมองเด็กชาย
เมื่อเห็นแก้มที่กลายเป็นสีแดงและริมฝีปากอันแห้งผากของลูกน้อย รวมถึงได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาในแต่ละครั้ง หัวใจของเซียวจื่อเซวียนก็ปวดร้าว หากทำได้นางอยากจะเจ็บแทนลูกเหลือเกิน
นางใช้ช้อนเล็กๆ แตะน้ำอุ่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ริมฝีปากของเด็กน้อย นางเริ่มทำเช่นนี้ตั้งแต่ที่นางพาลูกกลับมาอยู่กับตน
ทุกครั้งที่เซียวจื่อเซวียนเห็นท่าทางอันทรมานของลูก นางก็รู้สึกเกลียดแม่สามีขึ้นทุกขณะ นางทำเช่นนี้กับเด็กได้อย่างไร
นางบอกว่านางไม่รู้ แต่เห็นชัดๆ ว่านั่นมันก็แค่ข้ออ้าง หญิงผู้นั้นมีข้ารับใช้มากหน้าหลายตาอยู่กับตัวเสมอ นางจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้กำลังมีไข้
มิหนำซ้ำนางยังปล่อยให้เด็กคนนี้ต้องเผชิญกับพิษไข้เป็นเวลานานถึงเพียงนั้น
“นายน้อย เอ่อ… ฮูหยิน…” จู่ๆ หมิงฟางก็เดินเข้ามาก่อนกระซิบบางอย่างใส่หูหลิงหลัว เซียวจื่อเซวียนได้ยินไม่ชัดนักว่าเขาพูดอะไร
แต่นางรู้ว่าหญิงผู้นั้นคงไม่ได้มีเจตนาดีแน่นอน
หลิงหลัวหน้านิ่วคิ้วขมวด เขามองภรรยาและบุตรชายของตน ก่อนกล่าวว่า “ข้าต้องไปดูสักหน่อย แล้วข้าจะกลับมา”
เขาเมินสายตาของเซียวจื่อเซวียนก่อนเดินออกไป
เมื่อหลิงหลัวมาถึงที่พักของนาง เขาพบว่ามีอนุภรรยาหลายนางกำลังพูดคุยกับมารดาของตนอยู่
“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นไข้ขึ้นสูง น่าสงสารนักที่เขาคงจะไม่รอด” หนึ่งในน้ันมองคนที่มีฐานะสูงกว่าตนอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวขึ้นด้วยความลังเลเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยปากขึ้นพูดต่อ “ใช่เจ้าค่ะ แล้วในขณะนี้แม่ของเด็กคนนั้นก็กำลังวุ่นวายอยู่ ข้าได้ยินมาว่านางหัวเสียเอาการเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินนั่งฟังหญิงสาวพวกนั้นพูดคุยกัน ใบหน้าของนางบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรเสียเด็กคนนั้นก็เป็นหลานชายของนาง และเป็นเพราะนาง ขณะนี้จึงยังไม่รู้ว่าเขาจะอยู่หรือจะไป
“พอแล้ว หุบปากเสีย แทนที่จะมาพูดเรื่องพวกนี้ คงจะดีกว่าถ้าพวกเจ้าเอาเวลาไปคิดหาวิธีทำให้ลูกชายข้าโปรดปรานพวกเจ้าเสีย พวกเจ้าจะได้มีลูกกับเขาในเร็วๆ นี้บ้าง” ฮูหยินฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างรุนแรงพลางเอ่ยด้วยความโมโห
หญิงพวกนี้มีแต่พวกไร้ค่า ทั้งที่เวลาผ่านไปร่วมปีแล้ว แต่ก็ไม่มีพวกนางคนใดตั้งท้องขึ้นมาสักคน
“ท่านแม่ขอรับ ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน” หลิงหลัวไม่อยากฟังบทสนทนาของพวกนางอีกต่อไป เขาจึงเดินเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน
เมื่อฮูหยินเห็นหลิงหลัวเข้ามา ความโกรธของนางก็หายไป มันถูกแทนที่ด้วยความรักใคร่อันล้นเหลือแทน
“หลัวเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ท่านแม่ หากไม่มีอะไร เช่นนั้นข้าขอกลับไปดูแลลูกก่อนนะขอรับ” หลิงหลัวนิ่วหน้า
เมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วของฮูหยินก็พันกันยุ่ง “ลูกของเจ้าไม่ตายอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องไปดูอาการเขาด้วย สู้มีใหม่ให้เร็วที่สุดจะไม่ดีกว่าหรือ”
คำพูดนี้ทำให้หลิงหลัวโกรธขึ้นมา “ท่านพูดเรื่องอะไรอยู่ขอรับ ท่านแม่ เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่นายน้อยแห่งจวนตระกูลหลิง แต่ยังเป็นนายน้อยของจวนตระกูลเซียวด้วย หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขา ท่านคิดหรือว่าจวนตระกูลเซียวจะปล่อยพวกเราไปง่ายๆ”
ปกติแล้วมารดาของเขาเป็นคนช่างสังเกต แล้วเหตุใดนางจึงมองไม่เห็นเรื่องนี้กัน นางหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าเด็กคนนั้นไม่ตายอยู่แล้ว นางไม่ได้รักเด็กคนนี้มากหรอกหรือ แล้วเมื่อครู่นางพูดเรื่องพรรค์นั้นออกมาได้เช่นไร
หลิงหลัวมองไปยังหญิงสาวหลายนางที่ห้อมล้อมมารดาของตนอยู่