บทที่ 257 หมูอ้วนเป็นเพื่อนร่วมทีม
ชายชราส่ายศีรษะไม่หยุดพร้อมกับร่ำไห้ “แม่หนู ข้าขอให้เจ้าช่วยทวงคืนความยุติธรรมแก่ข้าด้วย หลานสาวผู้น่าสงสารของข้าถูกเจ้าสัตว์นรกผู้นี้บังคับขืนใจจนตาย นางอายุเพียง 13 ปีเท่านั้นเอง”
ชายชราผู้นั้นเอามือปิดหน้าขณะกำลังสะอึกสะอื้นพร้อมกับเอ่ยขึ้น เขาเลี้ยงดูหลานสาวของตนมาอย่างดี นางเป็นคนกตัญญูและสองตาหลานก็พึ่งพากันมาตลอดหลายปี เขาไม่เคยให้หลานสาวไปซ่อมแซมร้านค้าของตน เพราะเกรงว่าพวกชาติชั่วจะเห็นเข้า อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ถือเป็นความผิดของเขาเองที่ขาแข้งอ่อนแรง ทำให้หลานสาวต้องมาช่วยซ่อมร้านค้าให้ แต่ใครจะคาดคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น
เขานำเรื่องไปแจ้งสำนักปกครองเมือง แต่เจ้าพนักงานบอกว่าเขาไม่มีหลักฐาน
“ผู้เฒ่า อย่าร้องไห้เลย ลุกขึ้นก่อนแล้วค่อยเล่าให้ข้าฟังเถิด”
“แม่หนู นี่คือป้ายหยกที่หลานสาวผู้น่าสงสารของข้าดึงมาจากเขาได้ เจ้าพนักงานในสำนักปกครองเมืองต่างไม่เชื่อคำพูดของผู้เฒ่าคนนี้ แต่แม่หนูได้โปรดเชื่อและช่วยเหลือข้าด้วยเถิด”
ชายในชุดคลุมและจูเหว่ยจำป้ายหยกนั้นได้ มันคือสมบัติตกทอดมาจากจวนของอัครมหาเสนาบดี และตอนนี้มันก็ตกอยู่ในน้ำมือของชายชราคนนั้น
“เจ้าพูดพล่ามเรื่องไร้สาระ” จูเหว่ยลืมความเจ็บปวดที่ขาของตนเองเสียสนิท
หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่าย “ชิงเสวี่ย ไปเชิญแม่ทัพใหญ่มาที่นี่”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ชิงเสวี่ยหมุนตัวจากไป และแล้วท่าทีของจูเหว่ยและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
‘แม่ทัพใหญ่รึ หรือว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่’
เมื่อชายชราได้ยินดังนั้น ก็รับรู้ได้ว่าตนเองกำลังจะแก้แค้นให้กับหลานสาวได้สำเร็จ “ขอบคุณ แม่หนู ขอบคุณมากๆ…”
“ผู้เฒ่า โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย” หนิงเมิ่งเหยาไม่อาจทนเห็นความลนลานของชายชราได้ จึงเอื้อมมือไปปลอบร่างกายอันสั่นเทาของเขา
ชายชรายืนข้างๆ หญิงสาว ส่วนคนอื่นๆ นั้นอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะถูกจัดการอย่างไร จึงไม่มีผู้ใดออกมาจากจุดเกิดเหตุเลย การที่คนจากต่างเมืองได้พรากชีวิตคนๆ หนึ่งนั้น นี่เป็นการตบหน้าเมืองเซียวอย่างจัง
หลังจากนั้นไม่นาน ชิงเสวี่ยก็พบเฉียวเทียนช่างระหว่างทาง และพาเขามาที่นี่
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกอดหนิงเมิ่งเหยาทันทีที่มาถึง ก่อนจะมองดูนางอย่างละเอียด “เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าไม่เป็นไร แต่ผู้เฒ่าคนนี้มีปัญหาน่ะ” หญิงสาวยิ้มพลางส่ายศีรษะ และชี้ไปยังชายชราข้างๆ ก่อนพูดเสียงนิ่ม
ระหว่างทางที่มาที่นี่ ชิงเสวี่ยได้เล่าสถานการณ์ให้เฉียวเทียนช่างรับรู้แล้ว ชายหนุ่มมองชายในชุดคลุม “องค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิงควรมีคำอธิบายให้กับเราสักหน่อยนะ”
หนานกงเช่อไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้ เขามองจูเหว่ยอย่างโกรธเคือง เขาถูกจับได้เพราะเจ้าคนงี่เง่านั่น ทั้งยังทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ รวมถึงสร้างปัญหาให้กับพวกเขามากขึ้นอีกต่างหาก
“เจ้าจะฟังความจากผู้เฒ่าเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้” หนานกงเช่ออธิบายอย่างสงบ
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะเยาะเย้ย ก่อนยกป้ายหยกในมือ และพูดขึ้นอย่างสุขุม “ป้ายหยกแผ่นนี้คือสมบัติตกทอดมาจากจวนของอัครมหาเสนาบดี ดูเหมือนว่าจะมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่ด้วย รัชทายาทหนานกงตั้งใจจะบอกว่าผู้เฆ่าคนนี้ขโมยป้ายหยกมาหรืออย่างไร”
หนานกงเช่อตกที่นั่งลำบาก ชายชราผู้นั้นดูเป็นคนสูงวัยใจดีที่รู้ผิดชอบชั่วดี หากเขาบอกว่าชายชราขโมยมันมา ก็คงไม่มีใครเชื่อ
“เห็นไหมเล่า แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกท่านคิดจะรังแกประชาชนชาวเมืองเซียวได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ”
“ถ้าเช่นนั้น เราก็มาเจอกันในสนามรบเลยก็แล้วกัน หรือองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิงคิดเช่นไร” เฉียวเทียนช่างพูดเสนอ ท่าทีของเขาดูขึงขังและเห็นได้ชัดว่าพอใจกับความคิดนี้
หนานกงเช่อถลึงตา คำพูดของเขาทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่กว่าเก่า
“พวกเราจะรู้ว่าใครถูกหรือผิดหลังจากตรวจสอบแล้วเท่านั้น แต่ตอนนี้ ข้าอยากจะเชิญรัชทายาทไปพบกับฮ่องเต้ของพวกเราเสียก่อน ผู้เป็นแขกทุกคนควรปฏิบัติตัวเฉกเช่นแขก หากทุกคนมาที่นี่แล้วทำตัวเหมือนกับองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิงแล้วละก็คงจะวุ่นวายไปหมด” หนิงเมิ่งเหยายิ้มมุมปากขณะพูดอย่างไม่เป็นทางการกับหนานกงเช่อ
“ถูกต้อง หรือว่าองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิงจะเป็นคนมีสิทธิพิเศษ จนสามารถปล่อยให้ลูกน้องฆ่าคนตายได้เช่นนั้นหรือ”
“นั่นสิ เจ้าต้องอธิบายให้พวกเราเข้าใจภายในวันนี้ มิเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่จบแน่”
เหล่าประชาชนต่างโกรธเกรี้ยว ถ้อยคำก่อนหน้าขององค์รัชทายาทนั้นคือการพูดเพื่อปกป้องคนชั่วช้า เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะทำตัวโอหังเช่นนี้ในเมืองอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
หากพวกเขาไม่มีคำอธิบายกี่ยวกับเรื่องนี้ ประชาชนทุกคนก็คงจะรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
บทที่ 258 หากผู้มีตำแหน่งสูงฝ่าฝืนกฎหมาย ก็ไม่ต่างอะไรกับสามัญชนที่ทำผิด
หนานกงเช่อไม่เคยต้องอับอายในที่สาธารณะเช่นนี้มาก่อน และแล้วท่าทางอันอ่อนโยนของเขาก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมในทันที
“รัชทายาทหนานกง ข้าจะพาตัวผู้เฒ่าคนนี้และจูเหว่ยกลับไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่” เฉียวเทียนช่างไม่สนใจสีหน้าบึ้งตึงของหนานกงเช่อ ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผู้เฒ่า โปรดมากับพวกเราเถิด” ชิงเสวี่ยเดินไปตรงด้านข้างของชายชราและพูดอย่างแผ่วเบา
ขณะนั้นชิงเซวียนก็เผยตัวมาจากมุมมืดก่อนจะจับตัวจูเหว่ยเอาไว้ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่พวกเขาจากไป เฉียวเทียนช่างก็มองดูหนานกงเช่อ “รัชทายาทหนานกงคิดว่าฮ่องเต้ของเราไม่คู่ควรที่จะพบเจอท่านหรือ”
หนานกงเช่อแทบกระอักเลือด หากเขาแสดงออกเช่นนั้นจริงๆ นอกจากเป้าหมายในการมาที่นี่ของเขาจะล้มเหลวแล้ว ยังทำให้เมืองหลิงและเมืองเซียวกลายเป็นศัตรูกันอีกด้วย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากให้เป็น
“แม่ทัพใหญ่ ข้อกล่าวหานี้ร้ายแรงเกินไป ข้ามิได้ตั้งใจเช่นนั้นเลย”
“ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้น รัชทายาทหนานกงได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยเถิด” เฉียวเทียนช่างพูดกับเขา ก่อนจะหมุนตัวมามองหนิงเมิ่งเหยาภายหลัง “เจ้าอยากจะตามข้าไปยังวังหลวงด้วยกัน หรือจะกลับไปก่อนเล่า”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หญิงสาวมีคำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มากมาย ดังนั้นนางจึงควรติดตามเขาไป
“ดี ไปกันเถอะ”
หนานกงเช่อไม่อาจปฏิเสธได้ และต้องตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
ณ วังหลวง เซียวชวี่เฟิงได้รับฟังรายงานแล้วถึงกับพูดไม่ออก พวกเขาเพิ่งทราบข่าวคราวเรื่องนั้นไม่นาน และตอนนี้หนิงเมิ่งเหยาก็ทำให้มันกระจ่างแจ้ง เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร แต่หญิงสาวผู้นี้ช่างเป็นเสมือนดวงดาวนำโชคแห่งเมืองเซียวเสียจริง
เมื่อเซียวชวี่เฟิงรู้ว่าพวกเขากำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ ก็ไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป “ไปตรวจสอบเรื่องราวของจูเหว่ย” เขาต้องการทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากเขาไม่ทำเช่นนั้น แล้วจะมีหนทางใดที่จะทำให้หนานกงเช่อชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้เล่า
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หลังจากนั้นไม่นาน เฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ ก็ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้
จากนั้นทั้งสามคนจึงเข้ามาในห้องทรงพระอักษร “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถอะ” เซียวชวี่เฟิงโบกมือและมองหนานกงเช่อ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย “นี่คือรัชทายาทหนานกงนี่ เหตุใดจึงดูแตกต่างจากคนที่ข้าเคยรู้จัก หรือว่าข้าจะจำผิดไป”
“รัชทายาทหนานกงคงอับอายที่จะต้องพบเจอผู้คน เขาจึงเปลี่ยนรูปพรรณสัณฐานของตนเองเพคะ” หนิงเมิ่งเหยาตอบอย่างแผ่วเบา ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
หนานกงเช่อหน้าเสีย เขาลืมถอดหน้ากากออกก่อนจะมาถึงที่นี่ ทั้งสองคนต่างเหน็บแนมเขา และนั่นทำให้เขาต้องอดกลั้นอย่างมาก
การปลอมแปลงตัวตนของเขาอาจจะดูว่าเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของพวกเขา
“กระหม่อมจะยอมให้พระองค์เห็นว่าเป็นเรื่องตลกพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหมอมเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองเพียงเพราะไม่อยากมีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเช่อพูดพร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่อาจเชื่อคำอธิบายนั้นได้ก็ตาม
เซียวชวี่เฟิงเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยอย่างคลุมเครือ “จริงอยู่ที่เจ้าเลี่ยงปัญหาได้มากมายนัก หากมิใช่เพราะลูกชายของอัครมหาเสนาบดีสร้างเรื่องเอาไว้ ข้าก็คงไม่รู้ว่ารัชทายาทหนานกงอยู่ในเมืองเซียวแห่งนี้”
ฝ่ามือของหนานกงเช่อเย็นยะเยือก ‘ชายผู้นี้รู้วิธีพูดเหน็บแนมคนอื่นดีจริงๆ ’
หลังจากเขาถอดหน้ากาก ก็เผยให้เห็นหน้าตาอันหล่อเหลา หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของเขาช่างดูน่าหงุดหงิดเสียจริงเชียว
“ฮ่องเต้ เกี่ยวกับเรื่องของจูเหว่ยนั้น…”
“ข้าส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนั้นแล้ว หากบุคคลที่มีตำแหน่งฐานะทำผิดกฎหมาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พลเมืองทำผิด รัชทายาทหนานกงคงเข้าใจเรื่องนี้ดี” เซียวชวี่เฟิงพูดขัดอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม คำพูดของเขาทำให้หนานกงเช่อโต้เถียงไม่ได้เลย
เขาผงกศีรษะอย่างสุขุม “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ฉะนั้น รัชทายาทหนานกงควรรอคอยอย่างสงบจนกว่าผลการสืบสวนจะเสร็จสิ้น หากลูกชายของอัครมหาเสนาบดีไม่ได้ทำ ข้าจะให้คำอธิบายแก่รัชทายาทหนานกงเอง แต่ถ้าหากเขากระทำการนั้นจริง ข้าก็หวังว่าองค์รัชทายาทจะมีคำอธิบายให้ข้าและประชาชนของข้านะ” เซียวชวี่เฟิงพูดขึ้นพร้อมแผ่รังสีสังหารออกจากร่างกาย
ใบหน้าของหนานกงเช่อนั้นดูถมึงทึงอย่างยิ่ง
พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่ในห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ก็มีคนจากจวนของแม่ทัพใหญ่เข้ามา
คนผู้นั้นคือชิงเซวียน “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“ก่อนหน้านี้มีนักฆ่าคนหนึ่งแอบเข้ามาในจวนของแม่ทัพใหญ่เพื่อลอบสังหารชายชราที่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ แต่เราจับคนผู้นั้นไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเซียวชวี่เฟิงได้ยินดังนั้น จึงมีสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้น “นำตัวเขามาที่นี่” พวกเขากล้าที่จะก่ออาชญากรรมร้ายแรงในเมืองเซียวเช่นนี้ เขาทนไม่ได้อีกแล้ว
ศีรษะของหนานกงเช่อสั่นสะท้าน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นในคราวนี้ การโจมตีนั้นจะต้องระบุว่ามาจากพวกเขาอย่างแน่นอน