บทที่ 261 โดนตัดหัวด้วยกัน
ในเวลานี้พวกเขายังส่งคนมาที่ลานประหารอีกหรือ สมองของพวกเขามีปัญหาหรืออย่างไร
องครักษ์ลับที่เสนบาดีจูแฝงตัวไว้ในเมืองเซียวถูกเปิดเผยตัวหมดแล้ว เพราะเขาคิดว่าเซียวชวี่เฟิงไม่สามารถกำจัดกองกำลังที่ซ่อนอยู่ได้
“บัดซบ” หนานกงเช่อผ่าโต๊ะออกเป็นสองเสี่ยงด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“องค์รัชทายาท เช่นนี้เราจะทำอย่างไรดี”
“จะให้ทำอะไรเล่า อย่าไปยุ่งกับเรื่องนี้เสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น เราจะโดนลากเข้าไปเกี่ยวด้วย แล้วจะทำลายแผนการในอนาคตของพวกเรา” หนานกงเช่อกล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว
“พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท” บางรายมองหน้ากันเองแล้วก็เข้าใจว่าหนานกงเช่อหมายถึงอะไร
ในขณะเดียวกัน ณ ลานประหาร เฉียวเทียนช่างทอดมองทัศนียภาพรอบการต่อสู้ แล้วแสยะยิ้ม “พยายามจับพวกมันแบบเป็นๆ ให้ได้”
“ขอรับ”
ทำไมเขาถึงอยากให้จับกลับมาแบบเป็นๆ น่ะหรือ ก็เพื่อรีดข้อมูลออกมาอย่างไรเล่า
จะใช้งานองครักษ์ลับได้มากมายเช่นนี้ คำอธิบายเดียวคือบิดาของจูเหว่ยใช้องครักษ์ลับของฮ่องเต้หลิงที่มาประจำการที่เมืองเซียว ทว่า เขาไม่รู้ตัวว่าหนานกงเช่อจะเดือดดาลมากขนาดไหน
การต่อสู้เข้าสู่ภาวะเข้มข้น เฉียวเทียนช่างไม่อาจทนมองจากด้านข้างได้ เขาเผชิญหน้ากับคนที่มีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด
ทั้งสองฝ่ายมีคนจำนวนมาก แต่ไม่นาน คนของเมืองหลิงก็ค่อยๆ ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ
“ถอย”
“ถอยรึ เจ้าต้องขออนุญาตจากข้าก่อน!” เฉียวเทียนช่างมองคนที่อยากจะหนีไปอย่างเย็นชา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง
พวกเขาไม่ได้บอกให้ปล่อยคนพวกนี้ไป จะปล่อยให้หลุดมือไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกัน
เมื่อเห็นคนล้มลงไปทีละคนต่อหน้าต่อตา หัวหน้าของเหล่าคนชุดดำก็แตกตื่น ในจังหวะนั้นเอง เฉียวเทียนช่างสบโอกาสสั่งสมกำลังภายในแล้วโจมตีเข้าอย่างแรงที่ด้านหลัง เขาเอามือทรงพลังสองข้างบีบรอบคออีกฝ่าย “เจ้าแพ้แล้ว”
แพ้หมายถึงตาย นี่คือชะตากรรมของพวกเขา
คนที่นำพวกเขามาถูกจับแล้ว คนที่เหลือไม่อาจต้านทานต่อไปได้ เมื่อทุกคนโดนจับกุม เซียวฉีเทียนมองยังเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง เราจะทำยังไงกับพวกเขา”
“ประหารพวกเขาทั้งหมดเสีย” เขาไม่ได้จับคนพวกนี้มาถามคำถาม แต่เพื่อเตือนศัตรู
“ตกลง ประหารพวกเขาทั้งหมด” เซียวฉีเทียนกล่าวอย่างง่ายดาย
เฉียวเทียนช่างให้ใครสักคนจับพวกเขาทั้งหมดมัดแล้วตรึงไว้กลางลานประหาร ประชาชนที่ถูกแยกออกไปอีกทางต่างมองจากที่ไกลๆ พอเห็นว่าทุกอย่างไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเขาก็รีบกรูเข้าไป อยากจะดูคนพวกนี้โดนประหาร
ครั้งนี้ เฉียวเทียนช่างไม่ได้ไล่พวกเขาไป “ประหาร”
มือเขาเงื้อขึ้น กระบี่ทิ่มลง เมื่อเพชฌฆาตวาดกระบี่ลง ศีรษะก็กลิ้งออกไป
จูเหว่ยผู้ซึ่งเคยมีความหวัง บัดนี้เห็นฉากเบื้องหน้าก็ขาอ่อนกองกับพื้น เขาจบสิ้นแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว
การประหารเสร็จอย่างรวดเร็ว เฉียวเทียนช่างมองศีรษะทั้งหลายบนพื้นแล้วหัวเราะด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ส่งหัวพวกนี้ไปให้อัครมหาเสนาบดีจู เราควรจะให้เขาได้เห็นลูกชายของเขา”
เซียวฉีเทียนตัวสั่นเทิ้มด้วยนึกรังเกียจ ชายคนนี้ผิดเพี้ยนถึงปานนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ดีเสียจริง”
เซียวฉีเทียนเงียบกริบ ไม่อาจเอ่ยเอื้อนสักคำเดียว ถ้าไม่ใช่ว่าคนรอบตัวเฉียวเทียนช่างเองก็ผิดเพี้ยน ก็ต้องเป็นเขาเองที่ยังอ่อนหัดนัก
เซียวฉีเทียนเห็นเฉียวเทียนช่างรีบเดินจากไป เขาก็รีบไล่ตามให้ทัน “เนื้อปลาที่เจ้ากับเมิ่งเหยาเลี้ยงนั้นคุณภาพชั้นหนึ่งเลย”
“เจ้าเพิ่งรู้หรือ” เฉียวเทียนช่างกลอกตา “ข้ากล้าพูดว่าคุ้มค่าเงินทีเดียว ใช่หรือไม่”
“แน่นอน แน่นอน” แต่ว่าแต่ละตัวราคาไม่กี่ตำลึง เขาจึงขายโดยเพิ่มราคาเท่าตัวได้แน่นอน ไม่มีทางที่จะขาดทุน
“นอกจากปลา เหลืออย่างอื่นไว้ให้ข้าแล้วกัน” เฉียวเทียนช่างจำได้ว่าหนิงเมิ่งเหยาชอบกินของพวกนั้นและเคยบอกเขาเอาไว้
“ไม่มีปัญหา”
พวกเขาเดินทางไปที่ร้านอาหารเพื่อนำปู กุ้ง และเต่าจำนวนหนึ่งกลับไปยังจวนแม่ทัพ
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นปูกับกุ้ง เขาก็อดตะลึงมิได้ ปูตัวใหญ่เท่าจาน นี่ยังไม่รวมก้ามทั้งสี่อีกด้วย เพียงแค่ปูอย่างเดียวก็ยอดเยี่ยมแล้ว ตัวละครึ่งจินเห็นจะได้
“ข้าจะได้กลับไปทำอาหารอร่อยๆ” เฉียวเทียนช่างมองยังปูกับกุ้งในมือ
“ข้าก็เหมือนกัน”
“เช่นนั้นเจ้าก็เอาไปอีกหน่อยสิ”
บทที่ 262 ค่าสูตร
หากถามว่าเขาบอกได้หรือไม่ ว่าทั้งสองคนนั้นเป็นคู่สามีภรรยากันอย่างมิต้องสงสัย คำตอบคือแน่นอน
เฉียวเทียนช่างมองสีหน้าพูดไม่ออกของเซียวฉีเทียน “ถ้าเจ้าอยากมา ก็มา”
“ข้าไปด้วยแน่นอน” หากไม่ไปเขาก็เป็นเจ้าโง่แล้ว เขาอยากจะถามเมิ่งเหยาว่าต้องเตรียมวัตถุดิบเหล่านี้อย่างไรจึงจะได้รสชาติออกมายอดเยี่ยมที่สุด
ทั้งสองไปถึงตอนหนิงเมิ่งเหยากำลังอ่านบางสิ่งอยู่ในสวน นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า แต่สายตานางจับจ้องไปที่ปูในมือเฉียวเทียนช่างทันที
เฉียวเทียนช่างส่งต่อปูในมือให้ท่านยายฉิน “เอาล่ะ ข้าตั้งใจนำกลับมาให้เจ้ากิน ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นก็ได้”
เขารู้สึกอายเล็กน้อยพลางถูจมูกตัวเอง ดวงตาหนิงเมิ่งเหยาเป็นประกาย “ท่านยาย รีบนำปูไปปรุงเร็วเข้า ข้าอยากกินแล้ว!”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะนำไปทำอาหารเดี๋ยวนี้เลย” ท่านยายฉินรับปูไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องครัว
ส่วนเซียวฉีเทียนเองก็ตาเป็นประกายขณะมองหนิงเมิ่งเหยา “เมิ่งเหยา เจ้าสอนวิธีปรุงวัตถุดิบพวกนี้ให้ข้ารู้ได้หรือไม่”
“แน่นอน แต่ข้าต้องการส่วนแบ่ง” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะและกล่าวอย่างไม่แยแส
เซียวฉีเทียนยิ้มเมื่อได้ยินนางตอบตกลงในตอนแรก ทว่าเขาต้องตะลึงเมื่อได้ยินทั้งประโยค
เขาก็จ่ายค่าปูแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมนางยังต้องการส่วนแบ่งอีก
“เจ้าจ่ายเพียงค่าปู ไม่ได้จ่ายค่าสูตร” หนิงเมิ่งเหยาดูจะรู้ถึงข้อสงสัยของเซียวฉีเทียน นางยิ้มแย้มพลางบอกเขา
เซียวฉีเทียนมองหนิงเมิ่งเหยา รู้สึกจนคำพูด “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าสร้างทงเป่าไจให้เป็นเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร เจ้าก็เป็นนักค้าขายไร้ยางอายดีๆ นี่เอง”
“ข้าไม่ได้ไร้ยางอาย ข้าเพียงชอบมีเงินมากขึ้น”
มุมปากเซียวฉีเทียนกระตุกขณะมองหนิงเมิ่งเหยา รู้สึกพูดไม่ออก แล้วนั่นต่างกันตรงไหนเล่า
ดีแล้วหรือที่นางซึ่งเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองกล่าวว่าอยากมีเงินมากขึ้นไปอีก
“เจ้าตกลงหรือไม่”
“แน่นอนว่าข้าต้องตกลง ทำไมข้าจะไม่ตกลงเล่า” เซียวฉีเทียนกัดฟันตอบ
หนิงเมิ่งเหยาขอให้ชิงเสวี่ยนำพู่กันและกระดาษมา แล้วนางก็เขียนสูตรอาหารไม่กี่รายการให้เซียวฉีเทียน พอได้อ่าน เซียวฉีเทียนก็รู้สึกว่าส่วนแบ่งที่ต้องจ่ายไม่ใช่เรื่องใหญ่
เมื่อเซียวฉีเทียนได้ร่วมมื้ออาหารที่นี่ ดวงตาเขาเป็นประกายพอเห็นจานอาหารบนโต๊ะ นิ้วชี้จานปลาและกุ้ง “เจ้าเขียนสูตรของจานเหล่านี้หรือ”
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
“จะต้องได้ราคาดีแน่” เซียวฉีเทียนพูดตามตรงหลังจากได้คำยืนยันจากหนิงเมิ่งเหยา
ตัวเขาทำให้หนิงเมิ่งเหยากลอกตาใส่ “อย่าโง่ไปหน่อยเลย”
“ข้าแค่ประทับใจไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างไม่ชอบใจ
ไม่ใช่ว่านี่ก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ คนผู้นี้กลับแสดงออกเสียใหญ่โต ช่างทำให้รู้สึกประหม่าเสียจริง
“อย่าสนใจเขาเลย รีบกินเถอะ” เฉียวเทียนช่างช่วยหนิงเมิ่งเหยาแกะปูอย่างช่ำชอง โดยใช้ช้อนตักไข่ปูใส่ชามให้นาง และบอกให้นางรีบกิน และเลิกพูดเรื่องไร้สาระกับชายคนนี้
หนิงเมิ่งเหยาตักกินไปคำหนึ่งแล้วอดยิ้มมิได้เมื่อได้ลิ้มรสไข่ปูสดอันโอชะ
เดิมเซียวฉีเทียนไม่พอใจนัก แต่เขาหยุดกินไม่ได้หลังได้กัดคำแรกเข้าไป ไม่จำเป็นต้องพูดถึงรสชาติเลย เนื้อปลาไม่คาวสักนิดเดียว และรักษารสชาติไว้ได้เต็มเปี่ยม เลิศรสยิ่งนัก
เฉียวเทียนช่างกลอกตาใส่เซียวฉีเทียน เขาแกะเปลือกให้หนิงเมิ่งเหยาต่อ และคอยตักอาหารจากบางจานมาเติมให้นางเป็นระยะ
“ข้าจะกินเอง เจ้าก็รีบกินเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาหยิบกุ้งใส่ปากเฉียวเทียนช่างพลางกล่าวเสียงแผ่ว
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก” เขาไม่ได้ชอบอาหารพวกนี้เท่าไรนัก หนักหนากว่านั้น เขากินแล้วจะมีอาการแพ้ แต่ตัวเขาไม่เคยบอกหนิงเมิ่งเหยามาก่อน
กระนั้นเขาก็ยังกลืนอาหารที่หนิงเมิ่งเหยาป้อน
เซียวฉีเทียนท้องป่องหลังกินเสร็จ “ข้าเห็นภาพของพวกนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย”
หนิงเมิ่งเหยาจ้องเซียวฉีเทียน เป็นความผิดของชายคนนี้ เขาแย่งปูนางไป
“เอ่อ เมิ่งเหยา อย่ามองข้าแบบนั้นเลย ข้าจะขอให้คนส่งปูมาให้เจ้าอีกในภายหลัง ตกลงไหม” เซียวฉีเทียนเก้ๆ กังๆ แตะหัวตัวเองพลางกล่าวเอาใจนาง
ถ้าเขาทำให้นางโกรธขึ้นมา แล้วเขาจะทำเช่นไรหากเมื่อถึงเวลาแล้วนางไม่ยอมให้ของดีกับเขา
หนิงเมิ่งเหยาทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันหน้าหนี ไม่สนใจเจ้าคนโง่
เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเจ้าควรไปได้แล้วรึ”