บทที่ 263 อาการแพ้น่าหงุดหงิด
ส่งแขกกลับด้วยท่าทีโอหัง ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ด้วยแล้ว คงมีแต่เฉียวเทียนช่างที่ทำอะไรเช่นนี้ได้
“ก็ได้ ข้าจะไม่รบกวนเวลาพวกเจ้าแล้ว ข้าจะกลับไปหาท่านพี่ แล้วนำเอาอาหารพวกนี้ติดไปให้เขาเสียหน่อย” เซียวฉีเทียนลุกขึ้น เตรียมตัวจะกลับ เขาทำเป็นมองข้ามน้ำเสียงไม่เป็นมิตรของเฉียวเทียนช่าง
“อย่าลืมบอกฮ่องเต้ว่าตอนนี้เหมาะที่สุดที่จะถอนรากถอนโคนที่ซ่อนตัวกองกำลังลับของเมืองหลิง อย่าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป” เฉียวเทียนช่างเอ่ยขึ้น
เซียวฉีเทียนห่อปาก “แน่นอนอยู่แล้ว”
หลังจากเขาไป สองสามีภรรยาคุยเรื่องนี้กันในสวน แต่ไม่นานหนิงเมิ่งเหยาก็สังเกตว่ามีสิ่งผิดแปลกไป หน้าเฉียวเทียนช่างซีดเซียว หัวคิ้วเขาย่นเล็กน้อย ท่าทางดูอึดอัด และมีตุ่มแดงเล็กๆ ผุดขึ้นที่คอของเขา
“เทียนช่าง เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกร้อนรนขณะเดินไปหาเฉียวเทียนช่าง นางมองยังตุ่มเล็กๆ ตรงคอเขา พร้อมกับเอื้อมมือไปแตะหน้าผากชายหนุ่ม
“ข้าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง” เฉียวเทียนช่างบอกแล้วลุกขึ้นยืน แต่ก็เป็นลมไปทันทีที่ทำท่าจะเริ่มเดิน
อาการของเฉียวเทียนช่างทำให้หนิงเมิ่งเหยาหวาดกลัว “ชิงซวง มาดูเขาเร็วเข้า!”
ชิงซวงตื่นตกใจเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างเป็นลมไปกะทันหัน นางรีบเข้ามาช่วยหนิงเมิ่งเหยาแบกเขาไปนอนที่เตียง
ชิงซวงตรวจชีพจรของเฉียวเทียนช่าง นางขมวดคิ้ว “ท่านแม่ทัพมีอาการแพ้เจ้าค่ะ”
“แพ้หรือ” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่ายังไม่เข้าใจสถานการณ์
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพแพ้อาหารทะเล อาการเขารุนแรงกว่าคนทั่วไปด้วยเจ้าค่ะ” ชิงซวงกล่าวพลางผงกศีรษะ
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมเฉียวเทียนช่างจึงไม่ค่อยกินปลาตอนพวกนางอยู่ที่หมู่บ้านไป๋ซาน ไม่ต้องพูดถึงกุ้งกับปู ที่แท้แล้วมีเหตุผลเช่นนี้นี่เอง
แต่อาการของเขาช่างน่าตกใจจริงๆ
“แพ้อย่างนั้นรึ ข้าไม่รู้มาก่อนเลย” นางนึกย้อนไปยังมื้ออาหารวันนี้ นางป้อนเนื้อปูให้เฉียวเทียนช่างไปตั้งมากมาย และเขาก็กินจนหมด นางหลงคิดว่าเขากินได้ และที่ก่อนหน้านี้เขาไม่กินก็เพราะอยากเหลือให้นางกินเยอะๆ
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ คุณหนู ถึงอาการของท่านแม่ทัพจะรุนแรงไปบ้าง แต่พอข้าให้ยา อาการเขาจะดีขึ้นในไม่ช้าเอง”
“เช่นนั้นก็รีบลงมือเสีย” หนิงเมิ่งเหยารีบกวักมือ ขอให้ชิงซวงเตรียมยา
ชิงซวงรีบนำยามา ในมือนางมีขวดขี้ผึ้งอยู่ด้วย
ชิงซวงออกไปหลังจากช่วยหนิงเมิ่งเหยาป้อนยาให้เฉียวเทียนช่าง
หนิงเมิ่งเหยาถอดเสื้อผ้าให้เฉียวเทียนช่างอย่างยากลำบาก หลังจากถอดเสื้อผ้าเขาสำเร็จ นางก็ได้เห็นร่างกายของเฉียวเทียนช่างที่เต็มไปด้วยตุ่มแดง ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวเหลือเกิน
หลังจากทาขี้ผึ้งลงไปตามตุ่มเหล่านั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ยังไม่สบายใจ นางคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เฉียวเทียนช่าง
ในตอนบ่าย ตุ่มเล็กๆ เหล่านั้นก็ยุบลงไปมาก ทว่าเฉียวเทียนช่างยังมีไข้สูง ใบหน้าเขาจากที่ซีดในตอนแรก บัดนี้กลายเป็นสีแดง
“ชิงซวง คราวนี้เขาเป็นอะไรไป” หนิงเมิ่งเหยาไม่มีความรู้เรื่องยา นางถามอย่างกังวล คิ้วขมวดแน่นเมื่อเห็นชิงซวงตรวจชีพจรเขา
“คุณหนู ไม่มีอะไรต้องกังวลเจ้าค่ะ อาการของท่านแม่ทัพถือว่าปกติ พอไข้ลดลงก็จะหายดี แต่เราไม่สามารถใช้ยาได้ มีแต่ต้องหาวิธีอื่น”
หนิงเมิ่งเหยาย่นหน้า ทำไมอาการแพ้จึงวุ่นวายนัก
“ไปเอาสุราแรงๆ มา”
ชิงซวงผงกศีรษะแล้วรีบออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมไหสุราสองใบ
หนิงเมิ่งเหยาใช้สุราเช็ดตัวเฉียวเทียนช่างให้ร่างกายเขาเย็นลง นางใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าอุณหภูมิร่างกายเขาจะค่อยๆ ลดลง
ขณะนั้น ชิงซวงได้ตรวจชีพจรเขาอีกครั้ง “คุณหนู ท่านไม่ต้องกังวลแล้วเจ้าค่ะ ไข้เขาลดลงแล้ว พอท่านแม่ทัพตื่นก็ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้นหนิงเมิ่งเหยาจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง นางมองคิ้วเฉียวเทียนช่างที่ขมวดเข้าหากัน ทำไมคนผู้นี้จึงน่าชังนัก ทำไมเขาไม่บอกออกมาเสียเล่าว่าเขากินอาหารทะเลไม่ได้ เขาเอาแต่กินอะไรก็ตามที่นางป้อนให้ แล้วก็ต้องมาลงเอยเช่นนี้
เฉียวเทียนช่างตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เจอหนิงเมิ่งเหยานอนหลับสนิทอยู่ข้างเตียง
เฉียวเทียนช่างอยากลุกขึ้นแล้วอุ้มหนิงเมิ่งเหยามาที่เตียง แต่เขาไม่มีแรงเหลืออยู่เลย พลันชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อยามบ่าย แล้วนวดหน้าผากตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ นึกรำคาญใจกับสภาพร่างกายตัวเอง
บทที่ 264 ขอเป็นคนโง่
หนิงเมิ่งเหยาลืมตาขึ้นตอนเฉียวเทียนช่างขยับตัว แม้จะยังสะลึมสะลือ แต่นางเห็นเฉียวเทียนช่างเปิดตาขึ้นและกำลังมองนางอย่างอ่อนโยน
พอเห็นว่าเฉียวเทียนช่างตื่นแล้ว ความง่วงงุนในตัวหนิงเมิ่งเหยาก็หายไปโดยพลัน แทนที่ด้วยความกังวล “เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง เป็นอะไรหรือไม่”
เฉียวเทียนช่างส่ายหัวเบาๆ “ข้าไม่เป็นอะไร ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้ากังวล”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี! เจ้าก็รู้ว่าตัวเจ้าแพ้ แล้วทำไมถึงไม่บอกข้า” เขารู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่พอใจ ตอนนี้จึงต้องเผชิญกับผลที่ตามมาสินะ
เฉียวเทียนช่างยิ้มเจื่อน “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบกิน ข้าเลยไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ”
“ครั้งหน้าเจ้าห้ามทำเช่นนี้อีกเด็ดขาด ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นแบบนี้” อย่างน้อยนางก็จะได้เตรียมอาหารจานโปรดให้เขาขณะที่นางกินอาหารพวกนั้น นางจะไม่ให้เขาแตะอาหารทะเลอีกแล้ว
เฉียวเทียนช่างยิ้มแล้วผงกศีรษะ “ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง”
“เจ้านี่มันโง่จริงๆ” นางเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขา ข้างในใจมีหลายอารมณ์ตีกันให้วุ่น
มุมปากเฉียวเทียนช่างผุดยิ้มบาง “ข้ายอมเป็นคนโง่ ขอเพียงเจ้ามีความสุข” เขาชอบเห็นหนิงเมิ่งเหยายิ้มแย้ม ไม่ชอบเห็นนางทุกข์ใจ
หนิงเมิ่งเหยาเหม่อมองเฉียวเทียนช่าง นางไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไร “เทียนช่าง ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้เจอเจ้า” หนิงเมิ่งเหยากุมมือเฉียวเทียนช่างแล้วพูดอย่างรักใคร่
“ข้ารู้สึกเหมือนการที่ข้าตัดสินใจไปเก็บตัวอยู่ที่หมู่บ้านไป๋ซาน คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต” เขาได้พบหนิงเมิ่งเหยาเพราะเลือกไปเก็บตัวสันโดษ ณ ที่แห่งนั้น “ตอนนี้ดึกมากแล้ว รีบขึ้นมานอนพักสักหน่อยเถิด”
“ก็ได้” หนิงเมิ่งเหยาถอดเสื้อนอกออกแล้วปีนขึ้นเตียง นางเอนเข้าหาแขนของเฉียวเทียนช่าง หน้านางแนบกับอกเขาอย่างนุ่มนวลพร้อมปิดตาลงด้วยความพึงพอใจ
ในวันนี้ตอนที่เกิดเหตุขึ้นกับเฉียวเทียนช่างนี่เอง ที่นางเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวตนของเฉียวเทียนช่างฝังตัวลึกเข้ามาในหัวใจและเติบใหญ่ขึ้นดั่งต้นไม้ใหญ่
เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาที่หลับตาลงด้วยสายตานุ่มนวล เขายิ้มอย่างรักใคร่แล้วหลับตาลง
วันรุ่งขึ้น เฉียวเทียนช่างยังหลับอยู่ตอนที่หนิงเมิ่งเหยาตื่นแล้ว นางค่อยๆ สำรวจร่างกายเขา เมื่อเห็นว่าไม่ค่อยมีตุ่มเล็กๆ เหลือเท่าไรนัก ก็โล่งใจยิ่ง
นางลุกขึ้นโดยระวังไม่ส่งเสียงดัง แล้วตรงไปยังห้องครัว เตรียมข้าวต้มเบาๆ ให้เฉียวเทียนช่าง
เฉียวเทียนช่างตื่นแล้วตอนหนิงเมิ่งเหยาลงจากเตียง แต่ร่างกายเขายังอ่อนแรง ทั้งยังรู้สึกว่าตนโง่เง่าเล็กน้อย จึงไม่ได้ลืมตาขึ้น
เฉียวเทียนช่างมองไปทางประตูแล้วหลับตาลง
เมื่อหนิงเมิ่งเหยานำข้าวต้มเข้ามา เฉียวเทียนช่างก็ตื่นแล้วเรียบร้อย เขาดูจะกำลังครุ่นคิดถึงบางอย่าง
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ รีบลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเสีย” หนิงเมิ่งเหยานำน้ำจากข้างเตียงไปให้ นางส่งผ้าในชามให้เฉียวเทียนช่าง พลางปล่อยให้เขารีบล้างหน้า
เฉียวเทียนช่างอยากกินข้าวต้มเองหลังจากได้ล้างหน้า หนิงเมิ่งเหยาจึงได้กินอาหารเช้าของตัวเอง แต่ไม่ทันนึกว่าขณะที่เขาถือชามเอาไว้ ก็เกือบจะทำชามคว่ำลงบนเตียง
“ให้ข้าทำเถอะ ไว้ข้าจะกินหลังเจ้ากินเสร็จแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วแล้วพูดหลังจากเข้าไปคว้าชามข้าวต้มไว้ทันท่วงที
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะอย่างไร้หนทางโต้เถียง “ข้าไร้ประโยชน์เสียแล้ว”
“เจ้าพูดจาบ้าบออะไรของเจ้ากัน” หนิงเมิ่งเหยาไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้เลย
“ก็ได้ ข้าจะไม่พูดจาบ้าบอแล้ว” สีหน้าเฉียวเทียนช่างเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ เขายอมให้หนิงเมิ่งเหยาป้อนข้าวต้ม
หลังจากกินหมดทั้งชาม เฉียวเทียนช่างส่ายศีรษะ ไม่ยอมกินต่อ “ข้าอิ่มแล้ว เจ้ารีบไปกินอาหารของเจ้าเถอะ”
“ก็ได้ ข้าจะเรียกชิงซวงให้มาดูอาการเจ้า ให้นางดูเสียว่าทำไมอาการถึงยังหนักอยู่” หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วพลางพึมพำแผ่วเบา นางเก็บกวาดชามและช้อนออกไป
“ตกลง”
เมื่อออกไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็ส่งชิงซวงเข้ามาดูอาการเฉียวเทียนช่าง นางกังวลว่าจะมีอะไรผิดปกติกับร่างกายเขา
ชิงซวงเข้ามาตรวจชีพจรเฉียวเทียนช่าง จากนั้นก็ถอนหายใจ “นายท่านเจ้าคะ ข้าเคยเห็นคนอื่นมีอาการแพ้มาก่อน แต่ทำไมอาการของท่านจึงยุ่งยากนัก”
“ข้าก็อยากรู้เช่นกัน” เขาเคยมีอาการแพ้มาก่อนในอดีต แต่ยังไม่รุนแรงเท่านี้ เมื่อดื่มยากับได้นอนพักสักคืนแล้วเขาก็มักจะหายดี ไม่มีใครบอกได้ว่าเหตุใดคราวนี้จึงหายยากนักหนา
ชิงซวงมองเฉียวเทียนช่าง นางมีรอยยิ้มบางๆ “แต่นายท่านน่าจะแอบยิ้มยินดีนะเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ข้าเกรงว่าคุณหนูคงจะยังไม่รู้ตัวว่าท่านมีความหมายต่อนางเพียงใด”