บทที่ 293 ข่าวคราว
ภายในดวงตาของเฉียวเทียนช่างมีร่องรอยแห่งความกังวลปรากฏอยู่ “ท่านพี่หมายความว่าเหยาเหยาอาจตกอยู่ในอันตรายหรือ”
เหมยรั่วหลินพยักหน้า “มีความเป็นไปได้อยู่”
“ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร” สายตาของเฉียวเทียนช่างเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างทำตัวเช่นนั้น หนิงเมิ่งเหยาจึงกระตุกมือปลอบให้เขาสงบลง “เทียนช่าง ไม่ต้องห่วง ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายข้าได้หรอก”
“ข้ารู้ แต่ข้าก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี” เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วแน่น เขาเป็นห่วงนางมากจริงๆ
หนิงเมิ่งเหยาเงียบ นางมองเฉียวเทียนช่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งว่า “ต่อไปเวลาที่ข้าจะไปไหน ข้าจะเรียกเจ้าไปด้วย”
“อืม”
ริมฝีปากของเหมยรั่วหลินกระตุกขึ้น แล้วนางก็ทำหน้าอับจนวาจาเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองยังคงสามารถหวานแหววกันได้แม้อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ “เจ้าสองคนช่วยใส่ใจสถานการณ์ตอนนี้บ้างได้ไหม”
เฉียวเทียนช่างหันหน้าไปมองเหมยรั่วหลิน “พี่เหมยอิจฉาหรือ เช่นนั้น พี่เขยเองก็อยู่ข้างๆ ท่าน พวกข้าไม่ถือหรอก”
มุมปากของเหมยรั่วหลินกระตุกอีกครั้ง นางมองอวี้เฟิงที่ทำหน้าบ้องแบ๊วหลังจากได้ยินคำพูดของเฉียวเทียนช่าง ก่อนจะเบือนหน้าหนี รู้สึกพูดอะไรไม่ออก “แต่ข้าถือ”
อวี้เฟิ้งมองเหมยรั่วหลินเศร้าๆ “หลินเอ๋อร์ เจ้าเมินหน้าหนีข้าได้อย่างไรกัน” เขาพูดขึ้น น้ำตาคลอ
เหมยรั่วหลินนวดขมับตัวเองด้วยท่าทางจนปัญญา คนผู้นี้จะช่วยทำตัวให้ปกติหน่อยไม่ได้หรือไร นางอยากจะต่อยเขายิ่งนัก
“ทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนหน่อย”
“แต่เจ้าเมินหน้าข้า” สีหน้าของอวี้เฟิงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
เหมยรั่วหลินดูเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม เมื่อเห็นอวี้เฟิงแสดงท่าทางเช่นนั้น นางจึงเอ่ยขึ้นมาเสียงอ่อยว่า “เปล่า ข้าไม่ได้เมิน”
“จริงหรือ”
“จริง”
“ข้าว่าแล้วว่าหลินเอ๋อร์ของข้ารักข้าที่สุด” เขาดึงนางเข้ามากอดขณะเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบแก้มนางไปด้วย
เฉียวเทียนช่างมองปฏิกิริยาที่ทั้งสองมีให้ต่อกันแล้วก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
เขารู้สึกว่าเหมยรั่วหลินนั้นค่อนข้างจะแพ้ทางอวี้เฟิง ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่เห็น ภายนอกนั้นนางจะดูถือไพ่เหนือกว่าอยู่ก็ตาม
หนิงเมิ่งเหยามองพี่เขยของตนอย่างพูดไม่ออกและเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา “พี่เขย ท่านช่วยทำตัวให้เหมือนคนปกติหน่อยได้ไหม”
อวี้เฟิงโอบเอวเหมยรั่วหลินด้วยสองมือ แล้ววางคางของตนไว้บนไหล่ของนางขณะมองหนิงเมิ่งเหยา “แต่ตรงไหนของข้าที่ไม่ปกติกันเล่า”
“เอาเถอะ ท่านพี่ ที่ท่านมาไม่ใช่แค่เพียงเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาถามขณะมองทั้งสอง
หากเป็นเพราะข่าวเพียงเล็กน้อยแค่นั้น คงไม่มีความจำเป็นอันใดที่ทำให้ทั้งสองคนต้องมาปรากฏตัวในเวลาเดียวกันเช่นนี้ นี่ไม่ใช่นิสัยของคนทั้งคู่
เหมยรั่วหลินพยักหน้า นางมองหนิงเมิ่งเหยา ในดวงตามีความลังเลอยู่
“ท่านพี่อยากจะพูดอะไรหรือ” หนิงเมิ่งเหยามองเหมยรั่วหลินด้วยความสงสัย นางไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเหมยรั่วหลินมาก่อน
หลังจากมองหนิงเมิ่งเหยาอยู่ครู่หนึ่ง เหมยรั่วหลินจึงถอนหายใจออกมาและกล่าวขึ้นอย่างอับจนหนทางว่า “เสี่ยวเหยา มีข่าวคราวบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าให้พวกเราสืบ”
ร่างของหนิงเมิ่งเหยาเกร็งขึ้นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองเหมยรั่วหลิน “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ดูเหมือนว่ามารดาของเจ้าน่าจะเป็นองค์หญิงใหญ่ ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหนกันแน่ นางหายตัวไปสิบกว่าปีแล้ว” เหมยรั่วหลินเริ่มขมวดคิ้วขณะเล่าให้ฟัง
ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาทอประกาย “ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าไม่ผิดหวังหรือ”
“มีอะไรให้ผิดหวังหรือ มันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว” ตั้งแต่ครั้งที่นางมาถึง ร่างนี้ของนางมักจะแผ่ความโกรธแค้นอันรุนแรงออกมาอยู่เสมอ และความโกรธแค้นนั้นก็พุ่งตรงสู่ความอยุติธรรมของโลกใบนี้ ในเวลานั้น นางสัญญากับเจ้าของร่างนี้ที่กำลังใกล้สิ้นใจไว้ว่าจะช่วยสืบหาเรื่องราวในชีวิตของนางและพ่อแม่ของนางให้ นางจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเจ้าของร่างนางนี้ไม่ใช่ลูกของคนชั่ว และนางเองก็มีพ่อแม่กับเขาเหมือนกัน
ด้วยเหตุนั้น นางจึงเริ่มลงมือสืบค้นเรื่องต่างๆ หลังจากที่นางมีอำนาจเพิ่มขึ้น
และในที่สุด ตอนนี้ก็มีข่าวคราวบ้างแล้ว
“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องผิดหวัง ยังมีใครบางคนกำลังตามหาเจ้าอยู่เช่นกัน” จู่ๆ อวี้เฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น เขามองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง
ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาส่องประกายวาววับ “หมายถึงหนานกงเยี่ยนหรือ”
“เปล่า หมายถึงคนที่กำลังสืบเรื่องเจ้าอยู่ เขาสืบเรื่องเกี่ยวกับเจ้าพร้อมกับสืบเรื่องมารดาของเจ้าไปด้วย” อวี้เฟิงส่ายหน้า คนผู้นั้นช่างทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก จนกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้นี่เองที่พวกเขาได้รับข้อมูลเรื่องที่หนิงเมิ่งเหยาและองค์หญิงใหญ่มีความสัมพันธ์กันในฐานะแม่ลูก
บทที่ 294 ไร้ซึ่งอิสระในการเป็นตัวของตัวเอง
ทว่าคนผู้นั้นเริ่มสืบเรื่องของเสี่ยวเหยาเอ๋อร์เล็กน้อยหลังจากค้นพบว่านางมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่ และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกเป็นกังวล
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ตั้งแต่นางมาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับนางเลยสักเรื่องเดียว จะมีก็แต่เหตุการณ์แย่ๆ ที่เข้ามาก่อกวนชีวิตของนางเท่านั้น มันทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดมากจนถึงขั้นรู้สึกรังเกียจเสียด้วยซ้ำ “เหยาเหยา อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใคร สุดท้ายแล้วพวกมันจะต้องเผยตัวออกมาแน่” เฉียวเทียนช่างรู้สึกเป็นห่วงเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยามีท่าทางเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปลอบนาง
แต่หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากำลังคิดอยู่”
“หืม” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร
หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจเบาๆ “ข้ากำลังคิดถึงช่วงเวลาที่หมู่บ้านไป๋ซาน หลังจากมาที่นี่ ดูเหมือนว่าจะมีแต่ปัญหาเข้ามาไม่หยุดหย่อนเสียที”
“เป็นจริงดั่งเจ้าว่า เช่นนั้นหลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น เรากลับไปที่นั่นกันดีไหม” ที่แห่งนั้นเป็นที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรก เขาก็อยากกลับไปเช่นกัน
ที่เมืองหลวงมีการทะเลาะวิวาทและการวางแผนร้ายใส่กันมากเหลือเกิน เขารู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่ชอบมันเอาเสียเลย และเขาเองก็ไม่ชอบเช่นกัน
เหมยรั่วหลินมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยรอยยิ้ม “หลายคนพยายามสุดความสามารถเพื่อจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่เจ้าทั้งสองกลับปรารถนาจะกลับไปยังหมู่บ้านอันแสนห่างไกลแทนเสียอย่างนั้น” อันที่จริงที่แห่งนั้นมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว โดยเฉพาะตรงจุดที่บ้านของทั้งสองตั้งอยู่
“พี่เหมย ท่านน่าจะรู้ว่าข้าอยู่ที่นั่นแล้วรู้สึกสบายใจกว่า ที่แห่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดยิ่งนัก” หากนางชอบชีวิตเช่นนี้ นางคงไม่ถ่อไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเช่นนั้นแน่
หากดูจากฐานะของนางแล้ว หนิงเมิ่งเหยาสามารถใช้ชีวิตอันหรูหรามีหน้ามีตาในสังคมได้สบายๆ ทว่านางกลับไม่ทำเช่นนั้น เพราะนั่นไม่ใช่ความต้องการของนาง
เหมยรั่วหลินมองไปที่หนิงเมิ่งเหยาอย่างขบขัน “แน่นอนว่าข้าต้องรู้สิ่งที่เจ้าคิดอยู่แล้ว ทว่าในบางครั้งคนเราก็ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระได้”
หนิงเมิ่งเหยายังคงนิ่งเงียบและไม่ได้ตอบอะไรออกไป นางรู้ว่าเหมยรั่วหลินหมายความว่าอย่างไร ชีวิตของนางถูกกำหนดให้ไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้หลังจากนางตัดสินใจที่จะอยู่กับเฉียวเทียนช่าง
“อย่าห่วงเลย พวกเราจะกลับไปที่นั่นในไม่ช้า” เฉียวเทียนช่างทำอะไรไม่ได้นอกจากปลอบใจ เพราะไม่อยากเห็นนางอารมณ์ไม่ดี
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า นางเชื่อเฉียวเทียนช่าง เขาทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับนางเสมอ
เหมยรั่วหลินอดหัวเราะหึๆ ขึ้นมาไม่ได้ “พวกเจ้าสองคนช่างเหมาะสมกันจริงๆ เจ้าทั้งสองเกลียดชีวิตในเมืองหลวงเช่นนี้สินะ”
เฉียวเทียนช่างมองเหมยรั่วหลินโดยไม่กล่าวอะไร ดูเหมือนในครั้งนี้เฉียวเทียนช่างจะมีความคิดอื่นอยู่ในหัว
สำหรับเฉียวเทียนช่าง สายตาของผู้คนในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ล้วนบ่งบอกชัดเจนว่าในวันข้างหน้านี้จวนแม่ทัพคงไม่อาจสงบสุขได้อีกต่อไป ยิ่งชัดเจนนักเมื่อเห็นสายตาของหนานกงเช่อหลังจากรู้ตัวตนที่แท้จริงของหนิงเมิ่งเหยา สายตาของหนานกงเช่อนั้นทำเอาเขารู้สึกอยากควักลูกตาของเจ้าหมอนั่นออกมาเสียจริงเชียว
“ข้าจะเรียกคนที่เหลือมา” จู่ๆ เฉียวเทียนช่างก็เอ่ยขึ้น
“คนที่เหลือหรือ” หนิงเมิ่งเหยากะพริบตาด้วยความแปลกใจ นางไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
เฉียวเทียนช่างยื่นมือออกไปลูบศีรษะของหนิงเมิ่งเหยา ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น “พวกเขาก็เหมือนเหลยอันกับหลินจือโยว แต่ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองพวกเขามักจะขลุกกันอยู่ที่ลานฝึกเมื่อสงครามจบลงและไม่เคยก้าวออกมาจากที่นั่นเลย พวกเขามีกันทั้งหมดสิบคน แล้วฝีมือก็ไม่เบาทีเดียว ข้าคงสบายใจขึ้นหากมีพวกเขาอยู่ด้วย”
“เช่นนี้นี่เอง” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ นางไม่ถามอะไรต่อ แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกสงสัยว่าคนพวกนั้นจะเป็นอย่างไร
อวี้เฟิงหัวเราะออกมาในทันที “ดูเหมือนการเตรียมการของพวกข้าจะเป็นหมันเสียแล้ว”
“หืม” ทั้งสองมองอวี้เฟิงพร้อมกันด้วยความสงสัยอยู่ในดวงตา
“ตอนที่พวกข้ามาถึง พวกข้าสืบเรื่องที่ปรึกษาของหนานกงเช่อมา ดูเหมือนว่าที่ปรึกษาผู้นั้นจะเป็นชาวพื้นเมืองจากทางใต้ของหนานเจียงไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังมียาชนิดใหม่ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นใช้สำหรับการควบคุมจิตใจคนอีกด้วย คนผู้นั้นวางแผนจะใช้มันกับเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ แล้วหาประโยชน์จากเจ้า” อวี้เฟิงมองหนิงเมิ่งเหยาพลางพูดเน้นย้ำคำต่อคำ
“อวี้เฟิง เกิดอะไรขึ้นกัน” เหมยรั่วหลินไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ นางถามขึ้นในทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่อวี้เฟิงเอ่ย มีใครบางคนตั้งใจจะเปลี่ยนน้องสาวสุดที่รักของนางให้กลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตจิตใจอย่างนั้นหรือ นางไม่ยอมให้เกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นแน่
อวี้เฟิงรู้สึกปวดหัวเมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวายของเหมยรั่วหลิน เขาไม่ควรพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลยหากเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ “เอาล่ะ อย่าเพิ่งตื่นตกใจแล้วฟังข้าก่อน”
“เล่ามาสิ” เหมยรั่วหลินเร่งอย่างอดรนทนไม่ได้
“หนานกงเช่อไม่ได้เป็นคนที่เก่งกาจตามข่าวลือแต่อย่างใด แต่เป็นได้เพราะมีที่ปรึกษาผู้นั้นอยู่ข้างกายต่างหาก”