บทที่ 313 ไม่ใช่ทั้งหญิงและชาย
หากข่าวเรื่องชายหนุ่มผู้โตเต็มวัยและกำลังจะเป็นผู้ปกครองเมืองของตนในอนาคตแต่ปลอมตัวเป็นหญิงสาวแพร่สะพัดออกไปคงจะทำให้เกิดเรื่องโกลาหลขึ้นเป็นแน่ แต่ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว
ในขณะที่หนานกงเช่อตกตะลึงกับแผนการของหนานกงเยว่นั้น เฟิงซั่วก็รู้สึกเห็นใจหนานกงเช่อที่คิดว่าตนเองนั้นจะได้เป็นผู้ปกครองเมืองหลิงมาโดยตลอด
สายตาของหนานกงเช่อมองหนานกงเยว่และบัณฑิตสลับกันไปมา จนสุดท้าย เขาก็หัวเราะอย่างสมเพชในความโง่งมของตน
พวกเขาทั้งสองคนมีข้อผิดพลาดตั้งมากมาย แต่เขากลับไม่เคยสังเกตเห็นเลย
“หนานกงเยว่ เจ้าช่างวางแผนการได้อย่างชั่วร้ายล้ำลึกนัก” เขาเคยสงสัยว่าเหตุใดหนานกงเยว่จึงช่วยเหลือเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยตัวเองเท่านั้น
หนานกงเยว่มองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น “เจ้าทำตัวราวกับเป็นองค์รัชทายาทมานานเกินพอแล้ว”
“เจ้า…”
เซียวชวี่เฟิงมองกิริยาท่าทางของพวกเขา จึงรู้สึกว่าตนเองต้องพูดอะไรบ้าง “ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชาย หรือจะไม่ใช่ทั้งสองเพศ แต่เจ้าต้องมีคำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้มาให้ข้า เมืองเซียวจะไม่ยอมถูกรังแกเด็ดขาด”
“อุ๊บ ฮะๆๆ” ในขณะที่บรรยากาศกำลังเคร่งขรึมเช่นนี้ เซียวฉีเทียนกลับเผลอหัวเราะออกมา รวมถึงเฟิงซั่วยังแอบยิ้มเยาะด้วยเช่นกัน
หนานกงเยว่หน้าซีดเผือดในทันที ก่อนจะมองเซียวชวี่เฟิง
ผู้เป็นฮ่องเต้มองเขากลับอย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ‘ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทำเอง ทำไมจึงจะพูดถึงไม่ได้เล่า’
“ข้ารู้สึกว่าคำพูดของท่านฮ่องเต้ช่างน่าขบขันนัก แล้วองค์รัชทายาทที่แท้จริงของเมืองหลิงจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือไม่ใช่ทั้งสองเพศกันเล่า” เฉียวเทียนช่างเอ่ยเพื่อเติมเชื้อไฟให้กับบรรยากาศอันตึงเครียดนี้
เขามองคนตรงหน้าขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับคำถามนั้น
หนานกงเยว่จ้องมองพวกเขา
“ไอ๊หยา องค์หญิง… เอ่อ ไม่สิ ควรจะเรียกว่าองค์รัชทายาทหนานกง แต่ก็ฟังดูไม่ใช่อยู่ดี” เซียวฉีเทียนเกาศีรษะ เนื่องจากรู้สึกติดขัดกับการเรียกชื่อตำแหน่งของหนานกงเยว่ “หนานกงเช่อยังอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ถูกต้องมิใช่หรอกหรือ”
ประโยคของเขาทำให้ดวงตาของหนานกงเช่อเปี่ยมล้นด้วยความหวัง ‘จริงด้วย เขาคือองค์รัชทายาท ต่อให้หนานกงเยว่จะทำอะไรมากมายลับหลังแล้วจะทำไม คนอื่นๆ ยังคงมองว่าเขาคือองค์หญิง มิใช่องค์รัชทายาท’
แล้วหนานกงเยว่จะมีสิทธิ์อะไรมาเอาชนะเขาได้
“นั่นสิ ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิง หนานกงเยว่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นคนที่ไม่ใช่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายน่ะหรือ” หนานกงเช่อลุกขึ้นยืนและมองอีกฝ่ายอย่างจองหอง
แม้ว่าหนานกงเยว่จะโกรธเคืองที่พวกเขาบอกว่าเขามิใช่ทั้งชายและหญิง แต่คำพูดจากหนานกงเช่อนั้นทำให้เขารู้สึกอัปยศอดสูยิ่งกว่า จนความขุ่นเคืองของเขาเพิ่มขึ้นอีกระดับ
หนานกงเยว่พลิกข้อมือ ก่อนจะเผยให้เห็นจี้หยกสีน้ำทะลในมือ เมื่อหนานกงเช่อเห็นวัตถุชิ้นนั้น ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“หนานกงเช่อ เจ้ามันไร้ค่า” หนานกงเยว่กระซิบข้างหูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงมีเสน่ห์แต่ก็แฝงไปด้วยความชั่วร้าย
เฉียวเทียนช่างเห็นทั้งสองทะเลาะกันแล้วรู้สึกไม่พอใจนัก “ชวี่เฟิง ดูเหมือนว่าเราจะมีเวลาไม่มากนัก”
เซียวชวี่เฟิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มหมายถึงอะไร เขาผงกศีรษะ “ไม่ว่าใครจะเป็นองค์รัชทายาทแห่งเมืองหลิง เจ้าทั้งสองคนจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเมืองหลิงจะมีคำอธิบายมาให้ข้า” นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องถูกกักขังอยู่ที่นี่
“เจ้าไม่มีสิทธิ์กักขังพวกเรา”
เซียวชวี่เฟิงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “พวกเจ้าจะไปตอนนี้ก็ได้ ข้าไม่ห้าม”
เมื่อหนานกงเยว่เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็รู้สึกหมดหวังทันที
เขาแน่ใจว่าหากพวกเขาจากไปเช่นนี้ เมืองเซียวและเมืองเฟิงคงจะเข้าปิดล้อมเมืองหลิงไว้ได้ก่อนที่พวกเขาจะออกมาพ้นอาณาเขตของเมืองเซียวทันด้วยซ้ำ อีกทั้งทงเป่าไจก็คงจะบีบคั้นพวกเขาอีกด้วย
เมืองหลิงไม่อาจรับแรงกดดันจากทั้งสามฝ่ายนี้ได้
หนานกงเยว่ทำตามคำของเซียวชวี่เฟิงโดยไม่พูดอะไรอีก
“ส่งตัวพวกเขาไปยังพระราชนิเวศน์นอกเมือง”
หลังจากหนานกงเช่อและคนอื่นๆ จากไป เซียวชวี่เฟิงก็มองเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง เมิ่งเหยาปลอดภัยดีไหม”
ชายหนุ่มฝืนยิ้มและผงกศีรษะ “นางไม่เป็นไร” เขาเอื้อมมือจับข้อมือของหญิงสาวที่มีผ้าพันแผลอยู่
เซียวชวี่เฟิงไม่รู้ว่าจะปลอบประโลมชายหนุ่มผู้นี้เช่นไร
“เทียนช่าง ดีแล้วที่เมิ่งเหยาไม่เป็นไร”
“ข้ารู้”
บทที่ 314 หมดโอกาส
หากคนในอ้อมกอดของชายหนุ่มปลอดภัย ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่เขาเพียงกังวลเล็กน้อยว่าหลังจากนี้ นางจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
“หากไม่มีธุระอื่น ข้าขอตัว” เฉียวเทียนช่างเอ่ยพลางเตรียมตัวจากไป หลังจากนึกขึ้นได้ว่าที่จวนแม่ทัพใหญ่นั้นมีเรื่องมากมายให้เขาจัดการ
“ไปเถิด”
ชายหนุ่มอุ้มหนิงเมิ่งเหยาจากไป เฟิงซั่วมองก่อนจะเดินตามหลังเขาไป เซียวชวี่เฟิงเห็นแต่ก็ปล่อยให้เขาไป
เฟิงซั่วเดินตามชายหนุ่มจนถึงจวนของแม่ทัพใหญ่ เมื่อพวกเขามาถึง ก็พบว่าข้าวของทุกอย่างถูกจัดเป็นระเบียบแล้ว แต่บรรยากาศนั้นยังคงอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดอยู่
โดยเฉพาะตรงลานบ้านของพวกเขา
เฉียวเทียนช่างมองชิงเซวียนและคนอื่นๆ ตรงหน้า “พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“พวกเราทุกคนไม่เป็นไรขอรับ”
“ดีแล้ว ไปพักก่อนเถิด ให้ชิงซวงตรวจดูบาดแผลของเจ้าส่วนเรื่องอื่นๆ เราค่อยคุยกันในภายหลัง” ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเย็นชา
ความสูญเสียที่พวกเขาได้รับในครั้งนี้ช่างหนักหนาสาหัสนัก
“ขอรับ”
ชิงซวงรักษาบาดแผลให้ชิงจู๋ก่อน เนื่องจากบาดแผลของนางรุนแรงที่สุด ขณะเดียวกันเฉียวเทียนช่างก็มองเฟิงซั่วที่ยืนอยู่ด้านหลัง “องค์รัชทายาทเฟิง มีธุระอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงซั่วแผ่รังสีอันเยือกเย็น “เฉียวเทียนช่าง บอกข้าสิว่าเจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะอยู่เคียงข้างกับเสี่ยวเหยาเอ๋อร์”
ชายหนุ่มเงียบ เขาเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี เขาทำให้หนิงเมิ่งเหยาได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง
“เจ้ามิใช่ชายคนเดียวที่ชื่นชอบเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ หากเจ้าปกป้องนางไม่ได้ ก็จงหายไปจากชีวิตของนางเสีย”
เฉียวเทียนช่างหัวเราะทันที “เจ้าจะบอกว่าเจ้าคือหนึ่งในคนกลุ่มนั้นหรือ ตราบใดที่เหยาเหยาไม่ปล่อยมือข้า ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยมือนางเช่นกัน” นั่นคือคำสัญญาจากชายหนุ่ม เขาจะทิ้งนางไปได้เช่นไรกัน
เฟิงซั่วไม่เขินอายที่ต้องเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง ก่อนจะมองหน้าอีกฝ่าย “คำพูดของเจ้าฟังดูดี แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ข้าจะนำตัวนางมาเอง แม้ว่านางจะไม่เต็มใจก็ตาม”
เฉียวเทียนช่างจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “ข้าไม่มีวันยอม”
หลังจากชายหนุ่มได้รับบทเรียนมาถึงสองครั้ง เขาก็ตระหนักดีว่าอย่าประเมินศัตรูต่ำไปเด็ดขาด และห้ามประมาทอีกด้วย
หนิงเมิ่งเหยาได้ยินคำพูดของเขาเมื่อตื่นขึ้น หญิงสาวก็มองไปที่ชายหนุ่ม “เทียนช่าง”
น้ำเสียงของนางแหบพร่าและฟังดูไม่รื่นหูนัก ถึงกระนั้นนางยังคงพยายามเค้นคำพูดออกมา
เมื่อเฉียวเทียนช่างได้ยินเสียงของหนิงเมิ่งเหยา ก็เลิกสนใจเฟิงซั่ว ก่อนจะก้มศีรษะมองหญิงสาวในอ้อมแขนของตน “เหยาเหยา ตื่นแล้วหรือ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร อย่ากังวลเลย”
เฟิงซั่วไม่ชอบท่าทีนั้นของนาง “เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เขาทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บถึงสองครั้ง”
หญิงสาวมองอีกฝ่าย “ครั้งนี้ เป้าหมายของพวกเขาคือตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นคนเลือกเอง”
เฟิงซั่วเงียบ ‘คนที่เข้าใจหนิงเมิ่งเหยา ย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นดี หญิงสาวบอกเป็นนัยว่าจะเลือกเฉียวเทียนช่างไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนพวกเขาได้’
เฟิงซั่วนวดขมับของตนเอง พร้อมเผยสีหน้าอันขมขื่นอย่างไม่อาจอธิบายได้ “เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นคนดื้อดึงนัก”
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะเป็นองค์รัชทายาทแห่งเมืองเฟิง” หนิงเมิ่งเหยาพอจะคาดเดาได้ว่าเขาคือใคร เนื่องจากเขาเรียกนางอย่างคุ้นเคย รวมถึงน้ำเสียงอันคุ้นหูนั้นก็ด้วย แต่หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชายผู้ที่ไปไหนมาไหนกับพวกนางอยู่บ่อยๆ นั้นจะเป็นคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่งเช่นนี้
เฟิงซั่วมองหนิงเมิ่งเหยา พลางพูดอย่างช่วยไม่ได้ “คนอื่นๆ ยกเว้นเจ้าต่างรู้เรื่องนี้กันหมด”
หญิงสาวเงียบงัน พลางคิดว่าตอนที่อยู่กับเขา ตนเองไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเลย จู่ๆ นางก็รู้สึกราวกับว่าทำผิดมหันต์
“เหยาเหยา พักก่อนเถิด” เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นว่านางขมวดคิ้ว จึงพูดขึ้น เพราะไม่อยากให้นางเหนื่อยล้า
หนิงเมิ่งเหยาฝืนยิ้มขณะเอนกายในอ้อมกอดของชายหนุ่มและหลับตาลง
หญิงสาวเพิ่งจะระลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้ว่าตนเกือบฆ่าชิงซวง และยังโจมตีเฉียวเทียนช่างอีกด้วย
นางยังจำได้อีกว่าตนฟาดมือใส่เขาอย่างไม่ยั้ง หนิงเมิ่งเหยารีบลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มทันที “เทียนช่าง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
Related