บทที่ 419 เดินทางไปเมืองเฟิง
เซียวชวี่เฟิงยิ้มขณะมองเฉียวเทียนช่างที่เดินจากไป แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กลายเป็นเย็นชาเขาออกคำสั่งในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แม้ว่าเฉียวเทียนช่างจะไม่อยู่ก็ตาม นอกจากนี้ชายหนุ่มยังให้ลูกน้องและสายลับของทงเป่าไจอยู่กับเซียวชวี่เฟิง ทำให้อำนาจและอิทธิพลของเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
สายตาของเขาจับจ้องจดหมายลับบนโต๊ะ ‘ไปเมืองหลิงเพื่อหากำลังเสริมเช่นนั้นหรือ’ ถึงเวลานั้น เขาคงจะปล่อยให้พวกนั้นตายแบบไม่ต้องฝังศพเลยทีเดียว
เมื่อเฉียวเทียนช่างกลับไปที่จวน ก็พบว่าเซียวฉีเทียนกำลังนั่งอยู่กับมู่เสวี่ย ภาพที่ทั้งสองคนพูดคุยกันบาดตาชายหนุ่มอย่างยิ่ง เขาจึงหรี่ตามองทั้งคู่ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ช่างน่าอายยิ่งนัก”
“เจ้าอิจฉาพวกเราน่ะสิ” เซียวฉีเทียนพูดอย่างโอ้อวด
ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างรังเกียจ ก่อนเอ่ยตอบ “ข้ามีทั้งภรรยาและลูกน้อยในครรภ์ แล้วจะอิจฉาเจ้าทำไมกัน ข้ายังไม่เสียสติขนาดนั้น”
เซียวฉีเทียนสำลักขณะมองเฉียวเทียนช่าง ใบหน้าของเขาดูถมึงทึง
มู่เสวี่ยปิดปากและหัวเราะเบาๆ ไม่ว่าเซียวฉีเทียนจะโต้เถียงกับเฉียวเทียนช่างกี่ครั้ง เขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ
เฉียวเทียนช่างเลิกสนใจอีกฝ่าย ก่อนบอกให้ทุกคนเตรียมข้าวของที่จะไปเมืองเฟิง
เมื่อพวกเขากำลังจัดสัมภาระ หนานกงเยี่ยนก็พูดขึ้น “ในเมื่อเจ้าจะเดินทางไปเมืองเฟิง ข้าก็จะกลับเมืองหลิงด้วย”
“ทำไมหรือท่านพ่อ”
“มีคนในเมืองหลิงต้องการจะเข้าไปในจวนของข้า ข้าจากที่นั่นมานานแล้ว นั่นทำให้พวกเขาต่างรู้สึกกังวล” สายตาของผู้เป็นพ่อเผยให้เห็นรังสีความน่ากลัวและดูหมิ่น พวกเขาคิดว่าจะแตะต้องสิ่งของในจวนของเขาได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ
“ท่านพ่อ ระวังตัวด้วย”
“อย่าห่วงเลย พ่อรู้ว่าต้องทำอย่างไร เมื่อจัดการทุกอย่างที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ข้าจะมาหาเจ้าและลูกเขยที่เมืองเซียว ข้าจะต้องกลับมาอีกครั้งก่อนที่เจ้าจะคลอดลูกแน่นอน”
“ตกลง”
หนานกงเยี่ยนจากไปหนึ่งวันก่อนที่หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ จะออกเดินทาง
เมื่อหญิงสาวมองผู้เป็นพ่อจากไปก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้
แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันไม่นาน แต่นางก็สัมผัสได้ว่าหนานกงเยี่ยนดีกับตนอย่างมาก ครั้งนี้ เขามาพักอาศัยอยู่สองสามเดือน แม้ว่าจะมีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย แต่นางก็เชื่อว่าเขาคือพ่อแท้ๆ ของตน และตอนนี้เขากำลังจะไปเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง แล้วนางจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร
เฉียวเทียนช่างกอดหญิงสาวจากด้านหลัง “มีทงเป่าไจคอยช่วยเหลืออย่างลับๆ ท่านพ่อตาจะไม่เป็นไร”
“ใช่ พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากหนานกงเยี่ยนจากไปได้สามวัน หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ จึงเริ่มออกเดินทาง
เมื่อเซียวอี้หลินเดินทางมาหาพวกเขา ก็คลาดกันเสียแล้ว
เนื่องจากหนิงเมิ่งเหยากำลังตั้งครรภ์ พวกเขาจึงเดินทางอย่างไม่รีบร้อน และไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกเขามักจะหยุดพักเสมอ เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงชายแดนของเมืองเซียว เหมยรั่วหลินและอวี้เฟิงก็โบกมือลาพวกเขา แล้วปลีกตัวแยกออกจากกลุ่ม
“หากพี่เหมยและคนอื่นๆ เดินทางไปกับพวกเราได้ก็ดีสิ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยอย่างผิดหวัง
“อย่าเศร้าใจเลย เดี๋ยวเจ้าก็ได้พบพวกเขาอีก” แม้ว่าในทุกๆ ปี พวกเขาจะไม่ได้พบเจอกันบ่อย แต่พวกเขาก็สนิทสนมกันมาก
หนิงเมิ่งเหยายิ้มและผงกศีรษะ ก่อนมองมู่เสวี่ย “หากเป็นไปได้ ข้าก็หวังว่าเจ้าและเฉินจะออกจากตระกูลนั้นได้”
“ข้าเองก็หวังเช่นนั้น แต่ท่านแม่ห้ามเอาไว้” มู่เสวี่ยพูดอย่างทุกข์ใจ
นางรู้สึกว่าแม่ของตนควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า เพราะชายคนนั้นทำให้ชีวิตของผู้เป็นแม่ต้องลงเอยเช่นนี้
หนิงเมิ่งเหยาลูบไหล่อีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวล เจ้าสามารถอาศัยอยู่ในเมืองเซียวได้แล้ว เพียงแค่…”
มู่เฉินที่อยู่ด้านข้างได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนพูด จึงเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นจะต้องคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะมายุ่งกับข้า” หลังจากที่น้องสาวแต่งงาน เขาก็จะกลายเป็นน้องเขยของเซียวฮ่องเต้ นอกจากนี้ ยังมีเหยาเหยาอยู่กับพวกเขาอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาก็มีคนที่หนุนหลังอยู่รอบตัวมิใช่หรือ
ทั้งเซียวฉีเทียน เหยาเอ๋อร์ และสามีของนาง ต่างทำให้หญิงสาวผู้นั้นกำจัดพวกเขาลำบากขึ้น และตอนนี้ยังมีเบาะแสเกี่ยวกับการตายของแม่พวกเขาอีกด้วย
เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็หวังว่าชายคนนั้นจะยังคงปกป้องผู้หญิงคนนั้นดั่งเช่นเคย
“ถูกต้อง” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ
เซียวฉีเทียนมิได้เอ่ยคำใด แต่ท่าทีของเขาก็สื่อออกมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ณ จวนของอัครมหาเสนาบดีแห่งเมืองเฟิง อัครมหาเสนาบดีมู่ได้ยินว่ามู่เฉินและน้องสาวกำลังเดินทางมาพร้อมกับองค์ชายฉีและแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเซียว รวมถึงภรรยาของแม่ทัพใหญ่ เขาก็รู้สึกสับสน
บทที่ 420 นังจิ้งจอก
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หญิงสาวรูปงามที่กำลังนวดขมับให้อัครมหาเสนาบดีมู่อยู่ เห็นว่าอีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
เขาดึงมือนางออก “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่เฉินและมู่เสวี่ย พวกเขากลับมาที่นี่กับนายหญิงแห่งทงเป่าไจ นอกจากนี้องค์ชายฉียังเดินทางมาพร้อมกับพวกเขาอีกด้วย”
หญิงสาวรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย จนมือของนางนั้นแข็งเกร็ง “พวกเขาคิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
มู่เฉินและมู่เสวี่ยไม่ได้อยู่บ้านในช่วงปีใหม่ ทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธเคืองมาก ตอนแรกเขาคิดจะลงโทษทั้งคู่หลังจากพวกเขากลับมา แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเราคงจะรู้เองเมื่อถึงเวลา”
“เจ้าค่ะ”
ห้าวันต่อมา หนิงเมิ่งเหยาและคนที่เหลือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของเมืองเฟิง และพบว่าองค์รัชทายาทเฟิงซั่วแห่งเมืองเฟิงนั้นรออยู่ตรงประตูเมือง
เมื่อหญิงสาวเห็นเฟิงซั่ว ก็ตกตะลึงก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านพี่นั่วหรัน”
“พวกเจ้ามากันแล้ว เชิญทางนี้ ท่านพ่อของข้ารอพบพวกเจ้ามานานแล้ว” หลังจากได้รับข่าว ท่านพ่อของเขาก็มอบหมายให้เขามาต้อนรับเซียวฉีเทียนและคนอื่นๆ
“เราพบกันอีกครั้งแล้วสินะ” เซียวฉีเทียนยิ้มให้เฟิงซั่ว
“ใช่ พวกเราเตรียมที่พักไว้แล้ว โปรดตามข้ามา”
หลังจากอัครมหาเสนาบดีมู่รู้ว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ มาถึง เขาก็คิดว่าพวกเขาจะกลับมาที่จวนของอัครมหาเสนาบดีเลย แต่ใครจะรู้ว่าทุกคนจะเข้าไปในวังหลวงกับองค์รัชทายาท เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อัครมหาเสนาบดีมู่ขุ่นเคืองและรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย อะไรทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจขนาดนี้
“ถวายบังคมฝ่าบาท” เซียวฉีเทียนโค้งคำนับให้กับฮ่องเต้ในฐานะขององค์รัชทายาทแห่งเมืองเซียว
“องค์ชายฉีไม่ต้องมากพิธี”
“ข้ามั่นใจว่าฝ่าบาททรงทราบเหตุผลที่ข้ามาในวันนี้แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ นี่คือจดหมายที่พี่ชายของข้าเขียนถึงฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงฮ่องเต้หยิบจดหมายขึ้นอ่าน ก่อนจะมองมู่เฉิน
“ข้าเข้าใจความหมายของเซียวฮ่องเต้ดี” เดิมที เฟิงฮ่องเต้วางแผนจะจัดงานแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ทางการเมืองกับเมืองเซียว แต่ไม่มีองค์หญิงที่อยู่ในวัยอันเหมาะสมเลย จึงทำให้เรื่องนี้ต้องชะงักลง
เขาประหลาดใจ และไม่คิดเลยว่าการมาของเซียวฉีเทียนในครั้งนี้ จะเป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้
องค์ชายฉีต้องการจะแต่งงานกับลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี
“ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ต้องการเจรจากับเมืองเฟิง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทสนใจหรือไม่เพคะ” หลังจากพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ หนิงเมิ่งเหยาจึงพูดขึ้น
“เจ้าคือนายหญิงแห่งทงเป่าไจหรือ ได้ยินชื่อเสียงมานาน ในที่สุดก็เจอตัวจริงเสียที” เฟิงฮ่องเต้ยิ้ม
เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเป็นถึงเจ้าของกิจการอันใหญ่โตเช่นนี้ได้
“เพคะ”
“ข้อเสนอของเจ้าคืออะไรหรือ”
“ข้าสนิทสนมกับองค์รัชทายาท ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องการจะร่วมงานกับเขาและลูกชายของอัครมหาเสนาบดีเท่านั้นเพคะ”
เฟิงฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าใจทันที “ตกลง เจ้าเจรจาเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้เลย”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ซั่วเอ๋อร์ องค์ชายฉีและคนอื่นๆ เดินทางมาไกล พวกเขาคงจะเหน็ดเหนื่อย เจ้าพาพวกเขาไปพักผ่อนเถิด และคืนนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายฉี”
“ขอรับ”
เฟิงซั่วพาเซียวฉีเทียนไปยังวังหลวง จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปเขกศีรษะหนิงเมิ่งเหยา “เจ้าตั้งครรภ์อยู่ ยังจะเดินทางไกลเช่นนี้อีก”
“ข้าปล่อยให้เฉินและคนอื่นๆ โดนกลั่นแกล้งไม่ได้หรอก”
“เอาเถอะ แต่ข้าก็สามารถปกป้องพวกเขาได้มิใช่หรือ” เฟิงซั่วเลิกคิ้วมองหญิงสาว
เขาและมู่เฉินนั้นมีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน โดยเฉพาะมู่เฉินที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก ท่านพี่นั่วหรัน ข้าไม่อยากให้มู่เสวี่ยและคนอื่นๆ ที่เหลือกลับไปที่จวนของอัครมหาเสนาบดีเลย”
“เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่กลับไปอีก แต่ถ้าสักสองสามวันก็คงไม่มีปัญหา”
“ข้ารู้ว่าท่านพี่นั่วหรันมีวิธี แต่เก็บเรื่องการร่วมมือกับเฉินเป็นความลับไว้ดีกว่า ผู้คนในจวนอัครมหาเสนาบดีจะได้ไม่มีความคิดที่พวกเขาไม่ควรมี” หนิงเมิ่งเหยามีท่าทีเย็นชา
“ก็ได้”
เฉียวเทียนช่างมองเฟิงซั่ว ก่อนจะยื่นแขนไปโอบกอดหนิงเมิ่งเหยา “เจ้านั่งในรถม้ามานาน รู้สึกเหนื่อยหรือไม่”
“เหนื่อยสิ” หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างรู้สึกผิด
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปพักเถอะ”
“แต่ข้าอยากออกไปเดินเล่น”
“งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” เมื่อเซียวฉีเทียนเห็นท่าทีของเฉียวเทียนช่าง เขาก็เอ่ยออกมาทันที
ดังนั้นทุกคนจึงเดินทางไปยังอุทยานหลวงด้วยกัน
ณ อุทยานแห่งนี้ พวกเขาได้พบเจอกับบรรดาลูกสาวของเหล่าขุนนางต่างๆ มู่เสวี่ยมองเด็กสาววัย 13 ปีคนหนึ่งด้วยดวงตาอันเย็นชา เด็กคนนั้นคือน้องสาวของนางที่มีนามว่ามู่อวี่นั่นเอง
“อ๊ะ นั่นองค์รัชทายาทนี่! ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” เมื่อมู่เสวี่ยกำลังคิดว่าจะเดินหนีไปหรือไม่ มู่อวี่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาเฟิงซั่วและมองดูเขาอย่างหลงใหล ท่าทีอันประเจิดประเจ้อนั้นทำให้มู่เสวี่ยรู้สึกอับอายยิ่งนัก