บทที่ 447 ไม่มีผู้ใดได้กลับไป
สีหน้าของเซียวอี้หลินพลันเปลี่ยนไป “เป็นไปไม่ได้”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดจวนแม่ทัพจึงปิดประตูและปฏิเสธที่จะรับแขก สาเหตุเป็นเพราะนอกเหนือจากห้องนี้ ทุกหนแห่งภายในจวนล้วนแต่ปกคลุมไปด้วยหมอกพิษทั้งสิ้น” หนิงเมิ่งเหยาบอกสาเหตุขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเซียวอี้หลินไม่เชื่อ
สีหน้าของเซียวอี้หลินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พวกเขากล้าวางยาพิษในจวนทั้งจวน
ข้อมูลเช่นนั้นทำให้เซียวอี้หลินต้องเร่งมือ แต่ก่อนที่เขาจะได้แตะต้องหนิงเมิ่งเหยา หนานอวี่ก็เข้ามาขวางเสียทุกครั้ง เขาไม่มีแม้แต่เวลาให้ล่าถอย
“เซียวอ๋อง ท่านรู้หรือเปล่าว่าพวกเราเตรียมอะไรไว้รอท่าน” หนิงเมิ่งเหยายืนอยู่ด้านข้าง ปิดกั้นหนทางหนีของเซียวอี้หลิน “กู่พิษยังไงล่ะ หนำซ้ำยังมีจำนวนนับไม่ถ้วนเสียด้วย ท่านรู้หรือเปล่าว่าความรู้สึกยามที่มีหนอนมากมายคลานอยู่บนร่างเป็นเช่นใด ข้าว่ามันจะต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาแน่ ท่านว่าไหม”
เซียวอี้หลินมองหนิงเมิ่งเหยา เมื่อเห็นว่านางไม่ได้โกหก เขาจึงพยายามหนีในทันที
“ท่านเพิ่งคิดจะหนีเอาตอนนี้รึ ไม่สายเกินไปหน่อยหรือ” หนิงเมิ่งเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก
มีเสียงบางอย่างดังขึ้นจากทางด้านนอก ในนั้นมีเสียงกรีดร้องอย่างทรมานรวมอยู่ด้วย
สีหน้าของเซียวอี้หลินเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารู้ดีว่าคนที่เขาพามาล้วนตายหมดแล้ว
เฉียวเทียนช่างเดินเข้ามาด้านใน เขาโล่งอกขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยายังยืนอยู่ตรงนั้นในสภาพสมบูรณ์
“จับเป็น” เฉียวเทียนช่างมองเซียวอี้หลินด้วยสายตากระหายเลือด คนที่กล้าโจมตีจวนแม่ทัพจะต้องตาย
เซียวอี้หลินรู้ว่าตนจะถูกจับในวันนี้ไม่ได้ เขาจึงรีบวิ่งออกไป
บริเวณด้านนอก เขาพบเข้ากับภาพกองกระดูกและหนอนจำนวนมหาศาล
เดิมทีหนอนพวกนั้นมีขนาดเท่ากับถั่วเขียว แต่หลังจากกลืนกินเนื้อหนังของคนด้านนอกเข้าไป มันจึงขยายตัวขึ้นจนมีขนาดประมาณนิ้วโป้ง กองกระดูกและหนอนสีดำยั้วเยี้ยช่างเป็นภาพอันน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
หนานอวี่สั่งให้กู่พิษจู่โจมเซียวอี้หลิน เพราะหนอนเหล่านั้นมีจำนวนมาก ไม่ว่าเซียวอี้หลินจะพยายามหนีเท่าใด เขาก็ไม่สามารถหนีพวกมันพ้นได้ หากไม่ใช่เพราะหนานอวี่สะกดกู่พิษเอาไว้ในวินาทีสุดท้าย เซียวอี้หลินคงไม่พ้นต้องพบกับจุดจบเช่นเดียวกับองครักษ์พวกนั้นเป็นแน่
หนานอวี่มองเซียวอี้หลินที่นอนอยู่บนพื้น เขาเรียกกู่พิษทั้งหมดกลับมา
สีหน้าของเซียวอี้หลินบิดเบี้ยวเมื่อเขาเห็นภาพนั้น “เจ้าเป็นคนจากเหมียวเจียง”
หนานอวี่ไม่นึกจะเสวนากับเซียวอี้หลิน
“พาตัวเขาไปห้องใต้ดิน วันนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อจับตัวเหยาเหยา นั่นคือหลักฐานว่าการกบฏของจวนตระกูลหลิงน่าจะใกล้ถึงเวลาแล้วกระมัง” เฉียวเทียนช่างมองออกไปด้านนอกและดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงทำให้คนจากจวนตระกูลหลิงไม่สามารถรอได้อีก
ไม่ว่าหลักฐานจะเป็นของจริงหรือไม่ พวกเขาคงจะรู้ได้ในไม่ช้า
พวกมันคงคิดว่ารอให้ถึงวันราชพิธีเสกสมรสของเซียวฉีเทียนไม่ได้ ดังนั้น พวกมันจึงตัดสินใจลงมือให้เร็วขึ้น
สีหน้าของเซียวอี้หลินเปลี่ยนไป เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่โดนหนานอวี่ลากตัวออกไปเสียก่อน
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ เฉียวเทียนช่างจึงพาหนิงเมิ่งเหยาออกมาที่สวนด้านหน้าจวน ที่แห่งนั้นถูกเก็บกวาดเรียบร้อย และไม่มีซากศพเหลืออยู่แม้แต่ศพเดียว
หลังจากเห็นสภาพของที่นี่ นางจึงเดาะลิ้นขึ้นมา หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “โหดร้ายจริงๆ ไม่มีใครได้กลับไปสักคน”
“ยายหนูนี่ เจ้าไม่คิดหน่อยหรือว่าพวกเราทำลงไปเพื่อใครกัน ยังจะกล้ามาวิจารณ์อีก ระวังจะโดนพวกข้าอัดเข้าให้”
ผู้เฒ่าเฮยแทบจะกระโดดโหยงเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นหลังจากยุ่งจนหัวหมุนจนดึกดื่นค่อนคืน
นางกลอกตามองผู้เฒ่าเฮย “ท่านปู่เฮย พรุ่งนี้อย่าลืมจัดการล้างพิษภายในจวนด้วยล่ะ ในเมื่อจบเรื่องแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปนอนกันเถอะ ดึกป่านนี้แล้ว”
ผู้เฒ่าเฮยกัดฟันกรอดเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาทำท่าราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับนางเลยแม้แต่น้อย
“ยายตัวดี ข้าจะ…”
ไม่รอให้ผู้เฒ่าเฮยได้พูดจนจบ เฉียวเทียนช่างก็พาทุกคนเดินจากไปโดยไม่ไว้หน้าผู้เฒ่าเฮยเลยแม้แต่น้อย
ชายชราโกรธสองสามีภรรยามากเสียจนหนังตากระตุก เจ้าสองคนนั้นจะช่วยสนใจความรู้สึกผู้เฒ่าผู้แก่คนนี้บ้างได้ไหม
วันต่อมา หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ที่จวนจนเสร็จสิ้น เฉียวเทียนช่างจึงตรงเข้าวังหลวง เขารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เซียวชวี่เฟิงฟัง
“ดูเหมือนว่าพวกมันคงไม่สามารถออมมือได้อีกต่อไป” เซียวชวี่เฟิงหัวเราะเยาะ
“คงเป็นเช่นนั้น จะว่าไป ข้าว่าเราสามารถใช้โอกาสนี้ตรวจสอบดูได้ว่ามีคนคิดไม่ซื่ออยู่ภายในราชสำนักกี่คนกันแน่” พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้กวาดล้างคนพวกนั้นได้ นี่เป็นโอกาสอันดี
เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มีบางคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
บทที่ 448 ยังมีหนิงเมิ่งเหยาอยู่ทั้งคน
ดูเหมือนว่าเขาจะใจดีมานานเกินไป จึงทำให้คนพวกน้ันหลงลืมไปว่าเขาเป็นผู้ใด นี่เป็นโอกาสดีที่จะเตือนสติพวกเขาโดยไม่ต้องใช้เงินมาช่วย
“คนพร้อมหรือยัง” เฉียวเทียนช่างมองเซียวชวี่เฟิง
“พร้อมแล้ว มีบางคนที่ข้าอยากจะหาคนมาแทนที่อยู่นานแล้ว” มีคนจำนวนมากในราชสำนักที่หาประโยชน์จากความมากประสบการณ์ของตน การเปลี่ยนแปลงเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นได้ แต่พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้จัดการคนๆ นั้นได้ในทันที
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้หลิงอ๋องกับพรรคพวกทำตัวเหิมเกริมต่อไป” เฉียวเทียนช่างเอ่ย
เซียวชวี่เฟิงรู้สึกขบขันขณะมองเฉียวเทียนช่าง “ข้าล่ะอยากเห็นสีหน้าของหลิงอ๋องจริงเชียว เจ้าว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนที่รู้ว่าราชโองการลับอันนั้นเป็นของปลอม”
เฉียวเทียนช่างยิ้มออกมาเช่นกัน ทำหน้าแบบไหนน่ะหรือ เขารู้สึกว่ามันจะต้องน่าขันมาก
สามวันต่อมา มีการเสนอญัตติเร่งด่วนขึ้นมาหารือระหว่างการประชุมราชสำนัก ญัตติที่ว่าคือเรื่องที่เมืองหลิงยกทัพมาอยู่บริเวณชายแดน
“พวกเจ้าคิดว่าเราควรทำสงครามหรือเจรจาสงบศึกดี”
“แน่นอนว่าต้องทำสงครามพ่ะย่ะค่ะ”
“คงจะดีกว่าหากเราเลือกเจรจาสงบศึกพ่ะย่ะค่ะ”
กลุ่มคนที่สนับสนุนให้ทำสงครามคือผู้นำทางการทหาร ในขณะที่อีกกลุ่มซึ่งสนับสนุนสันติวิธีนั้นคือเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือน
เฉียวเทียนช่างเหยียดยิ้มขณะมองคนที่กำลังเรียกร้องหาสันติอยู่ บนใบหน้าของเขามีความโกรธปรากฏขึ้น “พวกมันมาอยู่หน้าประตูบ้านเราแล้ว แต่พวกท่านกลับคิดที่จะเจรจาขอสงบศึกกันจริงๆ น่ะหรือ”
“จริงด้วย จะปล่อยให้การฝึกซ้อมอันยาวนานของพวกเราต้องสูญเปล่าหรือ” หลังเฉียวเทียนช่างเปิดประเด็น ผู้นำทางการทหารคนอื่นๆ จึงพูดเสริมขึ้นทีละคนสองคน พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนเอาเสียเลย
เสนาบดีฝ่ายขวาเว่ยมองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นในทันทีว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่าหากพวกเราเลือกที่จะต่อสู้ คงจะเป็นการสูญเสียทั้งไพร่พลและเสบียงไปโดยเปล่าประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ ไม่เพียงแค่นั้น ตอนที่เมืองเซียวของเราพ่ายศึกไปเมื่อสองสามปีก่อน เราก็สูญเสียไปมิใช่น้อยเลย กระหม่อมเกรงว่า…”
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเว่ยนั้นต้องการบอกอะไร
เซียวชวี่เฟิงไม่สนใจเสนาบดีฝ่ายขวาเว่ย เขาหันไปมองเฉินเฟิง
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายมีความคิดเช่นใด”
เฉินเฟิงเดินออกมา “กระหม่อมรู้สึกว่าพวกเราสู้รบได้พ่ะย่ะค่ะ แม้เราจะขอเจรจาสงบศึก แต่คงไม่อาจทำให้อีกฝ่ายพอใจได้เป็นแน่ มีแต่จะทำให้พวกมันยิ่งได้ใจไปกันใหญ่ ในขณะเดียวกัน เมืองอื่นๆ ก็คงจะมองเมืองเซียวของพวกเราด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเห็นด้วย” กลุ่มคนที่ภักดีต่อฮ่องเต้ก้าวออกมาและเห็นด้วยกับการทำสงคราม
“หากเราจะสู้ เจ้าคิดว่าผู้ใดเหมาะที่สุด”
“ข้าขออาสานำทัพเองพ่ะย่ะค่ะ” เป็นแม่ทัพที่สนิทกับเฉียวเทียนช่างเสนอตัวขึ้นมา เขารู้ดีว่าฮูหยินของเฉียวเทียนช่างกำลังตั้งครรภ์อยู่ และนั่นเป็นสาเหตุที่ตนรีบกล่าวขึ้นเป็นคนแรก
แน่นอนว่าเฉียวเทียนช่างต้องเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ เขารีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ข้าจะส่งเหลยอันกับหลินจือโยวให้ติดตามท่านไปด้วย”
“ดีเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้น แม่ทัพหลิว จงรับราชโองการ ข้าขอมอบหมายให้เจ้าเป็นจอมพล หลินจือโยวเป็นที่ปรึกษากองทัพ ส่วนเหลยอันเป็นแม่ทัพคุมทัพหน้า เราจะเคลื่อนกำลังพลกันวันนี้ทันที”
“กระหม่อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เสนาบดีฝ่ายขวาเว่ยและขุนนางฝ่ายพลเรือนต้องตกที่นั่งลำบากภายในราชสำนัก พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับความคิดเห็นของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
คืนนั้น เฉียวเทียนช่างเรียกตัวหลินจือโยวกับเหลยอันเข้ามาเพื่อกำชับให้ทั้งสองให้ความร่วมมือกับแม่ทัพหลิวให้ดี
“นายท่านอย่าห่วงไปเลยขอรับ พวกข้าเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับตาแก่หลิวมาก่อน ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” เหลยอันตบหน้าอกตัวเองเป็นการรับประกันกับเขา
เฉียวเทียนช่างโล่งใจ เขาพยักหน้า “ครั้งนี้ข้ากับฉีเทียนจะเป็นผู้ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในกองทัพ เจ้าไม่ต้องห่วงอะไรแล้วไปสู้ให้เต็มที่เถอะ หากเงินเราไม่พอ เรายังมีพี่สะใภ้ของเจ้าอยู่”
“ได้ยินนายท่านบอกเช่นนี้พวกข้าก็โล่งใจขอรับ”
การส่งทหารเข้าไปจัดการกับศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุดในภาวะสงคราม แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมีเสบียงไม่เพียงพอต่างหาก ครั้งนี้คนที่รับผิดชอบเรื่องเงินคือเฉียวเทียนช่างกับเซียวฉีเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย แล้วตอนนี้พวกเขายังมีพี่สะใภ้ผู้ร่ำรวยอยู่ทั้งคน ไม่มีปัญหาอะไรแน่
วันถัดมา หลินจือโยว เหลยอัน และแม่ทัพหลิวนำกำลังพลสามแสนนายมุ่งตรงสู่ชายแดน เซียวชวี่เฟิงยืนส่งพวกเขาอยู่บนกำแพงเมืองหลวง
ดวงตาของหลิงอ๋องเต็มไปด้วยความเย็นชาเมื่อเห็นทหารเหล่านั้นเคลื่อนพลออกไป แม้เฉียวเทียนช่างจะไม่ได้ไปด้วย แต่ก็คงไม่มีผลกระทบอะไรกับแผนการของเขา
หลิงหลัวมองหลิงอ๋อง “ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลขอรับ” ตอนที่หลิงอ๋องสั่งการให้เขาทำอะไรบางอย่าง หลิงหลัวขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนเอ่ยขึ้น
เขาประสาทสัมผัสไวต่อวิกฤติที่กำลังจะมาถึง เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก และกำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้นอีก
“อะไรจะเกิดขึ้นได้ กองกำลังเกือบทั้งหมดของเซียวชวี่เฟิงอยู่ในสนามรบกันหมด เมื่อเทียบกับทางฝั่งของเราแล้ว เขาไม่มีทั้งเวลาและกำลัง” แม้เซียวฉีเทียนจะทำธุรกิจเพื่อหาเงิน แต่มันก็ยังไม่พอจะใช้เติมเต็มท้องพระคลังได้ เมื่อใดที่เกิดปัญหาเรื่องงบประมาณทางการทหารขึ้น เมื่อนั้นสงครามครั้งนี้คงถึงจุดสิ้นสุดเป็นแน่
หลิงหลัวมองบิดาของตน “ท่านพ่อ ท่านคงลืมไปว่าพวกเขายังมีหนิงเมิ่งเหยาอยู่ทั้งคน”