บทที่ 451 ตายไปด้วยกัน
ในเวลาเช่นนี้ หนิงเมิ่งเหยาไม่สามารถพูดถึงเรื่องความยุติธรรมหรือการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้ แม้ชิงเซวียนจะเป็นเพียงข้ารับใช้ แต่นางกับเขาก็เป็นสหายที่ดีต่อกัน แน่นอนว่านางไม่อาจอยู่เฉยและยืนดูชิงเซวียนเจ็บตัวได้
คนที่อยู่รอบๆ นึกอยากจะเข้าไปช่วยอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะไม่สามารถผละจากข้างกายของหนิงเมิ่งเหยาไปได้ พวกตนจึงหาโอกาสลงมือไม่ได้เสียที ความปลอดภัยของหนิงเมิ่งเหยาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พวกเขาจึงไม่อาจทำอะไรได้
หลังจากหนิงเมิ่งเหยาออกคำสั่ง หนึ่งในข้ารับใช้จึงหาโอกาสเข้าไปสมทบกับชิงเซวียนได้ นางโจมตีหลิงหลัวจากทางด้านหลัง หลิงหลัวไม่ทันสังเกต จึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ
ตอนที่หลิงหลัวกระอักเลือดออกมา หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้รู้สึกผิดหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย
อาการเฉยเมยเช่นนั้นทำให้ความอบอุ่นที่เหลืออยู่น้อยนิดในใจของหลิงหลัวแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งอันเย็นเฉียบ
“เหยาเอ๋อร์ เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว เช่นนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป” ก่อนนี้หลิงหลัวห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายหนิงเมิ่งเหยา อย่างไรเสียเขาก็ยังหวังให้หนิงเมิ่งเหยาปลอดภัย
ทว่าบัดนี้หนิงเมิ่งเหยากลับส่งคนของนางมาทำร้ายเขาแทน มันเป็นการพิสูจน์อะไรน่ะหรือ มันพิสูจน์ว่านางไม่มีความรู้สึกอันใดให้กับเขาเลย
หนิงเมิ่งเหยามองหลิงหลัวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่นางเยาะเขาอยู่ในใจ เขารอคอยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางตั้งแต่เมื่อใดกัน สิ่งที่เขาแสดงออกมาในขณะนี้นั้น กิดจากความไม่พอใจต่างหาก สงสัยว่าทำไมเขาจึงดีไม่เท่าเฉียวเทียนช่าง เขามีอะไรที่ด้อยกว่าเฉียวเทียนช่างบ้าง สิ่งที่เขาทำไม่ได้นั้นทำไมเฉียวเทียนช่างกลับสามารถทำได้กัน
มีหลายสิ่งที่หลิงหลัวตั้งใจจะพูด แต่ต้องหยุดความคิดนั้นเอาไว้หลังจากเห็นท่าทางที่หนิงเมิ่งเหยาแสดงออกมา ดวงตาของหลิงหลัวพลันกลายเป็นสีแดง หนิงเมิ่งเหยารู้สึกกังวลเมื่อนางเห็นดวงตาอันแปลกประหลาดของเขา
“พี่สะใภ้ ระวังตัวขอรับ ในร่างของเขามีกู่พิษอยู่” หนานอวี่เห็นอาการของหลิงหลัว เขารู้ได้ทันทีว่าร่างของชายผู้นี้ถูกกู่พิษควบคุมโดยสมบูรณ์แล้ว “พี่สะใภ้ อยู่ให้ห่างจากหลิงหลัวขอรับ ตอนนี้เขาไม่ใช่คนปกติอีกต่อไปแล้วขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยาตัวแข็ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เขาเป็นมนุษย์กู่ขอรับ” ทั้งร่างของหลิงหลัวเต็มไปด้วยกู่พิษ เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
“พาพี่สะใภ้ออกไป” หนานอวี่กังวลว่าหลิงหลัวที่จู่ๆ ก็คลั่งขึ้นมาจะทำอันตรายต่อหนิงเมิ่งเหยา เขารีบสั่งให้คนอื่นๆ พาหนิงเมิ่งเหยาออกไป
ทว่าในขณะนั้น หลิงหลัวกลับเร่งฝีเท้าเข้าหาหนิงเมิ่งเหยาในทันที ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มชั่วร้าย “ตายซะ เราจะตายไปด้วยกัน”
หนานอวี่ไม่กล้าประมาทเมื่อเห็นหลิงหลัวมีท่าทีเช่นนั้น เขารีบอัญเชิญราชากู่ในร่างออกมา
ภายใต้การสะกดของราชากู่ สีแดงเข้มภายในดวงตาของหลิงหลัวจึงค่อยๆ จางลงไปทีละน้อย เขาดูหวาดกลัวเมื่อเห็นหนานอวี่ “เหตุใดในร่างของเจ้าจึงมีราชากู่อยู่ ไม่ใช่ว่าราชากู่หายสาบสูญไปหลายปีแล้วหรือ”
หนานอวี่มองหลิงหลัว “ดูเหมือนท่านจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเหมียวเจียง ซ่อนได้แนบเนียนจริงๆ”
หนิงเมิ่งเหยาก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหลัวจะมีความเกี่ยวข้องกับเหมียวเจียงได้ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในทันที “หลิงหลัว เหตุใดเจ้าจึงเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น”
หลิงหลัวมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาถากถาง “แล้วมันยังไงหรือ” เขาทำเรื่องเช่นนั้นลงไปเพื่อแลกกับอำนาจและฐานะ ทว่าในตอนนี้เขากลับสูญเสียพวกมันไปหมดแล้ว ทุกอย่างมันถูกทำลายลงด้วยมือของผู้หญิงที่เขาเคยรักสุดหัวใจ
“เหยาเอ๋อร์ ตายไปพร้อมกับข้าเถอะ” หลิงหลัวพลันเอ่ยเช่นนั้นออกมา ร่างของเขาพุ่งทะยานเข้าหาหนิงเมิ่งเหยาราวกับกระสุนปืนใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะตายไปพร้อมกับหนิงเมิ่งเหยา
วินาทีที่หลิงหลัวเริ่มโจมตีนั้น ด้านหนานอวี่ก็เตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว เมื่อหลิงหลัวเข้ามาใกล้ เขาก็กระโดดออกมาด้านหน้าและเตะสะกัดหลิงหลัวจนตัวปลิว แต่บนใบหน้าของหลิงหลัวกลับยังมีรอยยิ้มอยู่ได้
หนานอวี่หันกลับไปทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาเห็นคนผู้หนึ่งกำลังพยายามจู่โจมหนิงเมิ่งเหยาจากด้านหลัง “พี่สะใภ้ ระวังขอรับ”
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินเขา นางจึงหันไปมอง นางเห็นชายผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหาตนพร้อมดาบเล่มยาว ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายนางกำลังจะโจมตีกลับ แต่ถูกนางหยุดเอาไว้ก่อน
ตอนที่ดาบกำลังจะแทงเข้าที่หน้าอกของนาง หนิงเมิ่งเหยาพลันใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของตนสกัดปลายดาบไว้เสียก่อน อีกฝ่ายเพิ่งรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ และนึกอยากจะถอนดาบกลับไป แต่มันสายไปเสียแล้ว
หนิงเมิ่งเหยามองชายในชุดดำผู้นั้น “จริงๆ แล้วข้าไม่ใช่คนใจดีหรอกนะ”
บทที่ 452 ข้าเสียใจที่ทำลงไป
หลังจากนั้น หนิงเมิ่งเหยาพลิกฝ่ามือ ดาบยาวในมือพลันเปลี่ยนมาอยู่ในมือของนาง และด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ชายผู้นั้นก็กระเด็นไปกองที่พื้นอย่างแรง
หลิงหลัวที่ตอนแรกคิดว่าตนทำสำเร็จพลันต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นดังนั้น
เขารู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยามีฝีมือ แต่ไม่มีทางที่นางจะทำเช่นนั้นได้ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนสอนวรยุทธ์ให้นางเองกับมือ
“เจ้า… เป็นไปได้อย่างไร”
“แปลกใจหรือ ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน แต่ข้าก็มีพลังเช่นนี้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่จะเจอกับเจ้า” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
นางบังเอิญได้พบกับหลิงหลัวหลังจากที่มายังโลกนี้ได้เกือบสองปีแล้ว ในปีแรก นางได้พบกับอวี้เฟิงและเหมยรั่วหลิน จากนั้นทั้งสองจึงสอนวรยุทธ์ให้เพราะเอ็นดูนาง แต่นางไม่สามารถควบคุมปราณของตัวเองได้ จึงตัดสินใจที่จะปิดผนึกพลังปราณของตนเอาไว้
หลิงหลัวมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่เชื่อสายตา ตอนที่เขาปิดบังหลายสิ่งไว้ไม่ให้นางรู้นั้น เขารู้สึกผิดต่อหนิงเมิ่งเหยาอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีหญิงอื่นตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางกำลังไปได้ด้วยดี
หลิงหลัวนั้นต่างจากนาง ตอนที่เขามายังโลกนี้ เขาอายุเพียงแค่ไม่กี่ขวบ แต่ตอนที่เขาได้พบกับนางนั้น เขาอายุได้สิบสี่ปีแล้ว มิหนำซ้ำมารดาของเขาก็ตระเตรียมหญิงสาวไว้ให้เขาก่อนที่เขาจะทันได้พบกับนางเสียอีก พอเขารู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาคงจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่กับตน เขาก็ทำตามทำเภอใจ
ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะได้พบกับหนิงเมิ่งเหยาที่เพิ่งมายังโลกนี้ได้เพียงปีกว่า ในตอนนั้น เขารู้สึกว่าตนทำผิดต่อหนิงเมิ่งเหยาจริงๆเขาจึงพยายามทำดีเพื่อชดเชยให้นางจนกระทั่งเซียวจื่อเซวียนเข้ามา เขารู้ว่าเขาไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป จึงบอกกับนางไปเช่นนั้น
ตอนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ และเพราะมีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัว เขาจึงเปลี่ยนความเชื่อของตัวเองและกลายเป็นคนในยุคโบราณ ซ้ำยังคิดว่าหนิงเมิ่งเหยาก็คงเหมือนกัน และสามารถยอมรับชายที่มีสามภรรยาสี่อนุได้
ใครจะรู้ว่านางยังคงเหมือนเดิม ทั้งสง่างามและเย่อหยิ่ง พวกเขาทั้งสองจึงต้องแยกทางกัน
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง นางก็ไม่ได้เป็นของของเขาอีกต่อไปแล้ว นั่นไม่ใช่ข้อพิสูจน์ของคำกล่าวที่ว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนโลกนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา
“ข้านึกว่าตัวเองเป็นคนที่ปิดบังความลับจากเจ้าเอาไว้มากมาย แต่ใครจะรู้ว่าคนที่มีความลับมากที่สุดนั้นเป็นเจ้าต่างหาก” หลิงหลัวหัวเราะเยาะตัวเอง
เขาในตอนนั้นไม่เคยคิดเลยว่าหนิงเมิ่งเหยาจะมีอำนาจอันแข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่เบื้องหลัง ก่อนนั้นเขาเคยส่งคนไปสืบเรื่องของหนิงเมิ่งเหยา แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา ส่วนเรื่องของทงเป่าไจที่ค่อยๆ มีอำนาจขึ้นมานั้น เพราะเขาเห็นว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับสำนักอวี้หลินซึ่งมีอัจฉริยะทางด้านการค้าขายอยู่มากมาย เขาจึงไม่เคยสงสัยหนิงเมิ่งเหยาเลยสักครั้ง
ใครจะรู้ว่าคนที่ใสซื่อที่สุดจะเป็นคนที่มีความลับมากที่สุด
“ทุกสิ่งที่ข้าทำ ตอนแรกนั้นข้าทำเพื่อให้สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับเจ้าได้ ข้าอยากจะบอกเจ้าเช่นนั้นในงานแต่งของเรา แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะผลีผลามเช่นนั้น” หนิงเมิ่งเหยาเยาะตัวเองให้กับสิ่งที่นางทำในอดีต นางรู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่คุ้มค่ากับความพยายามเอาเสียเลย
หลิงหลัวมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน สีหน้าของเขาแข็งค้าง เมื่อครู่นางว่าอะไรนะ นางสร้างทงเป่าไจขึ้นมาเพื่อเขาหรือ
ฮ่าฮ่า จริงดังว่า ความเป็นจริงนั้นเลวร้ายที่สุด
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนข้าจะคิดผิดมาตลอด แต่เหยาเอ๋อร์ ข้าเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปจริงๆ” เมื่อมองใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยาที่เปลี่ยนไป หลิงหลัวพลันรู้สึกเสียใจที่ตนยอมแพ้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเพียงเพราะต้องการอำนาจมาไว้ในมือ
หนิงเมิ่งเหยามองหลิงหลัวอย่างใจเย็น “ตอนนี้มันสายไปแล้ว”
หลิงหลัวเหยียดรอยยิ้มหยันขณะนอนอยู่บนพื้นโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
แน่ล่ะ เป็นอย่างที่เหยาเอ๋อร์ว่า มันสายเกินกว่าจะนึกเสียใจแล้ว เขาทำทุกอย่างนี้ลงไปเองกับมือ คงไม่สามารถโทษใครได้
หลิงหลัวบาดเจ็บรุนแรงจากลูกเตะของหนานอวี่ เมื่อหมดสิ้นความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ อาการของเขาจึงไม่สู้ดีเท่าใดนัก ความรู้สึกของหนิงเมิ่งเหยาพันกันยุ่งเหยิงเมื่อเห็นหลิงหลัวในสภาพเช่นนั้น เหตุใดนางกับเขาจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
อะไรกันที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตอนนี้นางไม่นึกอยากจะหาคำตอบ ไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยคำถามนั้นออกมา ความสนใจของนางในตอนนี้จดจ่ออยู่กับสามีและลูกเท่านั้น
นางถอนหายใจ “เก็บกวาดที่นี่เสีย ส่วนหลิงหลัว ส่งตัวเขาให้กับพวกเซียวชวี่เฟิง”
การกบฏของหลิงหลัวถูกลิขิตไว้ให้จบลงด้วยความล้มเหลว