บทที่ 471 ขับไล่นางออกไป
ในตอนนี้ นางหลัวตื่นตระหนกอย่างยิ่งและไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด พวกเขาจึงขับไล่นางออกจากหมู่บ้านเช่นนี้
จากการกระทำในครั้งนี้ รวมถึงเรื่องอื้อฉาวที่นางก่อจนต้องเข้าคุกในตอนนั้น ทำให้คนในตระกูลต่างตีตัวออกห่างจากนาง หากตอนนี้ นางถูกขับไล่ไสส่งออกไป ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็รู้สึกเสียใจอย่างมากที่ก่อปัญหาในวันนี้ จนทำให้เรื่องราวลงเอยเช่นนี้ หากนางไม่มาสร้างปัญหา อย่างน้อยๆ ตอนนี้นางก็ยังมีที่พักอาศัยให้หลับนอน
ตอนนี้ไม่เพียงแต่เหตุการณ์จะบานปลาย แต่นางยังสูญเสียบ้านไปอีกด้วย
นางหลัวรู้สึกหวาดกลัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ “ข้ารู้ว่าเป็นความผิดของข้าเอง พวกเจ้า…ได้โปรดอย่าไล่ข้าออกไปเลย ในอนาคตข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าขอร้องพวกเจ้าทุกคน”
หลังจากชาวบ้านบางคนได้ยินคำวิงวอนจากนางหลัว ก็ไม่อาจทนรับฟังได้ ครั้งนี้ นางทำเกินไป
หากไม่มีเฉียวเทียนช่างอยู่ข้างๆ ในตอนที่นางหลัวกำลังจะผลักหนิงเมิ่งเหยา ก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน และตอนนั้น ชายหนุ่มผู้รักภรรยาของตนอย่างสุดซึ้งคงจะต้องบ้าคลั่งอย่างยิ่ง
หากนางหลัวเป็นผู้โชคร้ายเพียงคนเดียวก็คงจะไม่เป็นไร แต่เหล่าชาวบ้านต่างเกรงว่าเฉียวเทียนช่างจะโกรธเคืองที่พวกเขาเป็นต้นเหตุพรากวันดีๆ ของทั้งสองคนไป
เหล่าผู้คนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาสงสารนางหลัว แต่ทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด เมื่อพูดถึงเรื่องของผลประโยชน์ของตัวเองแล้ว ก็ต้องหยุดเรื่องอื่นๆ เอาไว้ก่อนเพราะไม่มีเรื่องใดสำคัญเทียบเท่าได้
เมื่อทุกคนต่างเงียบงัน นางหลัวจึงรู้สึกกระวนกระวายใจในทันที และเข้าใจว่าชาวบ้านเหล่านี้ต่างพึ่งพาโรงงานของหนิงเมิ่งเหยาเพื่อหาเลี้ยงชีพ พวกเขาคงไม่อยากเป็นศัตรูกับหนิงเมิ่งเหยาและสามี เพราะเห็นแก่นางหลัวเป็นแน่
ในที่สุด หยางอี้ก็พูดขึ้น “พานางไปพบผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านและท่านพ่อของข้า จากนั้น พวกเราค่อยมาตกลงเรื่องนี้กันภายหลังเถอะ”
“ดีเหมือนกัน”
เฉียวเทียนช่างมองดูชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์โดยไม่พูดจาอะไร เขาเพียงมองดูนางหลัวที่ถูกนำตัวไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจตามไปดู เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาด้วย
หยางจู้รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายและคนอื่นๆ นำตัวนางหลัวเข้ามาหา “พวกเจ้าทุกคนมาทำอะไรกัน ทำไมจึงพาผู้หญิงคนนี้มาที่นี่”
“ท่านพ่อ เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังจากที่เมิ่งเหยามาถึงหมู่บ้าน ก็ถูกนางหลัวผลัก หากไม่มีเทียนช่างอยู่ใกล้ๆ ก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ เทียนช่างจึงหักแขนนางจนไม่อาจรักษาให้หายได้ จากนั้น นางจึงไปที่บ้านของเทียนช่าง และสร้างปัญหา พร้อมทั้งเรียกร้องให้เขาชดใช้ให้ตนเอง” หยางอี้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสั้นๆ
“นางหลัว เป็นเรื่องจริงหรือ”
นางหลัวตัวสั่นเทาและไม่สามารถเอ่ยตอบได้ หยางจู้มองท่าทีนั้น จึงรู้ว่านางเป็นคนทำจริงๆ
“ทุกคนเห็นว่าต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร” หยางจู้ไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องในตระกูลของนางหลัว “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้ารู้ว่าข้าทำผิด แต่ได้โปรดอย่าขับไล่ข้าออกจากหมู่บ้านเลย” นางหลัวรีบเอ่ยอ้อนวอน “มือของข้าไม่สามารถใช้การได้อีก ก็น่าจะเป็นบทลงโทษที่สาสมแล้ว อย่าขับไล่ข้าออกไปเลย”
ตอนนี้ นางหลัวรู้สึกเสียขวัญอย่างยิ่งและไม่อาจหนีออกจากที่แห่งนี้ได้ ในเมื่อแขนข้างหนึ่งของตนก็หักอยู่เช่นนี้ แล้วจะหนีไปที่ใดได้เล่า
หยางจู้ขมวดคิ้วขณะมองนางหลัว ก่อนจะหันมองเฉียวเทียนช่างที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ก็ได้ แต่นางต้องอยู่ให้ห่างจากเหยาเหยาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุขุม
เขาไม่สนใจว่านางหลัวจะโดนขับไสไล่ส่งออกนอกหมู่บ้านหรือไม่ นอกจากนี้ ยังถือว่านี่เป็นการทำสิ่งดีๆ เพื่อลูกของตนเองเท่านั้น
เมื่อนางหลัวได้ยินดังนั้น จึงโค้งคำนับขอบคุณชายหนุ่มไม่หยุดหย่อน “ขอบคุณ ขอบคุณมาก”
หยางจู้มองนางหลัว ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา “นางหลัว วันนี้เทียนช่างไม่เอาความ แต่เจ้าต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าหากยังทำตัวเป็นอันตรายต่อหมู่บ้านแห่งนี้อีก ก็อย่ามาโทษว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
นางหลัวยิ้มอย่างขมขื่น แต่ยังคงพยักหน้ารับคำ “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
หยางจู้ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ “ดีมาก ทุกคนกลับเถอะ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว”
เหล่าชาวบ้านต่างแยกย้ายกันกลับ เหลือเพียงเฉียวเทียนช่างและตระกูลของหยางจู้ ชายหนุ่มก้มศีรษะมองนางหลัว “ทำตัวให้ดีก็แล้วกัน”
บทที่ 472 คนที่น่าสงสาร
เมื่อเฉียวเทียนช่างเดินผ่านไป นางหลัวคิดว่าตนเองต้องไม่รอดแน่ ใครจะคิดว่าเขาแค่พูดเพียงไม่กี่คำก่อนเดินจากไป
นางหลัวใช้แขนอีกข้างพยุงตัวขึ้น ก่อนเดินโซเซกลับบ้าน
หลังจากหยางจู้เห็นอาการของนางหลัว จึงส่ายศีรษะเบาๆ “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้อีกแล้ว”
หยางอี้ผงกศีรษะ “นั่นสิ”
นางสามารถมีชีวิตที่สงบได้ แต่ก็ยังอยากจะสร้างปัญหาไปทั่วอยู่ดี นางเป็นคนหาเรื่องเองมิใช่หรือ
เมื่อนางหลัวกลับถึงบ้าน ก็สังเกตเห็นว่าสิ่งของมากมายหายไป นอกจากนี้ ยังมีใบหย่าวางไว้บนโต๊ะอีกด้วย
เมื่อเห็นเอกสารแผ่นนั้น น้ำตาของนางจึงไหลริน ‘ทำไมมันถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ ลูกสาวของนางเสียชีวิตไปแล้ว และตอนนี้ สามีก็ยังจะทิ้งนางไปอีกหรือ’
นางโศกเศร้าเสียใจโดยไม่อาจทำอะไรได้ จากนั้นนางจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง และหยิบถ้วยดินเผาที่ตนเองซ่อนเอาไว้ ภายในนั้น มีเงินไม่กี่ตำลึงเงินที่นางสะสมเอาไว้หลายปี โดยที่สามีไม่เคยรู้เลย
นอกจากนี้ นางยังมีโฉนดบ้านและที่ดินอยู่ในมืออีกด้วย
นางหลัวหัวเราะเยาะขณะมองดูกระดาษทั้งสองแผ่น ‘เขาไม่ต้องการบ้านและที่ดินแล้วหรืออย่างไร’
ถ้าเช่นนั้น นางก็จะไม่ใจดีอีกแล้ว
นางหลัวหยิบโฉนดบ้านและที่ดินไปยังบ้านของหยางจู้เพื่อเปลี่ยนมาเป็นชื่อของตน
ในตอนแรก หยางจู้ไม่อยากทำให้ แต่หลังจากเห็นใบหย่า เขาก็เงียบและจัดการธุระให้กับนางหลัว
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปลูบหน้าท้องของหนิงเมิ่งเหยา ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน “อย่าคิดมากเลย เจ้าต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองด้วย”
“ข้ารู้ แต่นางก็เป็นคนที่น่าสงสารนัก” แม้ว่าหญิงสาวจะพูดเช่นนั้น แต่นางก็ยังไม่อยากให้ชิงซวงไปรักษาแขนของนางหลัวแต่อย่างใด
เฉียวเทียนช่างยื่นมือไปลูบไล้ศีรษะของภรรยา
“คนที่น่าสงสารทุกคน ย่อมมีด้านที่น่ารังเกียจ”
หนิงเมิ่งเหยาตัวแข็งเกร็งก่อนเผยรอยยิ้ม จริงตามคำที่เฉียวเทียนช่างเอ่ย ‘คนน่าสงสารทุกคน มีด้านที่น่ารังเกียจเสมอ นางหลัวทำตัวเองทั้งสิ้น’
พวกเขาทั้งสองคนเข้าใจกันโดยปริยาย และไม่สนทนาเรื่องนี้กันต่อ จากนั้นจึงพูดคุยเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจในหมู่บ้านแทน
ในวันนั้น คนของเซียวฉีเทียนมาหา และบอกว่าต้องการตัวเด็กๆ ไปช่วย
ในตอนนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็นึกขึ้นได้ว่าร้านกำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ นางจึงส่งคนไปรับหยางจื้อและคนอื่นๆ มา
“ข้าอยากให้ทุกคนช่วยพี่เมิ่งเหยาแนะนำวิธีการเล่นของเล่นให้คนอื่นๆ เข้าใจ พวกเจ้าอยากจะช่วยหรือไม่”
“ข้าเต็มใจช่วย” หยางจื้อเสนอตัวเป็นคนแรก ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ ยังไม่ขานรับ จากนั้นหลินเอ๋อร์และเด็กคนอื่นๆ จึงเข้าร่วมด้วย
หนิงเมิ่งเหยาคาดหวังกับคำตอบรับจากพวกเขา และเมื่อเห็นว่าเด็กๆ เหล่านี้ไม่ทำให้ผิดหวัง นางจึงรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
หญิงสาวเอื้อมมือไปลูบศีรษะของพวกเขา “ดีมาก เมื่อกลับถึงบ้าน ก็ไปบอกให้พ่อแม่ของพวกเจ้ารู้ว่าทุกคนจะออกเดินทางในวันมะรืนนี้”
“ตกลง”
พ่อแม่ของพวกเขาเคยบอกแล้วว่ายินดีจะให้ลูกๆ ไปที่นั่น ไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากหนิงเมิ่งเหยาช่วยเหลือชาวบ้านไว้มากมาย ดังนั้นมันคงจะดีหากพวกเขาสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
เมื่อเด็กๆ กลับถึงบ้านและบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ ครอบครัวของพวกเขาก็มิได้คัดค้านอะไร และเริ่มจัดกระเป๋าเสื้อผ้าและสิ่งของจำเป็นให้กับลูกๆ ของตน
สามวันต่อมา บางตระกูลเลื่อนเวลาทำงานเพื่อมาส่งลูกๆ ตรงประตูทางเข้าออกของหมู่บ้าน
พวกเขาต่างโล่งใจเมื่อเห็นว่ามีรถม้าสามคันมารับเด็กๆ ไป
เซียวฉีเทียนเดินออกมาจากรถม้าคันแรก และเดินไปหาผู้สูงอายุของหลายๆ ตระกูล “ทุกคนไม่ต้องกังวล ลูกๆ ของพวกเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดี”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าชาวบ้านพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เซียวฉีเทียนผงกศีรษะให้หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่าง หลังจากเด็กๆ ขึ้นมาครบแล้ว เขาจึงกลับเข้าไปในรถม้าอีกครั้ง
หนิงเมิ่งเหยาเห็นว่าเหล่าผู้ปกครองต่างดูเป็นกังวล นางจึงอดยิ้มไม่ได้ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไม่เกินหนึ่งเดือนหลังจากนี้ พวกเขาก็จะกลับมาที่นี่”
“พวกเรารู้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกๆ ต้องเดินทางไกลเช่นนี้ พวกเราจึงอดเป็นห่วงไม่ได้”
“นั่นสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก เซียวฉีเทียนจะดูแลพวกเขาทุกคนเอง” หนิงเมิ่งเหยายิ้มก่อนอธิบายให้พวกเขาฟัง เพราะนางเชื่อมั่นในตัวเซียวฉีเทียนอย่างยิ่ง
เหล่าชาวบ้านครุ่นคิด หากมีคนดูแลลูกๆ แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลใจอะไรอีก พวกเขาจึงหมุนตัวและมุ่งหน้าไปยังโรงงานเพื่อทำงานกันต่อ
ระหว่างทางกลับบ้าน หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างเจอนางหลัวที่กำลังพยายามใช้กำลังทั้งหมดในการถือตะกร้าผักกลับบ้าน เมื่อนางเห็นคู่สามีภรรยา ก็ทำตัวไม่ถูก ก่อนจะรีบจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีใครกำลังไล่ตามหลังนางก็ไม่ปาน