บทที่ 487 เรื่องร้ายกลายเป็นดี
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นว่าลูกชายมีปฏิกิริยาเช่นนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กน้อยต้องปัสสาวะแน่ๆ
ชายหนุ่มอุ้มลูกมาวางลงบนเตียงขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะล้างน้ำ เช็ดตัว และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขา
เมื่อทารกน้อยสบายตัวขึ้น เขาจึงอ้าปากหาว ก่อนจะหลับใหลไปอีกครั้ง
ผู้เป็นพ่อห่อตัวให้ลูกน้อยด้วยผ้าสำลี และพูดขึ้น “เจ้าตัวเล็กเอาแต่กินกับนอนอย่างเดียวเลย”
“เขาเพิ่งจะอายุแค่นี้ ก็ต้องชอบนอนหลับเป็นธรรมดา” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
เฉียวเทียนช่างยิ้มก่อนส่ายศีรษะ “ข้าจะไปทำอาหาร และอีกสักพักจะกลับมา”
“ไปเถอะ”
อวี้เฟิงมีท่าทีเย็นชาขณะอุ้มเหมยรั่วหลินเข้ามาในห้อง ก่อนจะนำน้ำร้อนเข้ามาด้วย หลังจากนั้น เขาก็ถอดเสื้อผ้าของภรรยาออกโดยมิได้พูดจาใดๆ อวี้เฟิงใช้ผ้าเช็ดตัวให้นางอย่างระมัดระวัง และในเวลาไม่นาน อ่างใบนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดของหญิงสาว
เมื่อเห็นดังนั้น อวี้เฟิงก็รู้สึกโมโหจนต้องขบฟันกรอด
เหมยรั่วหลินก้มหน้าลงก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อวี้เฟิง อย่าโกรธเลย ข้า…”
“ทำไมเจ้าต้องเข้าไปในภูเขาลึกด้วย เจ้าก็รู้ว่าตัวเองจะหลงทางอยู่ในภูเขาลึกเช่นนั้น” อวี้เฟิงเอ่ยถามพลางเช็ดตัวให้นาง
“เจ้าออกไปตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำ และยังไม่กลับมา ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว” เหมยรั่วหลินเอ่ยอย่างแผ่วเบา ประโยคสุดท้ายนั้นฟังดูราวกับเสียงยุงบิน
มือของอวี้เฟิงหยุดชะงัก ก่อนจะหันมองภรรยา “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
“ใช่ หากข้าไม่เป็นห่วง ก็คงจะไม่เข้าไปในภูเขาลึกเพื่อตามหาเจ้าหรอก จริงๆ แล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึง ข้าคิดว่าทั้งชิงเซวียนและตัวข้าเองจะต้องตายแล้วแน่ๆ แต่ตอนนั้น จู่ๆ ข้าก็คิดถึงเจ้าขึ้นมา และรู้สึกว่าไม่อยากตาย เพราะข้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าตลอดไป” หญิงสาวมองหน้าสามีอย่างจริงจัง
อวี้เฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนยื่นมือไปลูบศีรษะภรรยา “ยายโง่ เป็นความผิดของข้าเอง หากข้าไม่จากไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนั้น เจ้าก็คงไม่ต้องเข้าไปที่นั่น”
เหมยรั่วหลินส่ายศีรษะ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เจ้าดูแลข้าดีมาก แต่ปัญหามันอยู่ที่ตัวข้าเอง เหยาเอ๋อร์พูดถูก เราแต่งงานกันมากว่าสิบปี เจ้าเป็นฝ่ายทำดีกับข้ามาตลอด โดยที่ข้าไม่เคยทำอะไรให้เจ้าเลย ข้ากลัวว่าวันหนึ่ง ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เหยาเอ๋อร์บอก หากเจ้าผิดหวังและเสียใจในตัวข้าจนทนไม่ไหว สุดท้าย เจ้าอาจเป็นฝ่ายหนีไปจากข้าก็ได้”
อวี้เฟิงมองเหมยรั่วหลิน “ข้าเคยคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ ข้ารอเจ้ามาตั้งหลายปี แล้วทำไมจะรออีกสักหน่อยไม่ได้เล่า”
ชายผู้นี้มิใช่คนเลวร้ายเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือฐานะ จะมีผู้หญิงคนไหนที่กล้าปฏิเสธเขาได้ แล้วทำไมเขาจึงต้องจมปลักอยู่กับหญิงสาวที่เย็นชาเช่นนี้ด้วย
“และข้าก็ฉุกคิดขึ้นได้อีกว่า หากข้าทิ้งเจ้าไป แล้วหญิงทึ่มอย่างเจ้าจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรกัน” จริงๆ แล้ว เหมยรั่วหลินไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่หลายปีที่ผ่านมา เขาคอยดูแลและตามใจนางมาตลอด นอกจากนี้ เขายังทำสิ่งต่างๆ มากมายด้วยตัวเองโดยที่นางไม่รู้อีกต่างหาก
เหมยรั่วหลินมองหน้าสามี “อย่าคิดจะทิ้งข้าเชียว ข้าจะตัวติดกับเจ้าตลอดไป”
อวี้เฟิงถอนหายใจและพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ตั้งแต่รู้จักกับเจ้ามา ข้าก็ไม่อาจตีตัวออกห่างจากเจ้าได้เลยสักครั้ง” เขาทนกับเรื่องนี้มากว่าสิบปีแล้ว แล้วจะทอดทิ้งนางง่ายๆ ได้อย่างไร
ทันใดนั้น ผู้เป็นภรรยาก็เอื้อมมือไปกอดคอของสามี ก่อนจะเอนกายแนบอกของเขา “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร แต่หากเจ้าอยากจะกระโดดเข้ามาในอ้อมกอดของข้า ก็ช่วยรอให้แผลหายดีก่อนเถอะ ตอนนี้เจ้าทำให้ข้าไม่สบายใจ นั่งลงดีๆ เสีย ข้ายังไม่ได้ทายาที่แผลของเจ้าเลย” อวี้เฟิงรีบผลักนางออกอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้หญิงสาวตรงหน้าสวมใส่เพียงชุดชั้นในเท่านั้น และนั่นก็กระตุ้นความต้องการของเขาจนแทบบ้า
อย่างไรก็ตาม อวี้เฟิงก็รู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ เพราะในที่สุดนางก็ตอบรับความรักของเขาแล้ว
“เจ้าอันธพาลเฒ่า”
อวี้เฟิงเลิกคิ้วมองใบหน้าแดงระเรื่อของเหมยรั่วหลิน
“รอให้เจ้าหายดีก่อนเถอะ แล้วข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าเป็นผู้เฒ่าจริงหรือไม่”
เหมยรั่วหลินเงียบไปทันที ในขณะที่ฝ่ายสามีกำลังรู้สึกสงสัยว่านางเป็นอะไร เหมยรั่วหลินก็เงยหน้ามองเขาและพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อวี้เฟิง เรามีลูกด้วยกันเถอะ”
มือของชายหนุ่มสั่นเทา จนเขาเผลอทำผ้าเช็ดหน้าตกลงในอ่างน้ำ
“เจ้า…พูดว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่า เรามามีลูกด้วยกันเถอะ”
“เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือเป็นเพราะข้า”
เหมยรั่วหลินเม้มริมฝีปากขณะมองสามี “หลังจากเห็นลูกของเหยาเอ๋อร์แล้ว ข้าก็รู้สึกได้ว่าการมีลูกนั้นมิใช่เรื่องที่น่ากลัวเลย ข้าจึงอยากมีลูกสักคนเหมือนกัน”
บทที่ 488 ล้มเลิกความคิด
ในอดีต เหมยรั่วหลินคิดว่าลูกเป็นเพียงภาระของพ่อแม่ที่ต้องรับผิดชอบ แต่หลังจากที่นางเห็นหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างแล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากที่มีลูกด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะยิ่งรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้นเพราะลูก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยเช่นกัน
อวี้เฟิงก้มศีรษะลงไปจุมพิตเหมยรั่วหลิน มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ “ตามแต่ใจเจ้าต้องการเถอะ” หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้ภรรยาของเขาเกิดความคิดดังกล่าวขึ้น เขาก็รู้สึกว่ามันช่างคุ้มค่าจริงๆ
“ข้ารักษาแผลให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปดูชิงเซวียน” หากไม่ใช่เพราะชิงเซวียน ยายบื้อที่นั่งอยู่บนเตียงตอนนี้ จะส่งสัญญาณให้พวกเขาเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไรกัน
เหมยรั่วหลินรีบผงกศีรษะอย่างเป็นกังวล “รีบไปเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวายใจของภรรยา อวี้เฟิงก็เขกหน้าผากของนางเบาๆ “ข้าจะคอยดูว่า คราวหน้าเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้อีกหรือไม่”
หญิงสาวลูบจมูกของตนก่อนจะส่งยิ้มให้อวี้เฟิงอย่างซื่อๆ
เขากุมหน้าผากของตนเองอย่างอ่อนแรง จริงๆ แล้วภรรยาคนนี้เก่งกว่าเขาหลายด้านนัก อย่างน้อยๆ ถ้าเป็นเรื่องของการทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู เขาไม่อาจจะเทียบชั้นกับนางได้เลย
เฉียวเทียนช่างเห็นว่าอวี้เฟิงเดินออกมาจากห้อง เขาจึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย “นางปลอดภัยดีหรือไม่”
“ไม่มีอะไรน่ากังวล” อวี้เฟิงส่ายศีรษะ “ชิงเซวียนเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าเพิ่งไปดูอาการของเขา ชิงซวงยังคงรักษาบาดแผลของเขาอยู่ แต่นางบอกว่าไม่มีอะไรน่ากังวล” เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายเช่นกัน
ชิงเซวียนอยู่ในห้อง โดยมีชิงซวงกำลังทำความสะอาดบาดแผลให้เขาอย่างขะมักเขม้น บาดแผลตรงฝ่าเท้าที่มีอาการร้ายแรงที่สุดนั้นได้รับการรักษาแล้ว ส่วนบาดแผลที่ยังไม่ได้การรักษามีเพียงตรงมือและหลังเท่านั้น
ชิงซวงปาดเหงื่อตรงหน้าผากของตนเอง ก่อนจะถอนหายใจ หากนายน้อยไม่ป้อนโอสถให้ชิงเซวียน ป่านนี้เขาคงไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไหว
ชิงซวงรักษาบาดแผลให้ชิงเซวียนเสร็จก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืน
นางเดินออกมาด้วยอาการเหนื่อยล้า ก่อนจะพบว่าอวี้เฟิงและคนอื่นๆ รวมถึงเหมยรั่วหลินที่ได้รับบาดเจ็บ ต่างรออยู่ตรงห้องโถง
เมื่อเห็นชิงซวง เหมยรั่วหลินรีบลุกขึ้นยืนและถาม “อาการของชิงเซวียนเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาต้องการการพักผ่อน อีกสักสองถึงสามเดือน เขาก็จะหายดีเจ้าค่ะ” ชิงซวงชี้แจงและยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน
“จะไม่มีอาการอื่นแทรกแซงใช่หรือไม่” อวี้เฟิงเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
เขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะสุดท้ายแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับชิงเซวียน พวกเขาก็คงต้องกล่าวโทษตัวเองเป็นแน่
ชิงซวงส่ายศีรษะ “เมื่อชิงเซวียนได้รับการดูแลจนสุขภาพดีแล้ว เขาจะไม่เป็นไรอย่างแน่นอน”
เหมยรั่วหลินและอวี้เฟิงได้ยินดังนั้น จึงรู้สึกโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดี”
หลังจากรับรู้ข่าวดี หนานกงเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างจึงพูดขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็กลับไปพักผ่อนเถอะ เทียนช่างด้วย เจ้าจะต้องไปดูแลลูกของเจ้าตอนกลางคืนด้วย”
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ “ท่านพ่อตา อย่าห่วงเลย ข้าเข้าใจดี”
หลังจากที่อยู่ในสภาวะตึงเครียดมาเป็นเวลานาน ชิงซวงจึงกลับไปยังห้องของตนเอง และรู้สึกราวกับว่าร่างกายจะแตกสลาย
เฉียวเทียนช่างกลับห้องอย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินมาดูลูกน้อยในเตียงขนาดเล็ก เขาโล่งใจเมื่อเห็นว่าทารกน้อยยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ภายใต้ผ้าห่ม
ชายหนุ่มเดินไปข้างเตียงและกำลังจะทิ้งตัวนอน ขณะนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็ลืมตาขึ้นอย่างร้อนรน “เทียนช่าง เป็นอย่างไรบ้าง”
“อย่ากังวลเลย ชิงเซวียนไม่เป็นอะไรแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” หญิงสาวเอ่ยถามเพียงคำถามเดียว ก่อนจะหลับตาลงและนอนต่อ
ชายหนุ่มมองภรรยาเงียบๆ ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
จากนั้นเขาจึงขึ้นมาบนเตียงและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
หลังจากผ่านมาสามวัน เหลยอันเพิ่งจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายขณะมองเฉียวเทียนช่าง “นายท่าน ในภูเขาลูกนั้นมีเสือด้วยหรือขอรับ”
ชายหนุ่มมองเหลยอัน ก่อนจะตอบอย่างเย็นชา “ล้มเลิกความคิดของเจ้าเสีย”
เหลยอันหดคอ ก่อนจะหัวเราะเสียงแหบแห้ง “นายท่าน ทำเป็นว่าข้ามิได้พูดอะไรเลยก็ได้ขอรับ”
เฉียวเทียนช่างหรี่ตามองเหลยอันที่กำลังหันมองไปรอบๆ ท่าทีของเขาแตกต่างจากที่ชายหนุ่มคิด “เหลยอัน ในภูเขาลึกแห่งนั้นมันซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด วันนั้นเราต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าฝูงใหญ่ แม้แต่ตอนที่ข้าอยู่ในภูเขาลึกลูกนั้น ข้ายังต้องระมัดระวังตัวอย่างมากทีเดียว”
เหลยอันดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดบางอย่าง แต่หลังจากได้ฟังคำพูดต่อไปของเฉียวเทียนช่าง เขาก็ดูสงบลงเล็กน้อย
“เจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว ถ้าหากได้รับบาดเจ็บในช่วงนี้ เจ้าไม่คิดถึงตระกูลของหยางเล่อเล่อเลยหรือ” เฉียวเทียนช่างมองหน้าอีกฝ่ายและเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
หากคำพูดของตัวเองใช้ไม่ได้ผล เขาก็ต้องอ้างถึงหยางเล่อเล่อ