บทที่ 49 อันธพาลทำร้าย
หนิงเมิ่งเหยามองประเมินอีกฝ่าย เขาน่าจะมีอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปี ความสูงไม่มากเท่าไหร่ แต่ช่างอัปลักษณ์ ใบหน้าที่ดูเหมือนเปลือกต้นส้มนั้นฉายรอยยิ้มแบบที่ทำให้เธอเห็นแล้วสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ภายใต้รอยยิ้มเช่นนี้หนิงเมิ่งเหยายิ่งรู้สึกขยะแขยง
“เจ้าอยากเป็นพี่ชายข้า?” หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วใส่อีกฝ่าย และถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับยิ้ม
หวังไล่จื่อนั้นเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านข้างๆ กับหมู่บ้านไป๋ซาน โดยปกติแล้วเขาเอาแต่ทำในสิ่งที่ไม่ดี และหญิงสาวภายในหมู่บ้านของเขานั้นก็ล้วนตกเป็นเหยื่อให้เขาลวนลามมาแล้วทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แล้วเมื่อพวกผู้หญิงเห็นเขา พวกนางจะรีบหนีไป ด้วยหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
หวังไล่จื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยา เขายิ้มอย่างหื่นกระหาย น้ำลายไหลย้อยในทันใดระหว่างจ้องโง่ๆ ไปที่นาง “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าอยากเป็นพี่ชายเจ้า อยากเป็นพี่ให้เจ้าเรียกว่าที่รัก”
เขาได้ยินมาว่าหญิงสาวผู้นี้นั้นร่ำรวยเป็นอย่างมาก ที่ดินการเกษตรผืนใหญ่เพิ่งถูกกว้านซื้อไปด้วยฝีมือของนาง หากเขามีความสัมพันธ์กับนางแล้วล่ะก็ คงไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังไล่จื่อจึงเดินลิ่วเข้าไปหาหนิงเมิ่งเหยา
ในสายตาของหวังไล่จื่อ หนิงเมิ่งเหยานั้นดูเป็นหญิงสาวอ่อนแอและบอบบาง นางคงไม่สามารถขัดขืนเขาได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อหวังไล่จื่อหวังจะเข้าไปสวมกอดนางนั้น ร่างของเขากลับถูกโยน และกระแทกเข้ากับพื้นข้างตัวอย่างรุนแรง
หนิงเมิ่งเหยาสาวเท้าเดินเข้าไปยืนข้างกายของหวังไล่จื่อ นางกอดอก กดสายตาลงมองหวังไล่จื่อจากเหนือหัว “อยากเป็นพี่ชายข้า? โดนแบบนี้แล้วยังอยากเป็นพี่ให้ข้าเรียกที่รักอีกงั้นหรือ? เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นพี่สุดที่รักของข้าเอง ข้าจะให้เจ้าตามข้ามาก็แล้วกัน”
นางเตะเข้าที่ร่างของหวังไล่จื่อพร้อมกับพูดเช่นนั้น
หนิงเมิ่งเหยานั้นเคยร่ำเรียนศิลปะป้องกันตัวมาก่อน ยังไม่ทันได้รวบรวมกำลังมากนัก นางก็รัวถีบเข้าที่ร่างนั้นอย่างไม่ยั้ง ทำให้ชายผู้นั้นร้องโอดโอยไม่หยุด สีหน้านั้นช่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก เขารู้ในวินาทีนั้นเองว่านางมิใช่ผู้อ่อนแอแต่อย่างใด นางคือกุหลาบซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลมคม
“ไอ้หยา อาเจ๊ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ” หลังจากถูกเตะเข้าอีกสองสามครั้ง หวังไล่จื่อก็ร้องขอความเมตตา
เขาไม่เคยเป็นคนใจกล้าอยู่แล้ว ดังนั้นการร้องขอชีวิตเช่นนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
เท้าของหนิงเมิ่งเหยาหยุดลง ก่อนจะย่อตัวลงมองคนที่กำลังพยายามปกป้องร่างของตนเองอยู่ นางพูดขึ้นอย่างเย็นชา “อยากให้ข้าปล่อยเจ้าไป? เช่นนั้นเจ้าต้องตอบข้ามาก่อนว่าใครใช้เจ้ามาสะกดรอยตามข้า”
นางไม่เคยเห็นชายผู้นี้ภายในหมู่บ้านเลยสักครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆ คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะวิ่งแจ้นมาที่หมู่บ้านไป๋ซานได้เช่นนี้? มิหนำซ้ำยังมาสะกดรอยตามนางอีก ขนาดใช้หัวแม่เท้าคิด ใคร ๆ ย่อมรู้ว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่
หวังไล่จื่อตัวแข็งค้าง เขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะเดาได้ถูกเผง
“ทำไมไม่พูดอะไรเลยเล่า? ถ้าหากเจ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร เรามาต่อกันก็ได้ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะอึดขนาดไหน” หนิงเมิ่งเหยาหยัดกายขึ้นและพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย ระหว่างที่พูดนั้นนางก็ยกเท้าขึ้นค้างไว้ ทำท่าเหมือนกับว่าเท้าข้างนั้นมันพร้อมจะกระทืบลงมาตอนไหนก็ได้
“ข้าตอบแล้ว ข้าตอบแล้ว” หวังไล่จื่อยกมือขึ้นป้องกันศีรษะของตน แล้วรีบตอบในทันที
“เช่นนั้นก็อย่านอกเรื่อง ความอดทนข้าไม่ได้มีมากนัก”
“ได้ๆ ข้าจะบอกแล้ว ตระกูลที่มีซิ่วไฉในหมู่บ้านของเจ้าบอกข้ามา มารดาของเขากล่าวว่าเจ้าร่ำรวยมิหนำซ้ำยังงดงามมากอีกด้วย” ขณะที่เขาตอบ เสียงของหวังไล่จื่อค่อยๆ แผ่วลง จนกระทั่งประโยคช่วงท้ายนั้นฟังไม่ได้ความไปในที่สุด
หนิงเมิ่งเหยามองหวังไล่จื่อ สายตาของนางเย็นชา “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นนางเฉิน?”
“ใช่ เป็นนางแน่นอน บุตรสาวของนางยังบอกให้ข้าทำให้ความบริสุทธิ์ของเจ้าแปดเปื้อนด้วย” หวังไล่จื่อเห็นสายตาของหนิงเมิ่งเหยายิ่งเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากก้มหน้าลงและกลืนน้ำลายลงคอ จากนี้ไปเขาคงไม่สามารถมาที่หมู่บ้านไป๋ซานได้อีกแล้ว เพราะคงมีอันตรายถึงแก่ชีวิตเป็นแน่
“ลุกขึ้น แล้วเดินกลับไป”
“เอ๋ ท่าน ท่านจะทำอะไร?”
“ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เพียงอยากให้เจ้าเป็นพยานเรื่องนางเฉินให้เท่านั้น ทำไมรึ? หรือเจ้าไม่กล้า?” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างเย็นชา สายตาจ้องมองที่หวังไล่จื่อพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ใช่การยิ้ม
คอของหวังไล่จื่อหดลงก่อนที่เขาจะส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่กล้า บุตรชายของนางเป็นถึงซิ่วไฉ ท่านก็รู้ว่านั่นหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องคุกเข่าต่อหน้าท่านเจ้าเมือง ข้า.. ข้าจะกล้าได้อย่างไร?”
“จะถูกข้าอัดจนนอนซมบนเตียงเป็นเดือนๆ หรือจะยอมทำตามข้าแต่โดยดี เจ้าเลือกเองก็แล้วกัน” หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้าลงเพื่อมองหวังไล่จื่อ และถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
หวังไล่จื่ออยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาระหว่างที่เขามองหนิงเมิ่งเหยา “อาเจ๊ ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ข้ารู้แล้วว่าข้าได้กระทำผิดไป ข้ามีตาแต่หาได้มองเห็นเขาไท่ซานไม่ ได้โปรดปล่อยข้าไปสักครั้งเถิด ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว”
หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่ใช้สายตาอันเย็นเฉียบนั้นจ้องไปที่หวังไล่จื่อ และสุดท้ายหวังไล่จื่อก็เลือกที่จะถูกหนิงเมิ่งเหยาอัดโดยไม่ยอมไปพบนางเฉิน
บทที่ 50 เถียงข้างๆ คูๆ
หนิงเมิ่งเหยามองหวังไล่จื่อผู้กำลังร้องขอความเมตตาอย่างไม่ลดละด้วยสายตาเบื่อหน่าย นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่นางต้องการ ครั้งนี้ หากนางไม่สามารถสอนบทเรียนให้กับนางเฉินได้ อย่างน้อยก็ต้องทำให้ชื่อเสียงของนางในหมู่บ้านไป๋ซานแย่ลงให้ได้
“ถ้าเจ้าช่วยข้าเป็นพยานให้ข้าเรื่องนางเฉิน ข้าจะให้เจ้ายี่สิบตำลึงเงิน” หนิงเมิ่งเหยากล่าวเบาๆ
เมื่อหวังไล่จื่อได้ยินว่ายี่สิบตำลึงเงิน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและเต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ เขาควรจะไปหรือไม่กัน?
สุดท้าย หวังไล่จื่อก็พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ตกลง ข้าจะไปกับท่าน”
หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตาจ้องมองหวังไล่จื่อ “ข้าแนะนำให้เจ้าทำเป็นเหยียบเรื่องนี้เอาไว้จะดีกว่า และหากข้ารู้ว่าเจ้าไม่ทำตามนั้น ข้าจะทำให้เจ้าตายแบบหาศพไม่เจอแน่ จะลองดูก็ได้ถ้าหากไม่เชื่อ”
ความหวาดกลัวปกคลุมทั่วทั้งดวงตาของหวังไล่จื่อ หญิงผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก เขารับรู้ได้ว่าสิ่งที่นางกล่าวออกมาทั้งหมดนั้นนางสามารถทำได้จริง และในวินาทีนั้นเองที่หวังไล่จื่อตระหนักได้ว่าคนที่เขามาหาเรื่องนั้นเป็นใคร
“ข้าทราบแล้ว ข้าจะไม่บอกผู้ใดทั้งสิ้น” หวังไล่จื่อพยักหน้าทันที
หนิงเมิ่งเหยาพยุงหวังไล่จื่อตรงไปยังหมู่บ้านไป๋ซานด้วยความพอใจ
หลังจากกลับมาถึงหมู่บ้าน หนิงเมิ่งเยาก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของนางเฉิน ผู้คนที่กำลังมองดูมีท่าทีสงสัยใคร่รู้ พวกเขาทำอะไรกันอยู่? เหตุใดเจ้าคนไม่เอาถ่านจากหมู่บ้านข้างๆ จึงเดินตรงไปยังบ้านหลังนั้นกัน?
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เดินตามไปทีละคน
หนิงเมิ่งเหยานำชาวบ้านไปยังบ้านของนางเฉิน บ้านของพวกเขาเพียงปิดไว้อย่างลวกๆ เท่านั้น
ใจจริงหนิงเมิ่งเหยาอยากจะถีบประตูเข้าไป แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น นางกลับได้ยินเสียงจากข้างในเสียก่อน
“ท่านแม่ ท่านว่าหวังไล่จื่อจะทำสำเร็จหรือไม่?” หยางชุ่ยมองมารดาของตนด้วยความกังวลใจ
“ผ่อนคลายเสีย เราทุกคนต่างรู้ว่าหวังไล่จื่อเป็นคนแบบไหน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่านางจะยังสามารถอยู่ในหมู่บ้านไป๋ซานและต่อต้านพวกเราต่อได้อย่างไร” นางเฉินหัวเราะอย่างเย็นชาขณะกล่าวเยาะเย้ย
นางอยากให้หญิงแพศยานั่นได้แต่งงานกับชายผู้อัปลักษณ์ที่สุด และรอดูว่ายายผู้หญิงคนนั้นยังจะสามารถต่อต้านนางได้อีกหรือไม่
ชาวบ้านซึ่งเดินตามหนิงเมิ่งเหยามาเห็นว่านางยืนอยู่ด้านนอกโดยไม่ได้ทำอะไร พวกเขาสงสัยและทำท่าจะเอ่ยปากถาม แต่ถูกหนิงเมิ่งเหยาหยุดเอาไว้
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ยินเรื่องที่น่าตกใจ
พวกนางว่าอะไรนะ? พวกนางจะให้หวังไล่จื่อย่ำยีหนิงเมิ่งเหยาจริงๆ งั้นหรือ? นางไปทำให้ทั้งสองโกรธแค้นปานใดจึงถึงขั้นต้องทำเรื่องชั่วช้าเพียงนี้?
ท้ายที่สุดชาวบ้านก็ไม่สามารถทนฟังต่อได้อีก หนิงเมิ่งเหยาใช้ขาถีบประตูบ้านของนางเฉิน
เมื่อแม่ลูกทั้งสองได้ยินเสียง พวกนางก็หันหน้ามา จึงพบเข้ากับหนิงเมิ่งเหยา และหวังไล่จื่อผู้ซึ่งใบหน้าบวมเป่ง อีกทั้งยังมีเลือดกำเดาไหลออกจากจมูกอยู่ หน้าของพวกนางถอดสี โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามีชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ด้านหลัง
นี่มัน…. ผู้เป็นแม่และผู้เป็นลูกสาวสบตากัน ชาวบ้านไม่น่าจะได้ยินในสิ่งที่พวกนางคุยกัน ใช่หรือไม่?
“หนิงเมิ่งเหยา นี่เจ้าทำอะไร? เจ้ากล้าบุกรุกเข้ามาในที่ส่วนบุคคลเชียวหรือ”
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะเย็นชา นางจ้องมองนางเฉินผู้ซึ่งยังคงทำตัวยโสโอหังได้แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนนางจะกล่าวเยาะขึ้น “บุกรุกที่ส่วนบุคคล? ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็อยากจะถามเหมือนกันว่า การจ้างวานคนมาย่ำยีความบริสุทธิ์ของผู้อื่นนั้นควรจะเรียกว่าเป็นความผิดใดกัน?”
หัวใจของนางเฉินกระตุกวูบ สายตาของนางกวาดมองไปทั่ว จนกระทั่งมาหยุดลงที่หนิงเมิ่งเหยาก่อนคำรามออกมา ”ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรอยู่?”
“นางเฉิน ท่านยังจะทำเป็นไขสืออีกหรือ? พวกเราข้างนอกได้ยินหมดแล้ว เราต่างได้ยินหยางชุ่ยพูดเรื่องแผนการเล่นงานผู้อื่นกันหมด ทั้งที่นางยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวแท้ๆ แต่กลับชั่วร้ายยิ่งนัก ผู้ใดจะกล้าแต่งงานกับนางในภายภาคหน้ากันเล่า?”
“ใช่แล้ว นางเฉิน จิตใจท่านเองก็แข็งกระด้างเช่นกัน มันทำมาจากเหล็กกล้าหรืออย่างไร?”
“จริงแท้ที่สุด! ที่พวกนางกล้าประพฤติตนเยี่ยงนี้ไม่ใช่เพราะว่าในตระกูลมีซิ่วไฉอยู่หรอกหรือ?”
คำพูดจาถากถางอันเย็นชาและคำพูดเหน็บแนมอันร้อนแรงทำให้พวกนางทั้งคู่อยู่ไม่สุข โดยเฉพาะนางเฉิน “ฮึ! สิ่งที่พวกเจ้าพูดกันอยู่นี้มันผิดกฏหมายมิใช่รึ? ข้าสามารถใช้ข้อหาปรักปรำมาฟ้องพวกเจ้าทุกคนต่อศาลได้เชียวนะ”
กระทั่งตอนนี้ นายหญิงเฉินนั้นยังทำตัวเหมือนคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง ก่อนกล่าวกับนางเฉินนิ่งๆ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอเชิญทุกคนไปที่ศาลกันเถิด เมื่อถึงตอนนั้นเราจะได้รู้กันว่าผู้ใดผิด และผู้ใดถูกกันแน่”
เมื่อหวังไล่จื่อได้ยินดังนั้น เขารีบคุกเข่าลงในทันใด “อาเจ๊ ข้ารู้ความผิดของตนดี เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางต้องการให้ข้าทำ นางมอบเงินให้ข้าและกล่าวว่า ตราบใดที่ข้าสามารถทำให้ความบริสุทธิ์ของท่านแปดเปื้อนได้ ข้าก็จะได้ทรัพย์สินของท่านด้วย” ตอนนี้หวังไล่จื่อนั้นเกลียดชังนางเฉินยิ่งนัก ทุกอย่างเป็นความผิดของหญิงผู้นี้ หากไม่ใช่เพียงเพราะนางแล้ว เขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?