บทที่ 57 ขโมย
รอหลังจากหนิงเมิ่งเหยาแจกแจงงานเสร็จแล้ว หนึ่งในคนงานก็ออกไปซื้อกระเบื้อง หนิงเมิ่งเหยาให้เงินกับเขาไป และหยางอี้ที่เข่าหายดีแล้วก็วางแผนว่าจะตามไปทีหลัง
“แม่หนู เมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้น เจ้าวางแผนจะทำอะไรหรือ?” เมื่อเห็นว่าคนงานเริ่มลงมือกันทำงานของตน หยางจู้ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ข้าจะเพาะพันธุ์ไก่และปลา” หนิงเมิ่งเหยาไม่ปกปิดสิ่งใด และตอบคำถามด้วยสิ่งที่นางวางแผนจะทำ
หยางจู้ลองนึกดูก็รู้สึกว่ามันน่าจะไปได้สวย “เข้าใจแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพวกข้าจะมาช่วย”
“ข้าตั้งใจไว้ว่าจะให้พี่หยางช่วยข้าอยู่แล้ว” นางคงไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นนางจึงกะจะหาคนสักสองสามคนเพื่อมาช่วยงานที่นั่นในระหว่างที่นางจัดการเรื่องข้างนอก
“ได้เลย”
ข่าวคราวเรื่องมีคนเข้ามาทำงานในบ้านของหนิงเมิ่งเหยากระจายออกไป แต่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ถึงนางอยากจะก่อกำแพงล้อมที่ดินของนางทั้งหมด นั่นก็เป็นเรื่องของนาง ไม่เพียงเท่านั้น คนไม่น้อยที่อยากจะเห็นหนิงเมิ่งหยาพลาดท่าเป็นตัวตลกเสียเอง
เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ให้ความสนใจกับมันเลยแม้แต่น้อย นางใช้เวลาราวๆ หนึ่งเดือนสร้างบ่อปลาและโรงเลี้ยงไก่จนเสร็จสิ้น
ระหว่างที่กำลังง่วนอยู่ การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง หนิงเมิ่งเหยาไม่อยากจะเริ่มเก็บเกี่ยวในเดี๋ยวนั้น นางทำเพียงมองทุ่งสีเหลืองทองผืนแรกอยู่เช่นนั้น
ข้าวสาลีถูกหว่านลงตรงนั้นแล้วก็กำลังออกรวงสวยงาม แปลงสีทองขนาดใหญ่ส่ายไหวอยู่ภายใต้สายลมเบาๆ ทำให้เห็นเป็นระลอกคลื่นสีทอง ช่างเป็นทิวทัศน์ที่น่าดู และสวยงามยิ่งนัก
หนิงเมิ่งเหยาแย้มยิ้ม และหันกลับไป
เมื่อการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน เด็กๆ ต่างก็กลับบ้านเพื่อไปช่วยครอบครัวของตน ดังนั้นนางจึงมีเวลาว่างแทนการสอน
มองใบไม้สีแดง สีเขียว และสีเหลืองบนภูเขา หนิงเมิ่งเหยาตาเป็นประกาย ผลไม้ป่าบนภูเขาก็น่าจะสุกแล้วเหมือนกันสินะ?
คิดได้ดังนั้น หนิงเมิ่งเหยาหยิบตะกร้าขึ้นมา ลงกลอนปิดประตูก่อนจะเดินทางขึ้นเขาไป
แต่สิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาไม่อาจทราบได้ก็คือการปรากฏตัวของคนผู้หนึ่งซึ่งโผล่มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านของนางอย่างเงียบเชียบหลังจากนางออกไป ร่างนั้นมองดูรอบๆ บ้านของนาง เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ นางก็สะเดาะกุญแจเข้าไปข้างใน
หลังจากนางเข้ามา นางค้นหาทั่วทุกห้องหับภายในบ้าน เมื่อไม่เจอสิ่งใด นางก็สิ้นหวังจนต้องสบถออกมาเบาๆ
นางพบอาหารมากมายภายในห้องครัว ข้าวขาว เส้นหมี่ขาว เนื้อปลา และเนื้อสัตว์ป่า
เมื่อเห็นสิ่งที่วางอยู่ นางก็กลืนนำลายลงคอ ก่อนคว้าทุกอย่าง และวิ่งออกมาข้างนอก
เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเห็นผลไม้ป่าหลากหลายชนิดบนภูเขาแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา พอนางพบอะไรที่สามารถกินได้ นางก็จะเด็ดใส่ตะกร้าที่หลังของตนไว้ เห็นแม้กระทั่งว่าบนภูเขานี้มีองุ่นป่าขึ้นอยู่อีกด้วย
เมื่อเห็นองุ่น ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาก็ยิ่งเป็นประกาย นี่มันของดีทั้งนั้น
นางวางตะกร้าลงและพบว่าตะกร้าเต็มไปครึ่งหนึ่งแล้ว หนิงเมิ่งเหยาเด็ดพวงองุ่นและวางพวกมันลงจนเต็มตะกร้า
สะพายตะกร้าขึ้นหลัง หนิงเมิ่งเหยากลับบ้านด้วยฝีเท้าว่องไว ก่อนที่อารมณ์ดีๆ ในตอนต้นของนางจะพังลงเมื่อพบกุญแจบ้านซึ่งถูกสะเดาะกลอนออก สีหน้าของนางน่ากลัวขึ้นในพริบตา
นางหยิบกุญแจที่ถูกสะเดาะขึ้นมา ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาจมดิ่งสู่ความเยียบเย็น ดูเหมือนว่าช่วงนี้นางจะตกเป็นเป้าหมายอยู่ แต่ว่าของของนางนั้นสามารถเอาไปได้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?
หนิงเมิ่งเหยาเดินเข้าไปข้างในและมองไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าห้องของนางและห้องอื่นๆ ต่างก็อยู่ในสภาพเละเทะราวกับทุกอย่างในนั้นถูกจับพลิก ข้าวของในห้องของนางนั้นไม่ได้ถูกขโมยไป แต่ที่ห้องครัวนั้นดูราวกับว่าเพิ่งเกิดหายนะขึ้น
ผลไม้ป่าของนางหายไป ข้าวขาวของนางก็เช่นนั้น ขนาดขวดน้ำมันก็ยังถูกขโมยไปด้วย
ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะพยายามค้นหาเงิน แต่เมื่อหาไม่เจอ ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างอื่นแทนด้วยการขโมยข้าวของนาง เส้นหมี่ น้ำมัน และผลไม้ป่าไป
หนิงเมิ่งเหยายิ้มเย็น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน ขโมยของของนางไปได้ง่ายๆ เลย? นางล่ะอยากจะทำให้คนที่เอาข้าวของของนางไปต้องกระอักเลือดออกมาต่อหน้าเสียเหลือเกิน
เมื่อวางตะกร้าลงในห้องตัวเอง หนิงเมิ่งเหยาก็หันร่างกลับและมุ่งตรงไปยังบ้านของหยางจู้
เมื่อเขาได้ยินว่ามีคนบุกเข้าไปในบ้านของหนิงเมิ่งเหยา หยางจู้ก็ไม่สามารถรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพาผู้เฒ่าสองสามคนมาด้วย หนิงเมิ่งเหยาพาพวกเขาไปดูห้องอันเละเทะและครัวของนาง ใบหน้าของชาวบ้านเหล่านั้นล้วนดำคล้ำและน่ากลัว พวกเขากำลังหวั่นใจว่าหมู่บ้านไป๋ซานของพวกเขานั้นจะมีขโมย
บทที่ 58 ภัยมาเยือน
เมื่อหยางจู้และผู้เฒ่าคนอื่นเห็นบ้านของหนิงเมิ่งเหยาซึ่งอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับพื้นที่ซึ่งถูกฝูงตั๊กแตนบุกเข้าทำลายแล้ว ใบหน้าของพวกเขาก็น่าเกลียดน่ากลัวขึ้นมา
พวกเขาต่างอยู่ในหมู่บ้านไป๋ซานมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยเจอกับคดีลักขโมยมาก่อน แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว และยังเกิดขึ้นกับหญิงกำพร้าผู้หนึ่ง การกระทำของหนิงเมิ่งเหยาที่ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินนั้นต่างก็ทำให้ชาวบ้านซาบซึ้งบุญคุณกันเป็นอย่างยิ่ง
ที่ดินซึ่งนางเช่าไว้นั้นเล็กเพียงแค่สิบกับอีกไม่กี่หมู่ แต่ถึงแม้นางจะไม่เช่า แค่นั่งกินกำไรจากชาวบ้านที่เช่าที่ดินของนางไปในระยะยาวก็ยังดีกว่าการไปเช่าที่ตรงนั้นเอง
แต่บัดนี้? กลับมีคนกล้าจะกลั่นแกล้งนาง? การกระทำนี้เหมือนกับการมาตบหน้าพวกเขาตรงๆ
“หยางจู้ เราต้องสืบสวนเรื่องนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน ผู้กระทำผิดจะต้องถูกลงโทษอย่างไม่ปรานี” ชาวบ้านที่อายุมากที่สุดในกลุ่มทุบโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยวและกล่าวอย่างเดือดดาล
“ท่านลุง ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เถิด” ใบหน้าของหยางจู้นั้นดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก แม้ว่าชาวบ้านบางคนจะมีนิสัยไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
หากคดีนี้แพร่งพรายออกไป ผู้ใดกันเล่าจะอยากแต่งงานกับหนุ่มสาวในหมู่บ้านนี้? พวกเขาจะสามารถเงยหน้ามองหน้าผู้อื่นได้อย่างไร? เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น หยางจู้ก็รู้สึกหัวเสีย
“ไปพาชาวบ้านมารวมกัน เราต้องสืบสวนเรื่องนี้ให้แน่ชัด” หยางจู้บอกคนที่อยู่ข้างๆ เขาอย่างฉุนเฉียว
“ไปกันเถอะ”
หนิงเมิ่งเหยาไม่รู้จะช่วยอย่างไร นางทำได้เพียงแค่เดินตามพวกเขาไปยังหมู่บ้าน และเห็นพวกเขาเรียกชาวบ้านออกมาทีละคน การกระทำนี้สร้างความสงสัยให้กับชาวบ้านหลายคนเป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยว แล้วจะมีเรื่องใดที่สำคัญยิ่งกว่านั้นกันเล่า?
เขารอจนกระทั่งให้ชาวบ้านมากันจนครบ หยางจู้พูดขึ้นเสียงเย็น “ข้ารู้ว่าพวกท่านสงสัยว่าเหตุใดพวกเราจึงมารวมตัวกันที่นี่ แต่มีบางสิ่งที่ข้าจะต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบ”
ทำไมเหล่าผู้เฒ่าจึงมีท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนั้นกัน? ฝูงชนมองหน้ากันไปมาด้วยเพราะทำอะไรไม่ถูก
“หัวหน้าหมู่บ้าน เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“นั่นสิ เหตุใดเหล่าผู้เฒ่าจึงดูโมโหเช่นนี้?”
“ตั้งแต่หมู่บ้านไป๋ซานถูกก่อตั้งขึ้น มีหลายต่อหลายหนที่เกิดข้อพิพาทกันขึ้นระหว่างบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่รุนแรงนัก ทว่าในวันนี้ กลับมีการลักขโมยเกิดขึ้น!” หยางจู้กล่าวถึงตรงนี้และเงียบไป
ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็แตกตื่นวุ่นวาย
อะไรนะ? ในหมู่บ้านของพวกเขามีขโมยงั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น?
หนิงเมิ่งเหยายืนอยู่ด้านข้าง และเฝ้ามองชาวบ้านอย่างตั้งใจ ริมฝีปากของนางหยักเป็นเส้นโค้ง สีหน้าของคนคนหนึ่งในนั้นทำให้นางรู้สึกทั้งประหลาดใจและยินดี
“เอาล่ะ ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ วันนี้แม่หนูเมิ่งเหยากลับมาจากภูเขาแล้วจึงเห็นว่าบ้านของนางโดนสะเดาะกลอน สองถึงสามห้องอยู่ในสภาพดูไม่ได้ ผ้าห่มและฟูกนอนก็กระจัดกระจาย ภายในลิ้นชักนั้นก็เละเทะ ไม่เพียงเท่านั้น ข้าว เส้นหมี่ น้ำมัน และผลไม้ป่าที่ดองเอาไว้ก็หายไปเช่นกัน”
หลังจากหยางจู้เล่า ทุกคนต่างก็ยืนนิ่งด้วยความงุนงง การที่ห้องอยู่ในสภาพดูไม่ได้นั้นหมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าคนที่เข้าไปพยายามจะหาเงินและของมีค่าอื่นๆ อย่างไรเล่า แต่เมื่อหัวขโมยหาของพวกนั้นไม่เจอ นางก็เลยเอาอาหารที่เก็บไว้ไปแทน
“พวกข้าไปดูมากับตา หลายห้องของเมิ่งเหยาอยู่ในสภาพอย่างกับโดนฝูงตั๊กแตนบุกมา นางไม่ได้เลี้ยงสัตว์เอาไว้ ถ้านางเลี้ยงไว้ ก็คงหนีไม่พ้นโดนขโมยไปเหมือนกันแน่?” เกี่ยวอะไรกับตั๊กแตน? ตั๊กแตนเป็นแมลงซึ่งผู้คนเกลียดกลัวที่สุด เนื่องด้วยสาเหตุที่ว่าไม่ว่าพวกมันจะไปที่ไหน ที่แห่งนั้นก็จะเละจนแทบไม่มีอะไรเหลือ การใช้สิ่งนี้มาเพื่ออธิบายถึงบ้านของหนิงเมิ่งเหยานั้นเป็นการบอกว่าสภาพที่เกิดขึ้นคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยของคนคนเดียว แต่หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกมา หมู่บ้านของเราจะสามารถมองหน้าใครติดได้? คนหนุ่มและหญิงสาวในหมู่บ้านเราจะแต่งงานได้อย่างไรกันเล่า?”
“ไม่เพียงเท่านั้น หากหัวขโมยผู้นี้กระทำการจนเป็นนิสัย ตอนนี้เป็นบ้านของหนิงเมิ่งเหยา แต่หลังจากนั้นไปเป็นบ้านของพวกเราเล่า”
ผู้เฒ่าหลายคนกล่าวความคิดเห็นของตนออกมา แรกเริ่มเดิมทีปัญหานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่บัดนี้พวกเขานั้นจะต้องรอบคอบ ใช่แล้ว พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หากว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงหนเดียวก็คงดี แต่ถ้าหากว่าหัวขโมยทำจนติดเป็นนิสัยแล้วเข้าไปขโมยข้าวของในบ้านพวกเขาต่อล่ะ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น ทุกคนก็อยู่ไม่สุข ตระกูลไหนกันที่จะไม่มีคนหนุ่มและหญิงสาว? เรื่องนี้มันจะไม่ทำให้ชื่อเสียงหมู่บ้านของพวกเขาต้องมัวหมองหรือ?