บทที่ 63 แกว่งเท้าหาเสี้ยน
หนิงเมิ่งเหยาพูดไม่ออก ขณะที่นางมองหญิงวัยกลางคนสบถสาปแช่ง นางขมวดคิ้ว เขาว่ากันว่าคนสมัยก่อนนั้นล้วนซื่อสัตย์ และซื่อตรงไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเหตุใดหญิงพวกนี้ถึงอารมณ์ร้ายเช่นนี้กัน?
นางอุตส่าห์คิดว่าจะปล่อยนางหลัวไปสักครั้งดีหรือไม่ เพราะสิ่งที่หยางซิ่วเอ๋อร์กล่าวนั้นถูกต้อง ถ้าหากนางส่งนางหลัวให้กับทางการ เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงของหยางซิ่วเอ๋อร์ก็คงป่นปี้ และหญิงสาวผู้ที่ชื่อเสียงด่างพร้อยไปแล้วนั้น นางจะยังสามารถแต่งงานกับตระกูลดีๆ ได้อีกหรือ? หนิงเมิ่งเหยาคิดว่าไม่มีทาง
แม้ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะเกลียดชังนางหลัวมากเพียงใด นางก็ไม่สามารถทำลายชื่อเสียงของหยางซิ่วเอ๋อร์ได้
แต่นางหลัวผู้นี้นั้นจะเลิกขุดหลุมฝังตัวเองได้หรือไม่? คนแบบนี้ไม่รู้จักคำกล่าวที่ว่าหากไม่ขุดหลุมฝังตัวเอง ก็จะไม่มีวันตายหรอกหรือ?
ใบหน้าของหยางซิ่วเอ๋อร์เปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด นางสัมผัสได้ว่าเมื่อครู่นั้นหนิงเมิ่งเหยาใจอ่อนลงแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น… สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
ไม่รอให้หยางซิ่วเอ๋อร์ได้กล่าวอะไร หนิงเมิ่งเหยาก้าวเข้าไปหานางหลัว และตบหน้านาง
“ถึงท่านจะไม่คิดถึงตนเอง แต่ท่านก็ควรคิดถึงลูกสาวของตนบ้าง การสบถด่าสาปแช่งเช่นนี้มันดีแล้วหรือ?” หนิงเมิ่งเหยาจ้องใบหน้าอันคล้ายหมูของนางหลัวนิ่งๆ
นางหลัวอ้าปากค้าง ใบหน้าของนางขึ้นสีด้วยความอับอาย หยางฮว๋าเห็นภรรยาของตนถูกตบก็บันดาลโทสะขึ้นมา เขาลงมือกับนางได้ แต่ผู้อื่นห้ามทำ
“นางเป็นผู้อาวุโสของเจ้า หนิงเมิ่งเหยา เจ้าตบนางเข้าจริงๆ เจ้ามันคนป่าเถื่อน!” สีหน้าของหยางฮว๋าบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล
หนิงเมิ่งเหยามองที่หยางฮว๋าเงียบๆ นางไปเป็นคนป่าเถื่อนตั้งแต่เมื่อใดกัน? เป็นเพราะการตบเมื่อกี้น่ะหรือ? ถ้าหากนางเป็นคนป่าเถื่อน เช่นนั้นแล้วผู้หญิงที่ท่าทางสมชายในยุคสมัยใหม่จะเรียกว่าอย่างไรกัน?
“ก็ดี ดูเหมือนว่าความใจดีของข้าจะถูกเห็นเป็นเจตนาร้ายสินะ ลุงหยาง รบกวนด้วย” หนิงเมิ่งเหยาเบนสายตามองไปยังตระกูลหยาง
นางหยางได้ยิน และเดินเข้าไปมัดนางหลัวในทันที ก่อนพานางไปขึ้นเกวียนสำหรับเดินทางเข้าเมือง
เมื่อเห็นเกวียนเทียมวัวกำลังค่อยๆ เคลื่อนออกไป ในที่สุดหยางซิ่วเอ๋อร์ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางวิ่งไปขวางทางของพวกเขาเอาไว้ “เมิ่งเหยา ข้ารู้ว่าเรื่องนี้พ่อแม่ข้าเป็นผู้ผิด แต่.. แต่เห็นแก่ข้า เจ้าช่วยปล่อยพวกเขาสักครั้งได้หรือไม่?”
“หน้าเจ้าหนาขนาดไหนกันนี่?” หนิงเมิ่งเหยามองหยางซิ่วเอ๋อร์อย่างเย็นชา นางให้โอกาสไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเขากลับไม่เคยรักษามันเอาไว้เลย เรื่องนี้จะมาว่านางก็ไม่ได้ “เล่อเล่อ พาหยางซิ่วเอ๋อร์ออกไป”
หยางเล่อเล่อพยักหน้า และดึงหยางซิ่วเอ๋อร์เอาไว้ในขณะที่เกวียนซึ่งบรรทุกผู้คนเอาไว้เคลื่อนจากไป
ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าหนิงเมิ่งเหยาใจไม้ไส้ระกำ หรือทำเกินกว่าเหตุ แต่กลับรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ควรทำแล้ว พวกเขาทุกคนต่างเห็นกับตาว่าจริงๆ แล้วหนิงเมิ่งเหยาตั้งใจจะปล่อยนางหลัวไปแล้ว แต่นางหลัวกลับด่าทอนางแทน นี่ไม่ใช่การทิ่มแทงจิตใจผู้อื่นหรอกหรือ? สมน้ำหน้านางแล้ว
นางหลัวถูกพาตัวเข้าเมือง หนิงเมิ่งเหยาทำเสียงอึกทึกครึกโครมเพื่อปลุกท่านเจ้าเมืองขึ้นมา และเพราะว่าการนอนหลับอันแสนสุขของเขาถูกรบกวน ยิ่งเมื่อมาได้ยินเรื่องหัวขโมยที่มีหลักฐานมัดตัวแน่นหนา มิหนำซ้ำคือข้าวของที่ถูกขโมยไปก็ยังอยู่ในบ้านของหัวขโมยผู้นั้นอีก ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองจึงดูอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนัก
เมื่อค้อนตัดสินเคาะลง บทลงโทษในครั้งนี้คือการขังคุกนานสามเดือน และถูกตีด้วยไม้กระดานสิบที
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ หนิงเมิ่งเหยาก็กล่าวขอบคุณท่านเจ้าเมือง และกลับหมู่บ้านไปพร้อมนางหลัวโดยใช้เกวียนเล่มเดิม
เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึง ชาวบ้านต่างยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน เมื่อรู้ว่านางหลัวถูกลงโทษโดยการตีด้วยไม้กระดานสิบที และขังคุกสามเดือน หยางซิ่วเอ๋อร์ก็เป็นลม ในขณะที่หยางฮว๋าเพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง นี่เป็นความผิดของพวกเขา
เมื่อฝูงชนรู้สึกว่าผลลัพธ์นี้เป็นไปตามที่คิดก็กลับบ้านของตน หนิงเมิ่งเหยาให้เงินคนขับเกวียนเล็กน้อย แล้วจึงไปเคลื่อนย้ายข้าวของของตนกลับบ้าน
แต่นางไม่อยากได้เหยือกน้ำมันกลับไปด้วย เพราะนางเห็นคราบเปื้อนติดอยู่บนผิวเหยือกซึ่งพาลทำให้นางรู้สึกขยะแขยง
หลังจากหนิงเมิ่งเหยากลับไป ดวงตาของหยางซิ่วเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอันดำมืด และความโหดร้าย “ข้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน”
นางขอร้องหลายต่อหลายครั้ง หากแต่หนิงเมิ่งเหยายังคงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป จะไม่ทำให้นางรู้สึกโกรธอย่างไร? ไม่แค้นได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แต่หยางเล่อเล่อกับตระกูล นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็ว นางจะทำให้พวกเขาต้องชดใช้ในเรื่องนี้อย่างสาสม
“ซิ่วเอ๋อร์…”
“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วง ข้าจะหาวิธี” หยางซิ่วเอ๋อร์ตัดบทคำพูดของหยางฮว๋าเบาๆ ภายในใจของนางนั้น นางคิดว่าบิดาของตนช่างไร้ประโยชน์ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ยังก่อปัญหาขึ้นมาเสียอีก
บทที่ 64 การเก็บผลไม้
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องนางหลัวเสร็จ หนิงเมิ่งเหยาก็กลับบ้าน ชะระร่างกายก่อนตรงเข้านอนเช้าวันถัดมา นางเอาตะกร้าพาดหลังเพื่อเตรียมปีนเขา เพราะองุ่นที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้น ถูกนางเก็บไปจนใกล้หมดแล้ว แต่ปัญหาก็คือ นางยังไม่คุ้นเคยกับบริเวณตอนบนของภูเขาเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่นางกำลังรู้สึกลำบากใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น หนิงเมิ่งเหยาก็เห็นเฉียวเทียนช่างที่กำลังเดินลงจากเขามา พลันดวงตาของนางก็เป็นประกาย เขาขึ้นลงเขาอยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาควรจะรู้สิ ใช่ไหม?
“นี่ รอประเดี๋ยวก่อน”
เฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยาตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่ได้คิดจะทักทาย เมื่อได้ยินนางเรียกเขา เขาก็หยุดฝีเท้าลง
“มีเรื่องอะไรหรือ?”
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า แน่นอนว่านางต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว และมันก็เป็นเหตุผลที่สำคัญมากๆ อีกด้วย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าส่วนไหนของภูเขาที่มีเมล็ดเช่นนี้อยู่?” ดวงตาอันสุกใสของหนิงเมิ่งเหยาจ้องมองไปยังเฉียวเทียนช่าง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อก้มหน้าลงมองเมล็ดในมือของนาง เฉียวเทียนช่างก็พยักหน้า “ข้ารู้ หลายแห่งทีเดียว”
คำพูดนี้ทำให้หนิงเมิ่งเหยามีความสุขนัก เสียงของนางมีความออดอ้อนเล็กน้อย “เจ้าช่วยพาข้าขึ้นไปเก็บหน่อยได้หรือไม่?”
เฉียวเทียนช่างก้มมอง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนิงเมิ่งเหยาจึงต้องการพวกมัน นางชอบทานของเปรี้ยวๆ งั้นหรือ? แต่มันก็มีอยู่ครึ่งตะกร้าแล้วนี่ ยังไม่พออีกรึ?
“พวกมันมีรสชาติเปรี้ยวมาก”
“ข้ารู้ ข้าไม่ได้จะกินมัน แต่ข้าอยากจะต้มเหล้า เหล้าองุ่นน่ะ เอาอย่างนี้ไหม ถ้าเจ้าช่วยข้าเก็บพวกมันมา ตอนที่ข้าต้มเหล้าองุ่นเสร็จ ข้าจะให้เจ้าครึ่งหนึ่ง” ดวงตาทั้งสองข้างของหนิงเมิ่งเหยาเปล่งประกายระยิบระยับระหว่างที่นางมองเฉียวเทียนช่าง
เฉียวเทียนช่างนั้นรู้สึกสนใจตั้งแต่ตอนที่นางกล่าวถึงการต้มเหล้าองุ่นแล้วและตอนนี้เมื่อมองดวงตาอันเป็นประกายคู่นี้ของนางด้วยแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
จากครั้งแรกที่เขาพบนาง นางดูเป็นคนเย็นชา และสันโดษ แต่นางเองก็ยังมีด้านที่น่ารักเช่นนี้ซ่อนอยู่ด้วยหรือ?
“เอาล่ะ ข้าจะช่วยเจ้า เจ้าเอาของพวกนี้กลับบ้านไป ส่วนข้าจะขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ให้ พวกมันอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาโน่น” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาพลางส่งสัตว์ป่าที่เขาล่าได้ให้นาง โชคดีที่วันนี้สัตว์ที่ล่าได้ไม่ได้มีมากมายนัก เขาจึงไม่ต้องกลัวว่านางจะถือทั้งหมดกลับไปไม่ได้
“ตกลง” หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะพลางพยักหน้า รับร่างสัตว์มาถือไว้ก่อนหันหลังกลับไป ส่วนเรื่องจะเอาองุ่นหลังจากเฉียวเทียนช่างเก็บมาให้กลับไปอย่างไรนั้น นางยังไม่ได้คิด
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หนิงเมิ่งเหยาต้มองุ่นที่นางมีอยู่จนเป็นเหล้าจากนั้นก็มองไปที่สัตว์ป่าซึ่งถูกล่ามา นางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เฉียวเทียนช่างช่วยนาง ดังนั้นนางก็ควรจะเชิญเขามาร่วมมื้อเย็นด้วยกันหรือเปล่า?
เมื่อคิดได้ดังนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ต้มน้ำ หลังจากถอนขนไก่เป็นที่เรียบร้อย นางก็จัดแจงลงมือทำอาหาร
เมื่อเฉียวเทียนช่างถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยพวงองุ่นกลับมา หนิงเมิ่งเหยาก็ทำอาหารของตนเสร็จพอดี
เฉียวเทียนช่างได้กลิ่นหอมของอาหารแสนอร่อยเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามา เขาลูบท้อง รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ? มากินข้าวกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาทักทายเฉียวเทียนช่าง
เฉียวเทียนช่างพยักหน้าก่อนเดินไปข้างบ่อน้ำเพื่อล้างหน้า มีอาหารดูน่าเอร็ดอร่อยหลากหลายชนิดวางอยู่บนโต๊ะ ทำเอาเฉียวเทียนช่างรู้สึกน้ำลายสอ
“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยข้าเก็บผลไม้”
“ไม่เป็นไร” เฉียวเทียนช่างพยักหน้าขณะกินข้าวไปด้วย รสชาติอาหารนั้นช่างเลิศล้ำ เรียกได้ว่าอร่อยเสียยิ่งกว่าอาหารจานใดที่เขาเคยกินมาก่อน
หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้กล่าวอะไร นางเพียงแค่กินข้าวอย่างช้าๆ อยู่ด้านข้าง
หลังจากกินอาหารเสร็จ เฉียวเทียนช่างก็เห็นว่าหนิงเมิ่งเหยากำลังเปิดดูตะกร้า ทำท่าเหมือนอยากจะต้มเหล้าองุ่น เขาจึงถามขึ้น “เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไรหรือเปล่า?”
“น้ำตาลในเหยือกข้ามีไม่พอ ท่านช่วยไปซื้อให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะเอาเงินให้” นางเอาเงินออกมาหลายตำลึง
“พอดีเลย ข้าเองก็อยากจะเอาสัตว์ที่ล่ามาไปขายด้วย ช่วยเจ้าซื้อของก็ได้ ยังไงเสียข้าเองก็มีส่วนในเหล้าองุ่นนี่เหมือนกัน ให้ข้าออกครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน” เฉียวเทียนช่างกล่าวพลางหยิบร่างสัตว์ขึ้นมา เตรียมออกไป
หนิงเมิ่งเหยาชะงัก ก่อนจะหัวเราะออกมาขณะที่ยังคงต้มเหล้าองุ่นต่อ
หลังจากรอให้เขาไปซื้อเหยือกใส่เหล้า และน้ำตาล หนิงเมิ่งเหยาก็ต้มเหล้าองุ่นเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
สองสามวันต่อมา เฉียวเทียนช่างจะนำถุงขนาดใหญ่ออกไปตอนช่วงบ่าย และกลับมายังบ้านของหนิงเมิ่งเหยาด้วยถุงซึ่งเต็มไปด้วยองุ่น ทำให้นางรู้สึกลำบากใจ ดังนั้นนางจึงทำอาหารอร่อยๆ ไว้ให้เฉียวเทียนช่างทุกวัน บ้างก็ทำเนื้อบดโดยใช้เนื้อจากที่เขาล่ามาให้อีกสองสามขวด ทั้งยังแบ่งเห็ดบดของตนให้เขาอีกบางส่วน
การกระทำนี้ทำให้เฉียวเทียนช่างมีความสุขเป็นอันมาก จากครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสชาติไป เขาก็อยากจะกินอีก แต่ก็เขินอายเกินกว่าจะกล่าวร้องขอไปตรงๆ
และเพราะการต้มเหล้าองุ่นนี้เอง จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ชิดกันทีละน้อย