บทที่ 71 รอพวกนางขอร้องข้า
แม่นมฉินเห็นคุณหนูของนางหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วก็บอกเรื่องข่าวลือที่ลือกันว่อนในหมู่บ้านให้ฟัง เมื่อได้รับฟัง หนิงเมิ่งเหยาไม่โกรธแต่อย่างใด “พวกเขามีปากของเขาเอง พวกเขาจะพูดอะไรก็เรื่องของเขา”
หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจสักนิดเดียว
“แต่คุณหนู เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของคุณหนูนะเจ้าคะ” โดนพูดถึงเช่นนี้ คุณหนูจะแต่งงานได้อย่างไร คนพวกนั้นทำกันเกินไปแล้ว! อย่าให้นางรู้เชียวใครเป็นคนปล่อยข่าวลือนี้
“ข้ารู้ แต่ถ้าชอบกันจริง ใครเขาจะสนข่าวลือกัน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ได้มีแผนจะแต่งงานเร็วๆ นี้เสียหน่อย” หนิงเมิ่งเหยาไหวไหล่แล้วพูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
แม่นมฉินฟังคำพูดของคุณหนูแล้วก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากผงกศีรษะ ไร้ทางโต้ตอบ “ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่เราจะปล่อยคนพวกนี้ไปเฉยๆ ไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แม่นม เราลืมเรื่องนี้กันเสียเถอะ จะอย่างไร สุดท้ายที่นี่ก็คือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านย่อมเป็นแบบนี้กันอยู่แล้ว อย่าห่วงนักเลย เดี๋ยวก็มีคราวที่พวกเขาต้องมาอ้อนวอนข้าเอง” สายตาหนิงเมิ่งเหยาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
พวกเขาคิดว่านางจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปจริงหรือ ไม่มีทางหรอก ในเมื่อนางมีแผนจะสร้างโรงงานที่นี่ ก็จำเป็นต้องใช้คนอีกมาก นางอยากเห็นเหลือเกินว่าพวกคนที่โวยวายใหญ่โตกัน ที่สุดจะทำเช่นไรในอนาคต
แม่นมฉินมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร
แต่ชิงเสวี่ยเข้าใจ “คุณหนูอยากจะสร้างโรงงานที่นี่ แล้วจะสร้างโรงงานต้องใช้คนไม่น้อย พอถึงเวลา จะมีคนมาช่วยทำงานเอง”
พอได้ชิงเสวี่ยอธิบาย แม่นมฉินก็เข้าใจ
นางไปเห็นมาแล้วว่าหมู่บ้านไม่ได้ร่ำรวย เมื่อคุณหนูคิดจะสร้างโรงงานย่อมต้องใช้คนงาน
แม้วิธีการนี้อาจจะดูไร้ยางอาย และเล่นสกปรก แต่จะโต้ตอบคนประเภทนี้จำต้องใช้วิธีแบบเดียวกัน
หนิงเมิ่งเหยาเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ ในเมื่อนางต้องการ นางก็จะเปิดโรงกลั่นเหล้าองุ่น
“ข้าจะใช้ตรงช่วงบนของภูเขาทำไร่” หนิงเมิ่งเหยาโพล่งขึ้นมา
“ทำไมหรือเจ้าคะ” พวกนางมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างสงสัย
นางไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเพราะมัวกังวลเรื่องของตัวเอง แต่ตอนนี้เจี่ยงเฉวียน และที่เหลือต่างก็มาแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าคนอื่นรู้กันแล้วว่านางอยู่ที่นี่ ดังนั้นนางทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตไปเลยได้
เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้หลิงหลัวรู้ว่านางอยู่ที่นี่แล้วจะทำไมกันเล่า ตัวนางเข้มแข็งขึ้นแล้ว เรื่องที่เขาตามหานางไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
“หมักเหล้าองุ่น”
“คุณหนู เราทำเหล้าจากผลไม้ได้ด้วยหรือ”
“ใช่สิ ไม่ใช่แค่ผลไม้นะ แต่จากกลีบดอกไม้ก็ทำได้” เหล้าดอกท้อ และเหล้าเอพริคอตล้วนเป็นของโปรดของนาง ทั้งสองชนิดรสชาติล้ำเลิศ
“ถ้าอย่างนั้น พอใบไม้ผลิมาถึง เราจะซื้อพวกไม้ผลมาปลูก” เจี่ยงเฉวียนทุบฝ่ามือตัวเองเป็นอันตัดสินใจ
แล้วพวกนางก็เปลี่ยนจากคุยเรื่องข่าวลือเป็นปลูกต้นไม้มาหมักเหล้ากันเช่นนั้น
เมื่อแม่นมฉินเดินไปห้องครัว ชิงซวงมาพูดกับหนิงเมิ่งเหยาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คุณหนู เราน่าจะให้ชิงเซวียนมารวมตัวกับเราด้วย” แม้วรยุทธ์ของนางจะไม่ได้อ่อนด้อย แต่ก็ยังเทียบชั้นกับฝีมือชิงเซวียนไม่ได้
หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะ “ระหว่างนี้ยังไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก”
“แต่…”
“เอาล่ะ แบบนี้ก็ดีแล้ว” หนิงเมิ่งเหยาตัดบทชิงซวง และขมวดคิ้ว เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ชิงซวงและคนอื่นก็เข้าใจได้ว่านางไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อ
พอไม่มีคำแก้ต่างจากหนิงเมิ่งเหยา ข่าวลือข้างนอกยิ่งกระพือ แม้ราวครึ่งหมู่บ้านจะไม่ได้มาร่วมวุ่นวายด้วยก็ตาม พวกเขารู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนเช่นไร ถ้านางโหดเหี้ยมร้ายกาจอย่างข่าวลือวาดภาพไว้จริง เหตุใดนางจึงให้เช่าที่ดินในราคาถูกเล่า
ข่าวลือพวกนี้แพร่มาได้จากคนที่อิจฉานางเท่านั้น นอกจากนี้นางยังต้องการจะสร้างโรงงาน ซึ่งหมายความว่าจะมีงานให้คนทำ พวกขี้อิจฉารังแต่จะตัดหนทางตัวเอง พวกเขาหวังว่าคนพวกนี้จะไม่มาร้องห่มร้องไห้เอาภายหลัง
หนึ่งเดือนมีเรื่องเกิดขึ้นได้มากมาย แต่สำหรับชาวบ้านของหมู่บ้านไป๋ซาน พวกเขารู้สึกสุขใจเพราะหนิงเมิ่งเหยาต้องการคนงานให้โรงงานของนาง คนสำรวจภูเขา และคนตัดถางป่าที่ขวางทาง ค่าจ้างหนึ่งวันประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบอีแปะ หนึ่งเดือนได้หนึ่งถึงสองตำลึง นับเป็นข่าวดียิ่งนัก
ในขณะที่ผู้คนอีกครึ่งหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเสียใจ พวกเขาเป็นคนปล่อยข่าวลือกันเสียเผ็ดร้อน และไม่มีหน้าจะไปรับงาน
บทที่ 72 มาขับเกวียน
ต่อให้พวกเขาหน้าไม่อายพอจะไปทำงานที่นั่น พวกเขาก็คงจะทำงานได้เพียงไม่กี่วัน ถึงหนิงเมิ่งเหยาจะไม่พูดอะไรและไม่ได้ใจร้ายอะไรกับพวกเขาเลย คนที่ทำงานด้วยก็อดมิได้ ต้องมาถาม ‘เจ้าไม่รังเกียจนางแล้วพูดแย่ๆ ถึงนางแล้วรึ เจ้าปรี่มาทำงานให้นางได้อย่างไรกัน’ อยู่ดี
คำพูดเพียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นทำให้หน้าคนกลุ่มนี้ร้อนผ่าว อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่คนที่ปล่อยข่าวลือด้วยซ้ำ แต่เป็นภรรยาพวกเขาต่างหาก กระนั้นใครจะมีหน้ามาทำงานได้ต่อหนอ
พอแม่นมฉินได้ฟังเรื่องนี้ นางพ่นหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาแล้วยิ้มอย่างพอใจ วิธีการของคุณหนูยอดเยี่ยมเป็นที่สุด พอได้เห็นคนพวกนั้น ตอนนี้พวกเขาต้องเดินกันไปพร้อมสีหน้าอับอายเลยมิใช่หรือ
ชิงซวงชำเลืองมองพวกชาวบ้านที่เดินจากไปอย่างอับอายแล้วเผยยิ้มยะเยือก จากนั้นก็ทำกิจธุระของตนต่อไป
หนึ่งเดือนที่ผ่านมามากพอให้พวกนางเข้าใจได้ว่าคุณหนูใช้ชีวิตแบบไหนที่นี่
ครั้นคิดว่าคุณหนูถูกชาวบ้านรังแกไว้อย่างไรบ้าง พวกนางก็อยู่ไม่เป็นสุข ถ้าไม่ได้คุณหนูสั่งห้ามพวกนางก่อปัญหาใดๆ พวกนางคงไปมีเรื่องกับพวกชาวบ้านแล้ว
ที่ดินบนภูเขาใกล้เตรียมการเสร็จแล้ว และโรงกลั่นเหล้าเริ่มมีสินค้าผลิตออกมาบ้าง เพื่อนของเฉียวเทียนช่างแวะมาครึ่งหนึ่งในระยะครึ่งเดือน เขาซื้อไหเหล้าหนักเกือบสองจินไปโดยจ่ายสิบห้าตำลึงต่อใบ จัดว่าเป็นราคาที่ไม่เลวเลย
ไม่นับค่าแรงกับค่าวัตถุดิบ นางขายได้ราคาไหหนึ่งประมาณ 12 ถึง 13 ตำลึง ครั้งนั้นคนซื้อกันไปสามร้อยใบ เมื่อนางแบ่งกำไรกับเฉียวเทียนช่างแล้ว นางได้เป็นเงินสองร้อยตำลึง
จำนวนเงินเท่านี้ไม่ถือว่ามากมายอะไร แต่สำหรับคนทั่วไปนับว่าผลออกมาดี นางพึงพอใจนัก สิ่งต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
“คุณหนู ใกล้จะปีใหม่แล้ว เราควรเตรียมของขายสำหรับปีใหม่หรือไม่เจ้าคะ” แม่นมฉินคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนถึงปีใหม่ พวกนางควรเตรียมสินค้าสำหรับช่วงปีใหม่ เพราะต้องให้คนงานด้วยเช่นกัน
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “เอาล่ะ เจ้ากับท่านลุงเจียงไปเตรียมเรื่องนี้ ส่วนข้าจะซื้อสินค้าสำหรับปีใหม่เอง ชิงซวงกับคนอื่นไปในเมืองเสีย”
“ตกลงขอรับ ว่าแต่คุณหนู เราซื้อเกวียนเทียมม้าด้วยหรือไม่” เจี่ยงเฉวียนย่นหัวคิ้ว
ในเมื่อตอนนั้นพวกเขาไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาก็ย่อมทำอะไรไม่ได้ แต่บัดนี้พวกเขาอยู่ตรงนี้กันแล้ว จะไม่ยอมปล่อยให้คุณหนูของพวกเขาต้อนนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัวเหมือนหญิงชาวบ้าน
“ซื้อมาหนึ่งเล่มแล้วกัน” หนิงเมิ่งเหยาคิดว่าพวกนางจำเป็นต้องซื้อเกวียนเทียมม้าสักเล่มจริงๆ
“คุณหนู ถ้าอย่างนั้นเราให้คนนำเกวียนมาที่นี่ดีหรือไม่”
หนิงเมิ่งเหยามองยังชิงซวง และคนอื่นอย่างจนคำพูด นางเพิ่งรู้ตัวว่าคนอื่นต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอของชิงซวง
“ก็ได้ แต่เลือกเกวียนธรรมดามานะ” เกวียนของนางหรูหราเกินไปไม่เหมาะนำมาใช้ในหมู่บ้าน
“ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย ไว้ใจพวกข้าเถอะ”
หนิงเมิ่งเหยาคร้านเกินจะรับมือกับคนที่เหลือด้วย แต่พอนางเห็นพวกเขารีบร้อนเข้ามาพร้อมเกวียนที่ว่า นางอ้ำอึ้งมองชิงซวง “เจ้าช่วยเลือกเล่มที่ธรรมดากว่านี้ได้หรือไม่”
พวกเขาแค่เปลี่ยนหน้าตาภายนอกให้มองแวบแรกเห็นเพียงเกวียนธรรมดา แต่ข้างในนั้นใหญ่มากพอจะจุคนได้แปดถึงเก้าคน ข้างในมีกระทั่งเบาะรองอ่อนนุ่ม ตู้ใส่ของกับขนมทานเล่นทุกชนิด และโต๊ะยาวขาเตี้ยรองกระดานหมากรุกจีนกับหนังสืออีกสองถึงสามเล่มข้างใต้
นี่คือห้องพักขนาดย่อม ดีๆ นี่เอง
หนิงเมิ่งเหยามองพวกเขาทั้งหลายพลางนึกปวดศีรษะแปลบๆ นางเอ่ยปาก “พวกเจ้านี่ช่าง…”
ชิงซวงหัวเราะอย่างเริงร่า ไม่ตอบหนิงเมิ่งเหยา
“แล้วเจ้าเด็กแสบชิงเซวียนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หนิงเมิ่งเหยาทอดมองอย่างอ่อนใจไปยังชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า ไม่รู้ว่าตนจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี
ชิงเซวียนตอบตรงไปตรงมา “ข้านั่งเกวียนเอา”
หนิงเมิ่งเหยาจ้องชิงเซวียนเงียบๆ แล้วยอมแพ้ หัวใจนางห่อเหี่ยว ทำไมนางเหมือนสาวน้อยได้รับการพะเน้าพะนอมากกว่าจะเป็นเจ้านายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้เข้าไปทุกที
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าอยู่นี่แล้วก็คือเจ้าอยู่นี่แล้ว ครั้งหน้าอย่าทำอีกแล้วกัน” หนิงเมิ่งเหยาปวดเศียรเวียนเกล้า
“ขอรับ คุณหนู”
ชิงซวงยิ้มกริ่มมองชิงเซวียน นางบอกแล้วมิใช่หรือว่าพอชิงเซวียนมาถึง คุณหนูไม่มีทางไล่เขาไปได้ เห็นไหมว่านางพูดถูก
หนิงเมิ่งเหยาเห็นทั้งสองขยับ แต่นางแกล้งทำเป็นไม่เห็น