บทที่ 87 แรงผลักดัน
หยางเล่อเล่อเห็นผู้คนบนท้องถนนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จึงเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย “เหยาเหยา เจ้าคิดว่าเทศกาลโคมไฟจะเริ่มเมื่อไหร่กันหรือ”
พวกเขามาถึงตั้งแต่เที่ยงและตอนนี้ก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว แต่นางไม่รู้เลยว่าจะต้องรอต่อไปอีกนานเท่าไหร่
“ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะเริ่มนะ ต้องรอให้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงก่อนเทศกาลจึงจะเริ่มขึ้น”
“แล้วระหว่างรอเวลา พวกเราจะไปไหนกันหรือ” เมื่อหยางเล่อเล่อได้ยินว่าจะต้องรอจนกว่าท้องฟ้าจะมืด นางก็ตกใจพลางมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้ามีลานบ้านอยู่แห่งหนึ่งที่นี่ หลังจากนี้เราไปที่นั่นกันต่อเถอะ” หญิงสาวพูดปลอบขวัญ
หยางเล่อเล่ออ้าปากค้าง “เจ้า…ที่นี่…เจ้ามีลานบ้านที่นี่หรือ”
“ใช่แล้ว ไปพักกันที่นั่นสักครู่แล้วกัน ข้าเองก็อยากจะคุยเรื่องบางอย่างกับเจ้าเหมือนกัน” หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางได้เจรจากับชิงจู๋ และตัดสินใจว่านางควรจะตกลงกับหยางเล่อเล่อก่อน
หยางเล่อเล่อผงกศีรษะอย่างกระตือรือร้น และเดินตามหญิงสาวไปยังลานบ้านของนาง
เมื่อพวกนางเข้ามาแล้ว หยางเล่อเล่อรู้สึกราวกับว่าเข้ามาในดินแดนอมตะ เนื่องจากลานบ้านแห่งนี้แตกต่างจากหลายๆ ที่ที่นางเคยเห็นมาก่อน มันมีดอกไม้นานาพรรณเต็มไปหมด จนได้กลิ่นหอมของพวกมันเมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาในทันที หยางเล่อเล่อรู้สึกเพลิดเพลินกับสวนดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งนี้อย่างยิ่ง
“หากเจ้าชอบ ก็เด็ดบางดอกกลับบ้านได้นะ”
“จริงหรือ” หยางเล่อเล่อถามอย่างคาดหวัง
“ใช่แล้ว ตามสบายเลย”
หลังจากนั้นพวกนางจึงเข้ามาในห้อง หยางเล่อเล่อรู้สึกชื่นชมกับความอบอุ่นภายในนี้ “ห้องนี้ช่างอบอุ่นเสียจริง”
“ที่ดินแห่งนี้ตั้งอยู่บนแหล่งกำเนิดความร้อนใต้ดินน่ะ มันจึงให้ความร้อนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว” หนิงเมิ่งเหยาเพียงต้องการจะตอบข้อสงสัยของหยางเล่อเล่อเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะคุยโวโอ้อวดอะไร
“เป็นเช่นนี้นี่เอง อ้อ แล้วก่อนหน้านี้ เจ้าอยากจะคุยกับข้าเรื่องอะไรหรือ” เด็กสาวกวาดสายตามองไปทั่วห้องด้วยความชื่นชม และปราศจากความอิจฉาริษยาใดๆ นั่นทำให้หนิงเมิ่งเหยาซึ่งคอยมองนางอยู่นั้นรู้สึกสุขใจ
เพราะหากตอนนี้นางเกิดความรู้สึกอิจฉาหรืออารมณ์อื่นๆ ขึ้น หญิงสาวคงจะไม่พูดคุยกับหยางเล่อเล่อในเรื่องของชิงจู๋
“ข้าคิดว่าหลังจากช่วงปีใหม่นี้ จะให้เจ้าติดตามชิงจู๋น่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” หยางเล่อเล่อรู้สึกสับสน และไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด
“ข้าเป็นเจ้าของหอเย็บปักผ้าน่ะ แต่จะแตกต่างจากหอตรงด้านนอกนะ เราทำเพียงเสื้อผ้าแบบเดียวเท่านั้น และมีชิงจู๋เป็นผู้ดูแลกิจการแห่งนี้” เมื่อหนิงเมิ่งเหยาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป และคิดว่าหยางเล่อเล่อน่าจะเข้าใจเจตนาของนางอยู่แล้ว
ดวงตาของเด็กสาวส่องประกาย และรู้สึกวิตกกังวลตามที่หญิงสาวคาดการณ์ไว้ “มิใช่ว่าทักษะฝีมือนั้นจะต้องอยู่ในระดับสูงหรอกหรือ”
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า แล้วหยางเล่อเล่อก็ไหล่ตกไป
“ข้าคิดว่าข้าไม่ไปดีกว่า ข้ารู้ความสามารถของตัวเองดี” นางไม่อยากสร้างปัญหาทีหลัง
หยางเล่อเล่อรู้ดีว่าหนิงเมิ่งเหยาอยากจะช่วยเหลือนาง แต่นางก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี และไม่อยากเนรคุณหรือทำตัวเป็นปัญหาให้อีกฝ่าย
“นี่ อย่าดูถูกตัวเองเช่นนั้นสิ เจ้าทำได้อยู่แล้ว หลังจากวันที่ 15 นี้ ชิงจู๋จะมาทดสอบเจ้า และหากเจ้าผ่าน ก็จะได้ทำงานที่นั่น แต่หากเจ้าสอบตก ก็จะได้ฝึกฝนทักษะการปักเย็บของตนเองต่อไป และเมื่อมีความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ก็มาลองดูใหม่อีกครั้ง ตกลงไหม” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยอย่างจริงจัง
หยางเล่อเล่อมีฝีมือยอดเยี่ยม แต่นางไม่ค่อยเห็นว่าตัวเองนั้นมีข้อดีอย่างไรบ้าง
เด็กสาวไตร่ตรองถึงข้อเสนอดังกล่าว และรู้ซึ้งถึงสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาต้องการสื่อ ก่อนจะพยักหน้ารับ “ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
“ตั้งใจเช่นนั้นก็ดีเลย” หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
หยางเล่อเล่อมีพรสวรรค์ด้านการเย็บปักถักร้อย ส่วนใหญ่แล้ว นางสามารถทำความเข้าใจทักษะวิชาต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยการแนะนำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เนื่องจากในอดีตนั้น เด็กสาวเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองนัก
นางจึงต้องการแรงผลักดันเพื่อช่วยส่งเสริมโอกาสความสำเร็จในอนาคตนั่นเอง
เมื่อไม่นานมานี้ หยางเล่อเล่อกลายเป็นนักปักเย็บผู้โด่งดังไปทั่วเมือง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะมีหนิงเมิ่งเหยาคอยช่วยเหลืออยู่นั่นเอง งานปักเย็บของเด็กสาวเป็นที่ต้องการอย่างมาก อีกทั้งยังครอบครองได้ยากอีกด้วย แต่ตอนนี้ นางกลับเป็นผู้ที่ยังไม่เชื่อมั่นในตนเองอยู่ดี
ขณะนั้นเอง ชิงจู๋กำลังเพ่งพินิจดูหยางเล่อเล่อที่ยังคงไม่มั่นใจในตัวเองอยู่เช่นนั้น จึงอดที่จะขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ ‘หากคนแบบนางมาร่วมงานกับเรา จะถูกกลั่นแกล้งไหม ยิ่งไปกว่านั้น…นางจะทำได้หรือใม่’
บทที่ 88 เทศกาลโคมไฟ
หากพูดตามความจริงแล้ว ชิงจู๋ไม่ชอบใจกับท่าทางของหยางเล่อเล่อนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีความลังเล แต่ถึงกระนั้น นางก็มิได้เอ่ยมันออกมาต่อหน้าอีกฝ่าย
หนิงเมิ่งเหยาเห็นหยางเล่อเล่อเป็นกังวลจึงทำอะไรไม่ถูกไปเล็กน้อย “เล่อเล่อ เจ้าไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนั้นเลยหรือ”
“ข้า…ข้าไม่รู้” หยางเล่อเล่อยิ้มอย่างขมขื่น
แม้จะมีหลายๆ คนเคยเอ่ยชมนางอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงท่านป้าลั่วและหนิ่งเมิ่งเหยาเองก็ต่างบอกว่าฝีมือการปักเย็บของนางนั้นดีแล้ว แต่หยางเล่อเล่อยังไม่กล้าพอที่จะเชื่อมั่นในตนเองอยู่ดี เพราะรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการพูดเพื่อเอาใจเท่านั้น
“เล่อเล่อ มองหน้าข้าสิ” น้ำเสียงของหนิงเมิ่งเหยาจริงจังขึ้นในทันที ทำเอาเด็กสาวประหลาดใจ
“เมิ่งเหยา…”
“เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อใจข้านะ”
หยางเล่อเล่อเห็นว่าแววตาของหนิงเมิ่งเหยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในแบบที่นางไม่เคยมี และไม่กล้าที่จะมี
“เจ้าคิดว่าท่านป้าลั่วประเมินงานปักของเจ้า และให้ราคาสูงเพราะเห็นแก่หน้าข้าใช่หรือไม่เล่า แต่ถ้างานปักของเจ้าไม่ดีจริงๆ เจ้าคิดหรือว่าท่านป้าลั่วจะยอมทำเช่นนั้นเพื่อให้ตัวเองลำบาก”
หยางเล่อเล่ออ้ำอึ้งและไม่เข้าใจคำพูดของหนิงเมิ่งเหยา
“ตอนนี้ งานปักเย็บผ้านั้นสามารถขายในราคามากกว่าสิบตำลึงเงิน เจ้าคิดว่าท่านป้าหลัวให้ราคานั้นเพราะข้ารึ คิดว่านางจะยอมขาดทุนหรือ ท่านป้าลั่วเป็นแม่ค้านะ นางจะต้องยอมซื้องานในราคาสูงขนาดนั้นไปทำไม หากมันไม่ทำกำไรให้ร้านของนาง ถูกต้องไหม”
คำพูดของหนิงเมิ่งเหยากระแทกเข้าตรงกลางใจของหยางเล่อเล่อ ‘มันก็จริง หากงานปักผ้าของนางไม่ทำให้ท่านป้าลั่วได้ผลกำไร แล้วท่านป้าลั่วจะยอมจ่ายเงินในราคาสูงทำไมกัน’
“เล่อเล่อ ข้าหวังว่าเจ้าจะทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังเสีย ไม่ว่าคนอื่นๆ จะเคยพูดไม่ดีอย่างไร ก็อย่าไปสนใจเลย ตัวเจ้าในปัจจุบันนี้ คือเจ้าคนใหม่แล้วนะ” หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่าย
หยางเล่อเล่อไม่ได้เอ่ยคำใดต่อ เพียงครุ่นคิดคำพูดต่างๆ ของหญิงสาวอย่างจริงจัง ‘สิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยนั้นมีเหตุมีผลทีเดียว เพราะหากนางยังมีนิสัยเช่นนี้อยู่ ก็ไม่ได้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา นางฝีมือแย่เช่นนั้นหรือ ก็ไม่ใช่อย่างแน่นอน แล้วทำไมคนอื่นๆ ถึงต้องพูดเช่นนั้นด้วย’
‘อิจฉา…มันคือความอิจฉาริษยาที่พวกนั้นมี เพราะว่านางได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าสินะ’
“ข้าเข้าใจแล้ว เหยาเหยา อย่าเป็นกังวลเลย”
“วิเศษไปเลย ถ้าเช่นนั้นเราไปข้างนอกกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้มเมื่อเห็นว่าหยางเล่อเล่อฮึกเหิมขึ้น
เด็กสาวผงกศีรษะและเล่นแขนของหนิงเมิ่งเหยาระหว่างกำลังพูดบางสิ่ง ทุกอย่างเหมือนกับแต่ก่อนไม่มีผิด และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย แต่ทว่าดวงตาของหยางเล่อเล่อนั้นมีความมุ่งมั่นมากขึ้น ทำให้หนิงเมิ่งเหยารับรู้ว่าเด็กสาวตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า หลังจากนี้จะไม่เป็นคนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
ชิงจู๋เดินตามหญิงสาวทั้งสองคน และเลิกคิ้วขึ้นขณะมองตามหลังหยางเล่อเล่อ ริมฝีปากของนางคลี่ยิ้มเล็กน้อย
‘ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้นางจะคิดผิดไป’
พวกนางเดินไปตามท้องถนนและโคมไฟบางส่วนเริ่มจุดไฟกันบ้างแล้ว
“มีผู้คนมากมายเชียว”
“เราเดินเล่นรอบๆ และไปดูว่าด้านหน้านั่นมีอะไรกันไหม แว่วมาว่ามีเหล่านายน้อย และคุณหนูมากมายต่างมาชมการแสดงกันที่นั่น” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ชิงเซวียนต้องการ
ตลอดทาง พวกนางทั้งสองเห็นสินค้าต่างๆ มากมาย และเมื่อมาถึงจุดหมาย ก็พบว่าพื้นที่แห่งนี้คับคั่งไปด้วยผู้คน โดยส่วนใหญ่นั้น กำลังรอชมการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้น
การแสดงในครั้งนี้เกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องมารยาทสำหรับมุมมองของแต่ละคน โดยแสดงในเชิงตลกขบขัน
“ทำไมมีผู้คนหนาแน่นไปหมดเลยนะ” หยางเล่อเล่อมีสีหน้าปั้นยาก
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”
“ถ้าเช่นนั้น เราหาพื้นที่ที่เป็นมุมสูงเพื่อรับชมการแสดงนี้กันเถอะ”
หนิงเมิ่งเหยามองไปรอบๆ เมื่อนางกำลังจะเอ่ยปากพูด ชิงเซวียนผู้หายตัวไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า “คุณหนูขอรับ ข้าได้จองพื้นที่ไว้ให้สำหรับคุณหนูแล้วขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยายิ้มมุมปาก ‘เขาช่างเป็นคนเอาใจใส่เสียจริง’
พวกเขาเดินไปยังหอน้ำชาซึ่งอยู่ถัดจากเวทีการแสดง ที่นั่งตรงนั้นดีมาก เพราะพวกเขาสามารถเอนตัวพิงหน้าต่างเพื่อมองดูสิ่งต่างๆ ด้านล่างได้อย่างชัดเจน ไม่เลวเลยทีเดียว
หยางเล่อเล่อมองลงไปเบื้องล่าง และรู้สึกว่ามันช่างวิเศษนัก นางหยิบติ่มซำพลางกวาดตามองสิ่งต่างๆ ด้านนอกไปทั่ว มองดูแล้วช่างน่ารักยิ่งนัก
ท้องนภาค่อยๆ มืดลงท่ามกลางความคาดหวังจากเหล่าฝูงชน จนกระทั่งถึงเวลาที่มันมืดสนิท โคมไฟทุกๆ ดวงนั้นก็ถูกจุดไฟจนส่องสว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน ราวกับว่านัดแนะกันมาก่อนก็ไม่ปาน ทำให้หนิงเมิ่งเหยาเริ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นมาเล็กน้อย