บทที่ 139 หัวหน้าหมู่บ้านควบตำแหน่งพ่อสื่อ
หนิงเมิ่งเหยาแกล้งเอาศอกกระทุ้งนาง “แล้วถ้าข้าแต่งงานจะทำไมรึ”
หยางเล่อเล่อนิ่งคิดไป จริงอยู่ว่าต่อให้หนิงเมิ่งเหยาแต่งงาน ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะมาหาหญิงสาวอีกไม่ได้
“โอ้ จริงด้วยสิ เหยาเหยา ข้าจะกลับไปทำงานเย็บปักแล้วนะ” หยางเล่อเล่อนึกขึ้นได้ นางทำสีหน้าจริงจังมองหนิงเมิ่งเหยา
ตลอดเวลามานี้นางใคร่ครวญว่าควรจะอยู่แต่กับบ้านแล้วแต่งงานเสียทีดีหรือไม่ หรือโลดแล่นอยู่ข้างนอกก่อนแต่งงาน นางชอบทางเลือกแบบหลังมากกว่า
นางได้เรียนอะไรมากมายข้างนอกบ้าน และอาจารย์ผู้สอนนางพูดถูกประการหนึ่ง ทำไมสตรีจะต้องพึ่งบุรุษเพื่อมีชีวิตต่อไปด้วยเล่า
อย่างท่านป้าลั่ว นางก็จัดการดูแลร้านรับซื้องานปักผ้าด้วยตัวเองคนเดียว เหยาเหยาเองก็ด้วย ก่อนนางจะมาเจอพี่ใหญ่เฉียว นางคือคนที่มีกิจการขนาดใหญ่ของตัวเอง
แล้วเหตุใดเล่อเล่อจะทำเช่นเดียวกันบ้างไม่ได้ นางยังไม่ได้คิดว่าจะก้าวไปทางไหนได้บ้าง แต่นางเพียงไม่อยากเสียใจภายหลัง
“เจ้าแน่ใจหรือ” หนิงเมิ่งเหยาพลอยทำหน้าจริงจังตาม
“ใช่ ข้าแน่ใจแล้ว ข้าคุยเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่แล้ว พวกเขาเคารพการตัดสินใจของข้า” หยางเล่อเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ นางซาบซึ้งใจต่อบิดามารดาของนางยิ่งนัก เพราะพวกเขาอดทนกับนางอยู่เสมอ คอยปล่อยให้นางทำทุกอย่างที่นางต้องการ
“ในเมื่อพวกเขาอนุญาต ข้าก็ไม่ว่าอะไรเหมือนกัน แล้วข้าจะขอให้ชิงซวงไปส่งเจ้า”
หลังจากทั้งสองคุยกันเสร็จ พวกนางนั่งตรงเตาย่าง เริ่มย่างเนื้อพลางสนทนากันไปด้วย ครั้งนี้เฉียวเทียนช่างไม่ได้มารบกวนพวกนาง เขาเพียงคุยกับนางหยาง
พวกเขาอยู่จนถึงดึก ในวันรุ่งขึ้น เฉียวเทียนช่างเข้าไปซื้อของใช้จำเป็นสำหรับพิธีหมั้นในเมือง
นางหยางกับหยางจู้ตามเขาไปด้วย
ตอนนางหยางไปซื้อของเป็นเพื่อนเขา นางแวะไปหาคนให้มาคำนวณดวงชะตาและฤกษ์มงคลของหนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่าง ปรากฏว่าอีกสองวันให้หลังนับเป็นวันมงคล เหมาะสมสำหรับการแต่งงาน
เฉียวเทียนช่างมองไปยังสิ่งต่างๆ ที่ตนซื้อมาแล้วนำทั้งกองไปไว้ที่บ้าน ปากเขาปรากฎรอยยิ้มบาง
อีกเพียงสองวันพวกเขาจะหมั้นกัน
เช้าตรู่วันที่เจ็ดของเดือนห้า เฉียวเทียนช่างไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านแล้วเชิญทั้งสองมายังพิธีหมั้นของตน ในเวลาสองวันมานี้ ทั้งหมู่บ้านได้ยินข่าวเรื่องหนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่างจะหมั้นหมายกัน โดยมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นพ่อสื่อ
ตามธรรมเนียมแล้ว ตระกูลของเฉียวเทียนช่างควรจะเป็นฝ่ายดูแลแขก ทุกคนจึงมากันก่อนเวลาเพื่อดูว่าพวกเขามีของขวัญกี่ชิ้น
ทว่าทุกคนต้องนึกริษยาพอเห็นของขวัญเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงสรรหาของขวัญวันหมั้นสวยหรูปานนั้นมา
เฉียวเทียนช่างยังเตรียมขนสัตว์จำนวนมาก เครื่องประดับทองและเงินคู่กันกับของขวัญหมั้น ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาชมชอบ
หลังจากนั้น พวกเขาก็แลกเปลี่ยนเกิงไท่[1]กัน แล้วทั้งสองก็หมั้นหมายต่อกันเป็นอันเรียบร้อย นางหยางช่วยเฉียวเทียนช่างเชิญแขกเหรื่อเข้ามาในบ้าน คนทำอาหารที่เฉียวเทียนช่างไปหามาเตรียมอาหารไว้พร้อมหมดแล้ว
จากนั้นทุกคนก็เริ่มกินอาหารท่ามกลางเสียงโห่ร้องของหยางจู้ มีจานทั้งหมดสิบเอ็ดจาน แต่ละจานเป็นเนื้อหรือไม่ก็ผัก
ผู้คนต่างอิจฉาหนิงเมิ่งเหยา พวกรู้สึกว่าตระกูลของเฉียวเทียนช่างนั้นมั่งคั่งร่ำรวย พวกคนที่ไม่เคยสนใจเขามาก่อนรู้สึกเสียดายกันถ้วนหน้า หนึ่งในนั้นคือนางเฉินนั่นเอง
แต่ก่อนตอนหยางชุ่ยชอบชายหนุ่มผู้นี้ นางเฉินไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งสอง ถ้านางเห็นด้วย บางทีภาพอันสวยงามตรงหน้านี้คงเป็นของพวกนางไปแล้ว แต่นี่กลับเป็นของหนิงเมิ่งเหยาและหยางจู้แทนเสียนี่
แม้หนิงเมิ่งเหยาจะไม่เกี่ยวข้องกับนางหยาง ทุกคนก็รู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หรือไม่แล้วเฉียวเทียนช่างคงไม่ขอให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นพ่อสื่อ
นางเฉินกินอาหารแล้วพูดถึงหนิงเมิ่งเหยาในแง่ร้าย ว่ากล่าวว่าหนิงเมิ่งเหยาหมั้นกับชายที่บุตรสาวของนางไม่เอา และไม่เห็นมีตรงไหนน่าภูมิใจ
นางเล่าไปอย่างสุขใจในขณะที่คนรอบข้างรู้สึกไม่ชอบใจนาง นางหมายความว่าอย่างไรกันเรื่องหมั้นกับชายที่บุตรสาวนางปฏิเสธ เห็นกันอยู่กับตาว่าชายคนนั้นต่างหากที่ไม่ต้องการบุตรสาวของนาง
นางคิดจริงๆ หรือว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้
“เหอ ดูของขวัญมากมายเหล่านี้ที่เฉียวเทียนช่างให้หนิงเมิ่งเหยาสิ แค่จำนวนชิ้นก็มากพอให้คนอิจฉาแล้ว อีกอย่าง ทำไมสิ่งที่เจ้าพูดต่างกับสิ่งที่เราได้ยินมานักเล่า ดูเหมือนว่าเฉียวเทียนช่างเป็นคนปฏิเสธลูกสาวของเจ้ามากกว่านะ” คนที่เอ่ยขึ้นมาคือผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ชอบนางเฉินเป็นอย่างมาก
ถ้อยคำไม่รื่นหูของนางยุนางเฉินให้เดือดดาล “หุบปาก”
“ช่างอวดเบ่งเสียจริง ข้ากลัวยิ่งนัก” น้ำเสียงในประโยคช่างหยิ่งผยองราวกับนางไม่กลัวแม้แต่น้อย
บทที่ 140 สร้างปัญหา
นางเฉินเกลียดนักเวลาคนพูดจาเช่นนี้ ในใจนาง บุตรของนางดีเยี่ยมที่สุดและเขาจะต้องได้ขึ้นเป็นขุนนางคนใหญ่คนโตแน่นอน
ท่าทางที่คนอื่นพูดถึงบุตรชายของนางนั้นเหมือนกำลังดูแคลนเขา แล้วนางจะทนได้อย่างไร
นางเฉินตบโต๊ะเสียงดังแล้วถลึงตาใส่พวกเขาก่อนจะขู่ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือให้เจ้าหุบปาก เฉียวเทียนช่างเป็นแค่ยาจกคนหนึ่ง จะให้ลูกสาวข้าแต่งกับเขาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
เสียงนางเฉินดังฟังชัด คนอื่นที่นั่งกินอาหารอยู่ใกล้ๆ เกือบพ่นอาหารออกมาเมื่อได้ยินนางเข้า
เฉียวเทียนช่างน่ะหรือกระยาจกไม่มีเงินติดตัว เครื่องประดับทองคำและเงินทั้งหมดนั่นมีค่ามหาศาลเลยไม่ใช่หรือ แล้วยังของขวัญหมั้นหมายอีกเล่า ทั้งหมดนั่นรวมกันน่าจะมีราคาประมาณหนึ่งร้อยหรือสองร้อยตำลึง แล้วยังไม่รวมพวกเหรียญเงิน ถ้าเขาคือยาจก เช่นนั้นก่อนหน้าที่หนิงเมิ่งเหยาจะเปิดโรงงาน พวกตนที่ไม่มีปัญญาซื้ออาหารกันด้วยซ้ำจะเรียกว่าอะไร
หยางจู้และคนอื่นกำลังกินอาหารกันเปรมปรีดิ์ สีหน้าพวกเขาก็น่าเกลียดทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของนางเฉิน
“นางเฉิน เจ้าโกรธเกลียดอะไรพวกเราหรือ” การแต่งงานครั้งนี้ถือว่าเกิดขึ้นได้เพราะเขา ดังนั้นคำพูดของนางเฉินถือว่าสบประมาทเขาอย่างชัดเจน
นางเฉินเกร็งขึ้นมาแล้วรีบส่ายศีรษะ “หัวหน้าหมู่บ้าน ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไร ถึงมาพูดจาเช่นนี้ในงานหมั้นของเฉียวเทียนช่าง ถ้าเจ้าไม่อยากกินก็กลับไปเสีย” หยางจู้เดือดดาล
ใครบ้างจะไม่เห็นด้วยว่าสองคนคู่หมั้นที่ยืนอยู่ข้างเขาไม่ใช่คู่สามีภรรยาในอุดมคติ นางเฉินมาสร้างเรื่องเช่นนี้ถือว่าตบหน้าเขาชัดๆ
สีหน้านางเฉินเปลี่ยนไป ดูน่าเกลียดนักขณะที่นางจ้องหยางจู้ แววตานางเหมือนอยากฆ่าหยางจู้เต็มแก่
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร เที่ยวมาสั่งข้า ข้าพูดผิดหรืออย่างไร ใครจะไปรู้ว่าเขาเอาเงินทองมาจากไหน” นางเฉินแสยะยิ้มพลางหันไปยังเฉียวเทียนช่างแล้วล้อเลียนเขา “เขาอาจจะขโมยมาก็ได้”
นางเฉินใจคับแคบนัก ตอนแรกนางคิดว่าคนอื่นจะเห็นด้วย แต่พวกคนที่ทำงานในโรงกลั่นเหล้าองุ่นต่างมองนางด้วยสายตาแปลกๆ “นางเฉิน แค่เพราะเจ้าโง่ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะโง่เหมือนเจ้านะ เทียนช่างมีส่วนร่วมกับกิจการที่เมิ่งเหยาเริ่มก่อตั้ง เจ้าคิดว่าเขาจะเอาเงินมาจากไหนเล่า เขาก็ได้มาอย่างสุจริตน่ะสิ”
“จริงด้วย ตอนเมิ่งเหยาเพิ่งเริ่มเปิดโรงงาน เขาช่วยอะไรตั้งเยอะ เมิ่งเหยาถึงให้ส่วนแบ่งเขา ผ่านมาได้สักพักใหญ่แล้ว เขาก็ต้องมีเงินสิ เห็นๆ กันอยู่” มีเพียงคนงานในโรงงานทำน้ำปรุงรสที่รู้ปริมาณการผลิตต่อวัน และรู้ว่าขายได้รายได้เท่าไร
นางเฉินมองเฉียวเทียนช่างอย่างไม่อยากเชื่อ นางไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้ไว้เลย ถ้านางรู้มาก่อน คงยอมให้บุตรสาวคบหากับเขาไปนานแล้ว แล้วนางก็จะได้มีโรงงานน้ำปรุงรสเป็นของตัวเอง ยิ่งคิดนางเฉินยิ่งเสียดาย
กลับกัน เฉียวเทียนช่างไม่ยอมปล่อยให้นางมีโอกาสเสียดายอะไรทั้งนั้น เขาเดินตรงเข้าไปหาแล้วมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าท่านมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา ก็ออกไปจากบ้านของข้าเสีย”
นางเฉินหัวเราะ “อะไรกัน เทียนช่าง พอตอนนี้เจ้าร่ำรวย เจ้าก็มาดูถูกคนอื่นอย่างนั้นรึ ลูกสาวข้าไม่ได้เลวร้ายตรงไหน ดีกว่าหนิงเมิ่งเหยาอีก เจ้าคิดดู…”
คำพูดนางเฉินช่างไร้สาระอย่างไม่ต้องสงสัย คนรอบตัวมองนางกันอย่างไม่อยากเชื่อหู
หญิงผู้นี้โดนฟาดหัวเสียสติมาหรืออย่างไร นางจึงกล้าพูดจาไร้สาระเพียงนี้ในเวลาเช่นนี้หน้าตาเฉย
“ข้าก็แค่ยาจก แต่ลูกสาวเจ้าน่ะหรือ ต่อให้เจ้ามอบนางให้ข้า ข้าก็ไม่ขอรับเศษขยะพรรค์นั้นหรอก” เฉียวเทียนช่างมองหน้ายิ้มแย้มของนางเฉินแล้วกล่าวเน้นทุกพยางค์ให้ชัดเจน
คำพูดเขาเปรียบดั่งมีดแหลม ทิ่มแทงใจนางเฉินโดยตรง
ทุกคนลอบขบขัน นางเฉินโดนเมินเสียแล้ว
“เทียนช่าง ลูกสาวข้าเป็นสาวงาม ในอนาคต นางก็จะเป็นน้องสาวของขุนนาง แต่งงานกับนางจะมีประโยชน์กับเจ้ามากกว่าแต่งกับหนิงเมิ่งเหยานัก” นางเฉินกล่าวอย่างน่ารังเกียจ
ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามและความหยิ่งผยองขอนางทำให้ทุกคนต้องขมวดคิ้ว
นางบังอาจพูดจาเช่นนี้ เรื่องบุตรชายนางจะเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตจริงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด แต่นางกล้าพูดว่าบุตรสาวนางจะกลายเป็นน้องสาวของยอดซิ่วไฉเชียวหรือ นางคิดว่าบุตรของนางสูงส่งปานนั้นเชียว
“ซิ่วไฉรึ คนแบบหยางฮว๋ายน่ะรึ ถ้าคนไร้ประโยชน์แบบหยางฮว๋ายได้เป็นยอดซิ่วไฉ องค์ฮ่องเต้ก็ตาบอดแล้ว”
[1] ใบที่บันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น