บทที่ 153 เคราะห์ไม่ดี
เฉียวเทียนช่างรีบเอาตัวเองไซ้หนิงเมิ่งเหยา “ย่อมได้ ดีเหลือเกินที่ได้กลับมา ข้าหิวโซนัก”
“ข้าจะไปขอให้ท่านยายฉินเตรียมอาหารให้เจ้ากิน” หนิงเมิ่งเหยาบอกด้วยรอยยิ้ม
ชิงเสวี่ยและคนอื่นรีบไปเตรียมน้ำอุ่นเมื่อพวกนางเห็นเฉียวเทียนช่าง หนิงเมิ่งเหยากลับเข้าไปข้างในบ้านเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่นางทำให้เขา
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ นางคร่ำเคร่งเย็บเสื้อผ้าให้เฉียวเทียนช่างไม่หยุด นางเย็บชุดไว้สิบชุด เสื้อผ้าตัวในและรองเท้าอีกจำนวนหนึ่ง
หนิงเมิ่งเหยานำเสื้อผ้าไปวางไว้ตรงฉากที่กั้นแยกจากส่วนของห้องน้ำ “เทียนช่าง ข้าวางเสื้อผ้าไว้ให้เจ้าตรงนี้นะ”
“เข้าใจแล้ว”
เฉียวเทียนช่างรีบอาบน้ำแล้วออกมา เขาเห็นเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าและเสื้อตัวในชุดใหม่วางอยู่บนโต๊ะ
ขณะเอื้อมไปหยิบเสื้อผ้าพวกนั้น ใบหน้าเขาก็เปื้อนยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำชุดให้เขา
เขารีบใส่เสื้อผ้ากับรองเท้า แล้วเดินออกไปทั้งสภาพปล่อยผมสยาย
“เป็นอย่างไรบ้าง พอดีตัวเจ้าหรือไม่” เมื่อเห็นเขา หนิงเมิ่งเหยาก็ไถ่ถาม
เสื้อผ้าเป็นสีฟ้าสดใสปักลายสวยงาม รองเท้าก็เข้ากับชุด ทั้งตัวเขาจึงดูเข้ากันยิ่งนัก
“พอดีตัวมากเลย” เฉียวเทียนช่างขยับตัวเล็กน้อยแล้วไม่รู้สึกติดขัดตรงไหนแต่อย่างใด
“ดีแล้ว ข้ายังทำชิ้นอื่นไว้ให้เจ้าอีก เจ้าค่อยเอาตอนจะกลับไปก็ได้ ข้าเห็นว่าเจ้ามีเสื้อผ้าไม่เยอะเท่าไร” หนิงเมิ่งเหยาช่วยท่านยายฉินตั้งโต๊ะพลางพูดกับเขาอย่างสุขใจ
หนิงเมิ่งเหยาเห็นว่าที่นางทำเป็นเรื่องธรรมดานัก ทว่าเฉียวเทียนช่างกลับประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ดีใจยิ่ง
ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีอะไรเช่นนี้
เฉียวเทียนช่างไม่สนใจว่าใครอยู่ตรงนั้นบ้าง เขาเดินเข้าไปยืนด้านข้างหนิงเมิ่งเหยาแล้วโอบกอดเอวนางจากข้างหลัง ใบหน้าเขามีรอยยิ้มชื่นมื่น “ดีเหลือเกินที่มีเจ้าอยู่ เหยาเหยา”
“เป็นอะไรของเจ้าน่ะ”
“ไม่มีอะไร” เฉียวเทียนช่างส่ายศีรษะ
เขารู้สึกอุ่นใจ รู้สึกเป็นสุข ชายหนุ่มไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
“เอาล่ะ มา รีบกินเสีย หลังกินเสร็จเจ้าจะต้องพักเสียหน่อย” หนิงเมิ่งเหยาลูบมือใหญ่บนเอว แล้วให้เขาคลายอ้อมกอด
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะแล้วนั่งลงข้างๆ นาง ระหว่างมื้ออาหารที่ท่านยายฉินเป็นผู้เตรียม เขาชมเปาะ “อาหารท่านยายฉินอร่อยที่สุดเลย” เฉียวเทียนช่างพึงพอใจยิ่งนัก
“ถ้านายท่านชอบ ข้าจะทำให้ท่านกินทุกวันเลย” ท่านยายฉินดีอกดีใจ นางมองสีหน้าตะกละของเฉียวเทียนช่างแล้วอดหัวเราะมิได้
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะลง “ขอบคุณท่านยายฉินยิ่งนัก”
หลังกินเสร็จ หนิงเมิ่งเหยามองเขาด้วยความสงสัย “เจ้าหายไปทำอะไรมาตั้งนาน”
“ในตอนแรก ข้าควรจะได้กลับมาเร็วกว่านี้สักครึ่งเดือน แต่แผนของข้าโดนคนทำพัง ข้าเลยกลับมาช้า” จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องค่ายโจรให้หนิงเมิ่งเหยาฟัง
พวกโจรมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียวจริง หรือพูดให้ถูกก็คือโจรพวกนั้นมาจากตระกูลเฉียว
หนึ่งในกลุ่มโจรคือผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉียวเจิ้งหง ในตอนนั้น เฉียวเจิ้งหงเหมือนจะขับไล่เขาออกไปแล้ว และคนผู้นั้นคือหัวหน้าโจร
พวกเขาเจอจดหมายที่เขียนโต้ตอบกับเฉียวเจิ้งหงในห้องของคนผู้นั้น ดูท่าแล้วครั้งนี้เฉียวเจิ้งหงจะไม่โดนเพียงลดขั้น
ก่อนหน้านี้ไม่มีหลักฐาน แต่บัดนี้ฮ่องเต้มีหลักฐานว่าเฉียวเจิ้งหงเกี่ยวข้องกับพวกโจรอยู่ในมือ ครั้งนี้ต่อให้เขาหนีโทษตายได้ ก็ย่อมโดนลงโทษด้วยวิธีอื่น
“เขาหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ” หลังได้ฟัง หนิงเมิ่งเหยาก็พูดได้เพียงเท่านี้
เฉียวเทียนช่างยิ้มเย้ย “เขามั่นใจในตัวเองเกินไป คิดว่าคนอื่นจะไม่มีวันค้นพบเรื่องนี้ หรือไม่ต่อให้เขาโดนเปิดโปงก็คงไม่มีใครทำอะไรเขาได้ เพราะจะอย่างไรตัวเขาก็ทำคุณความดีไว้มากมาย”
“แบบนี้นี่เอง ข้าเกรงว่าครั้งนี้เขาจะเคราะห์ไม่ดีนัก” โชคดีที่ในครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ไม่เช่นนั้นต่อให้มีหลักฐานก็ตาม แต่สถานการณ์อาจจะยุ่งยากทีเดียว
“ถูกต้อง”
เซียวชวี่เฟิงเห็นหลักฐานในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วเดือดดาลอย่างที่สุด
เมื่อเฉียวเจิ้งหงได้เห็นหลักฐาน หน้าเขาซีดเซียว เป็นไปได้อย่างไรกัน เขาไม่ได้รับข่าวคราวเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว เกิดอะไรขึ้นกัน
“แม่ทัพเฉียว เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น” เซียวชวี่เฟิงโยนบันทึกในมือใส่เฉียวเจิ้งหง
บทที่ 154 เฉียวเจิ้งหง คนไร้ยางอาย
เฉียวเจิ้งหงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วลดระดับสายตาลง หนนี้เขาจบสิ้นแล้ว
“ฝ่าบาท ได้โปรดตรวจสอบดูให้ถี่ถ้วน เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย” แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคิดจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ เขาหาเหาให้ตัวเองโดยแท้
เซียวชวี่เฟิงกล่าวเสียงดังฟังชัด “แม่ทัพเฉียว เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าทำพลาดเช่นนั้นหรือ”
“หาได้ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“แต่จากที่ข้าเห็น การกระทำของเจ้าบอกเช่นนั้น”
เมื่อเห็นว่าเซียวชวี่เฟิงโกรธเกรี้ยวเพียงใด เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ตรงนั้นล้วนไม่กล้าเอ่ยปากส่งเสียง แต่ละรายเพียงก้มหน้าก้มตาฟัง
“ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าให้ร้ายทำลายชื่อเสียงเจ้า เช่นนั้นก็มาดูสิ่งอื่นกันเสียหน่อย” ขณะที่เขากล่าว มีคนนำเอาหลักฐานที่แจกแจงชัดเจนว่ามีการแลกเปลี่ยนระหว่างเขากับอีกฝ่าย
เมื่อเห็นหลักฐานนั้น สิ่งแรกที่เฉียวเจิ้งหงคิดคือของพวกนั้นเป็นของปลอม แต่จากนั้นเขาก็คิดว่าเซียวชวี่เฟิงไม่มีทางหลอกเขาด้วยหลักฐานเท็จ ดังนั้นหลักฐานพวกนี้ต้องเป็นของจริง
“แม่ทัพเฉียว เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” เซียวชวี่เฟิงมองเฉียวเจิ้งหงแล้วซักถาม ดวงตาเขาวาวโรจน์ด้วยโทสะ
เฉียวเจิ้งหงไม่มีอะไรจะพูด ในเวลานั้นเอง ลี่เฉิงก้าวออกมา “ฝ่าบาท สิ่งที่แม่ทัพเฉียวกระทำนั้นเกินให้อภัย ในฐานะแม่ทัพแล้ว เขากลับสุมหัวกับพวกโจร แล้วทำการกดขี่ชาวบ้าน เขาจะต้องรับโทษสถานหนัก หากไม่แล้วอาจจะเกิดเหตุซ้ำอีกในวันหน้า แล้วชีวิตของผู้คนจะเป็นอันตราย”
“นายท่านลี่พูดถูก”
“ฝ่าบาท พระองค์จะต้องลงโทษเขาขั้นรุนแรง”
เซียวชวี่เฟิงซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มาตลอดมองสถานการณ์ตรงหน้า สีหน้าเขายากจะคาดเดา จนสุดท้ายเขาก็ยกมือขึ้น ทุกคนเงียบเสียงลง
“เฉียวเจิ้งหง เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าได้กระทำผิด”
“กระหม่อมทราบพ่ะย่ะค่ะ” เฉียวเจิ้งหงกำหมัดแน่นกดไว้บนพื้นพร้อมกัดฟันกรอด
เซียวชวี่เฟิงแสยะปากไปยังเฉียวเจิ้งหง “ดี ข้าจำเป็นต้องถอดยศแม่ทัพของเจ้า และยึดจวนแม่ทัพของเจ้า ตระกูลเฉียวจะต้องย้ายออกไปทันที”
เฉียวเจิ้งหงดวงตาเบิกโพลง เขาไม่คิดว่าเซียวชวี่เฟิงจะเลือกถอดเขาจากตำแหน่งแม่ทัพโดยตรง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป “ฝ่าบาท เฉียวเทียนช่างเองก็เป็นแม่ทัพ และเขาต้องอยู่ในจวนแม่ทัพเช่นกัน” แม้จะกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม ทว่าทุกคนต่างทราบดีว่าเขาหมายถึงอะไรแน่ เขาไม่พอใจกับการตัดสินใจของเซียวชวี่เฟิง
“เฉียวเทียนช่างจากเมืองหลวงไปนานแล้ว บัดนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และครั้งสุดท้ายที่ข้าพบเขา เขาบอกไว้แล้วว่าไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเฉียวอีก” เซียวชวี่เฟิงเพียงกล่าวข้อเท็จจริง
ทุกคนในห้องต่างจำได้ว่าสีหน้าเฉียวเจิ้งหงอัปลักษณ์เพียงใดในนาทีที่เฉียวเทียนช่างขึ้นเป็นแม่ทัพ
ในตอนนั้น เฉียวเทียนช่างเพียงมองคนที่ก่นด่าเขาไม่หยุดด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าชายหนุ่มสงบนิ่งขณะที่ตัวเขารอให้อีกฝ่ายสบถสาบานจบสิ้น หลังจากนั้นเขาก็ตัดสัมพันธ์กับบิดา เฉียวเจิ้งหงคนนี้ ณ ท้องพระโรง และได้ประกาศก้องว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับชายผู้นี้อีกต่อไป
ตอนนั้นเฉียวเจิ้งหงหาได้แยแส ทว่าตอนนี้เขากำลังจะสูญเสียทุกอย่าง จึงกล้าใช้เฉียวเทียนช่างคุ้มหัวตัวเอง นับว่าน่าละอายยิ่งนัก
หลังจากตัดสัมพันธ์กับเฉียวเจิ้งหง วันรุ่งขึ้นเฉียวเทียนช่างก็หายตัวไป เป็นไปได้ว่ามีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ว่าเขาไปไหน
สีหน้าเฉียวเจิ้งหงบิดเบี้ยว ดูน่าชังอยู่บ้าง
“ฝ่าบาท แม้สิ่งที่แม่ทัพเฉียวทำจะเกินรับได้ แต่เขาก็มีคุณงามความดี…”
“ท่านราชครูหลิน ท่านกำลังบอกว่าบทลงโทษของข้ารุนแรงไปเช่นนั้นหรือ เรามีขุนนางในราชสำนักสมคบกับฝูงโจร ท่านคิดว่าความผิดนี้ร้ายแรงเพียงใดกัน” เซียวชวี่เฟิงย้ายสายตามาจับจ้องที่หน้าของราชครูหลิน แล้วเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่มนวล
สีหน้าราชครูหลินแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็รีบก้มศีรษะลง เฉียวเจิ้งหงเป็นบุตรเขยของเขา เขาถึงได้พยายามแก้ต่างให้ แต่ตอนนี้…เปรียบได้กับเขาเพิ่งเลื่อยขาเก้าอี้ของตัวเองไปด้วย
ถ้ามีขุนนางสมคบคิดกับพวกโจร ผลที่ตามมาคือตัดหัวขุนนางผู้นั้นสามชั่วโคตร ตอนนี้ฮ่องเต้เพียงยึดตำแหน่งและจวนไป นับว่าเป็นบทลงโทษที่เบายิ่งนักแล้ว
“โอ้ พระองค์…”
“พอแล้ว ถ้าพวกเจ้าคิดว่าบทลงโทษนี้รุนแรงเกินไป เช่นนั้นข้าขอให้พวกเจ้าดูสิ่งนี้” เซียวชวี่เฟิงโยนหนังสือเล่มเล็กลงบนพื้น ข้างในบันทึกการสมคบคิดกันระหว่างเฉียวเจิ้งหงและพวกโจร ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกโจรปล้นมาได้ถูกส่งไปที่จวนตระกูลเฉียว
หนังสือเล่มนั้นถูกส่งต่อผ่านมือไปเป็นทอดๆ หลังจากได้อ่าน สีหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนไป เหล่าคนที่อยากจะช่วยพูดให้เฉียวเจิ้งหงเมื่อครู่พากันเงียบปาก
เฉียวเจิ้งหงไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นอะไรในนั้น เขาเริ่มเป็นกังวล