บทที่ 173 มันต้องเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม
ไม่ว่าจะมองในมุมไหน มันก็ดูผิดปกติเสียจริง แต่สุดท้ายแล้วเหลยอันก็ต้องยอมรับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาคือคนที่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยา ทั้งยังเคยได้ยินว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองหมั้นหมายกันไว้แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะแต่งงานกัน
“เราต้องเตรียมหาของขวัญวันแต่งงานให้กับนายท่านของเรานะ” เหลยอันเอ่ยพลางลูบคางของตนเอง
“นั่นสิ”
เมื่อพวกเขากำลังตกลงกันว่าจะเตรียมอะไรให้เป็นของขวัญ เซียวฉีเทียนก็ตรงไปยังบ้านของเฉียวเทียนช่าง “ทำไมกัน เจ้าช่างรีบร้อนเสียจริง”
เขามองหนิงเมิ่งเหยาที่อยู่ข้างๆ โดยในมือของนางนั้นถือผ้าสีแดงที่กำลังตัดเย็บเป็นชุดแต่งงานอยู่ เซียวฉีเทียนถึงกับร้องออกมาอย่างไม่ชอบใจ
“เจ้าอิจฉาหรือนี่” เฉียวเทียนช่างมองดูเขาอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะเปล่งเสียงออกทางจมูก
‘ชายผู้นี้จะมาขัดขวางอะไรกับการแต่งงานของเขากัน
“เมิ่งเหยา เจ้าต้องควบคุมเขาบ้างนะ” เซียวฉีเทียนพูดจาเหน็บแนม ‘ชายที่กำลังจะแต่งงานในไม่ช้านั้น ช่างเป็นคนที่จัดการได้ยากเสียจริงเชียว’
หนิงเมิ่งเหยาโบกมืออย่างช่วยไม่ได้ “ข้าควบคุมเขาไม่ได้หรอก” ตั้งแต่หญิงสาวตกลงจะแต่งงานกับชายหนุ่ม เขาก็เริ่มทำตัวเป็นคนสติไม่ดีที่หัวเราะร่าทั้งวัน และทุกวัน เขายังมานั่งอยู่ข้างๆ อีกด้วย เมื่อเขามองดูงานปักเย็บเสร็จสิ้นด้วยสายตาอันคลุมเครือนั้น ก็ทำให้นางอยากจะปลุกเขาให้ตื่นด้วยการจับโยนลงในบ่อน้ำเสียจริงเชียว
“เขาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เซียวฉีเทียนมองท่าทางเซ่อซ่าของเฉียวเทียนช่างอย่างงุนงง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาอีกว่า “ข้าคุ้นเคยกับท่าทีอันเยือกเย็นของเขามากกว่า”
เฉียวเทียนช่างกวาดสายตาอันแหลมคมมามองเขา “หากเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ”
เซียวฉีเทียนหัวเราะ “ใช่เลย นี่แหละคือบุคลิกที่เจ้าควรจะเป็น”
“ข้าไม่เจอท่านมานาน แต่ท่านก็ยังคงเหมือนเดิมเลยนะขอรับ” มีเสียงนุ่มๆ ดังขึ้นมาจากทางประตูบ้าน
ทั้งสามคนจึงหันไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นชายในชุดแดงยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขารู้สึกงุนงง “เจ้ามาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย”
“หากท่านมาที่นี่ได้ แล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้เล่า” ชายคนนั้นเดินเข้ามาและหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวฉีเทียน ก่อนจะถามพร้อมกับรอยยิ้ม
เซียวฉีเทียนหันไปมองเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง เจ้าเชิญคนนิสัยเสียผู้นี้มาที่นี่หรือเปล่า”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ เซียวฉีเทียน” ดวงตาของชายผู้นั้นกระตุกเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขายังคงดูสุขุม ถึงกระนั้นเอง เซียวฉีเทียนก็ยังคงจ้องมองเขาอย่างเย็นชา
“ข้ามิได้พูดอะไรเสียหน่อย”
“เขาบอกว่าเจ้าเป็นคนนิสัยเสียน่ะ” เฉียวเทียนช่างเอ่ยอย่างเป็นกันเอง ดูเหมือนว่าเขาจะสนุกที่ได้เห็นอีกฝ่ายต้องพบเจอโชคร้าย
เซียวฉีเทียนขบฟันกรอดและหันไปมองชายหนุ่ม “หากเจ้าไม่พูด แล้วจะตายหรือเช่นไรกัน”
“ก็ไม่นะ”
“นายท่าน นี่คือพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเราเช่นนั้นหรือขอรับ” ชายในชุดแดงจ้องเซียวฉีเทียนอย่างเยือกเย็น จากนั้นจึงหันไปมองหนิงเมิ่งเหยาซึ่งกำลังเย็บปักชุดแต่งงานของตนเองอยู่
แม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะมิได้ดูเย้ายวนใจนัก แต่นางก็งดงามอย่างยิ่ง อีกทั้งกริยาท่าทางของนางก็ราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน
“ใช่แล้ว เหยาเหยา นี่คือที่ปรึกษากองทัพของพวกเรา มีนามว่าหลินจือโยว ส่วนจือโยว นี่คือคู่หมั้นของข้า นามว่าหนิงเมิ่งเหยา” เฉียวเทียนช่างแนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
“พี่สะใภ้ เป็นเช่นไรบ้างเล่า นี่คือของขวัญสำหรับท่านและนายท่านนะ” เขาเอ่ยขึ้นพลางวางกล่องใบหนึ่งลงบนโต๊ะ
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอื้อมไปหยิบกล่องใบนั้นมา ก่อนจะพบว่ามีหยกดูดีอย่างมากคู่หนึ่งอยู่ด้านใน “ขอบคุณมาก”
“ไม่ต้องเกรงใจ แต่พี่สะใภ้ ท่านรู้สึกเช่นไรหรือเวลาต้องพบหน้ากับชายผู้เย็นชาอย่างนายท่านของพวกเรา ท่านทนเขาได้เช่นไรกัน และท่านควรรู้ไว้ว่าเขานั้นเป็นคนที่พูดได้ไม่เกินห้าประโยคต่อวันเท่านั้น” หลินจือโยวรู้สึกฉงนใจอย่างยิ่ง
เมื่อเฉียวเทียนช่างอยู่กับพวกเขา ชายหนุ่มจะเป็นคนเงียบขรึม พวกเขาจึงคิดไปเองกันว่าเขาคงจะต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่เฒ่า แต่ใครจะคาดคิดว่าเขากำลังจะแต่งงานแล้ว ช่างเป็นข่าวใหญ่สำหรับทุกคนจริงๆ
หนิงเมิ่งเหยามองหลินจือโยวอย่างงุนงง “เขาเป็นคนดีมากเลยทีเดียวนะ” เพราะเวลาชายหนุ่มอยู่กับหญิงสาวนั้น เขาพูดคุยกับนางเยอะแยะไปหมด
“ดีมากเลยเช่นนั้นหรือ โปรดอธิบายคำนี้เพิ่มเติมหน่อยได้หรือไม่เล่า”
หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิด ก่อนจะตอบอย่างจริงจัง “เขาทำอาหารและของว่างมาให้ข้า และยังทำสิ่งต่างๆ ตามที่ข้าต้องการอีกด้วย”
ทุกถ้อยคำจากหญิงสาวนั้นทำให้ชายทั้งสองคนมองเฉียวเทียนช่างอย่างแปลกประหลาด
“ทำอาหารให้เจ้ารึ”
“ทำของว่างให้เจ้าด้วยเช่นนั้นรึ”
เซียวฉีเทียนและหลินจือโยวไม่อยากจะเชื่อในคำพูดเหล่านั้น ‘ชายผู้แข็งแรงกำยำอย่างเฉียวเทียนช่างน่ะหรือ จะรู้วิธีการทำอาหารและของว่าง มันต้องเป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน จริงไหม’
“แม่นาง เจ้าแน่ใจหรือว่าของว่างที่นายท่านทำนั้นสามารถกินได้จริง” หลินจือโยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะ “กินได้สิ แถมรสชาติยังอร่อยมากด้วยนะ”
‘กินได้เช่นนั้นหรือนี่ และอร่อยอีกด้วย’ หลินจือโยวมั่นใจอย่างยิ่งว่าตัวเองคงฟังผิดไป
บทที่ 174 ยังไม่ตื่นนอน
เซียวฉีเทียนนั้นอยู่ใกล้ๆ กับเฉียวเทียนช่าง เขามองดูชายหนุ่มแบบหัวจรดเท้าด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ที่เมิ่งเหยาพูดมานั้นเป็นความจริงหรือ เจ้ามิได้รู้แค่วิธีการทำอาหาร แต่ยังทำขนมเป็นอีกด้วยหรือนี่” ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซียวฉีเทียนก็ยังรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่ออยู่ดี
แต่จะกล่าวโทษที่เขาไม่ยอมเชื่อก็ไม่ได้หรอก เพราะนั่นมิใช่เฉียวเทียนช่างในแบบที่พวกเขารู้จักเลย
‘เฉียวเทียนช่างนั้นเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก หากเขาจะต้องทำใจเชื่อว่าชายกำยำผู้นี้เข้าครัวทำอาหาร ก็คงเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่าการขึ้นสวรรค์เสียอีก คำพูดนั่นคงเป็นเพียงเสียงแว่วหลอนเข้ามาให้ได้ยินเท่านั้น’
“เจ้ามีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ” เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้วขณะหันหน้ามามองอีกฝ่าย ‘การทำอาหารและขนมนั้นแปลกตรงไหนหรือ ทำไมเจ้าจะต้องมีปฏิกิริยาใหญ่โตขนาดนั้นด้วยเล่า’
เซียวฉีเทียนรีบส่ายศีรษะ “ไม่หรอก ข้าแค่คิดว่าที่เมิ่งเหยาเอ่ยเช่นนั้น เพื่อไม่ให้เจ้าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงน่ะ”
“ข้าคิดว่าอาจจะจริงตามนั้นนะ” หลินจือโยวผงกศีรษะและสนับสนุนให้กับคำพูดของเซียวฉีเทียน
“เห็นไหมว่าข้ามิใช่เพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ อย่างน้อย…เจ้าก็น่าจะให้เราได้ลิ้มรสฝีมือเจ้าบ้าง แล้วพวกเราถึงจะเชื่อเจ้าน่ะ” เซียวฉีเทียนยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปทั่ว
เฉียวเทียนช่างมองท่าทีอันน่าไม่อายของอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น “เจ้าละเมออยู่หรือไร” ‘คิดว่าเขาเป็นใครกัน เขาคงจะฆ่าคนๆ นั้นทิ้งมากกว่าจะทำอาหารให้เขากินเสียอีก’
“เอ่อ…แต่เราเป็นพี่น้องกันนะ”
“แล้วมันทำไมหรือ” เฉียวเทียนช่างไม่สนใจ ‘พวกเขาเป็นพี่น้องกันแล้วจะทำไม พี่น้องนั้นเทียบอะไรกับภรรยาได้เล่า’
“เจ้า…”
หนิงเมิ่งเหยานั่งอยู่ข้างๆ และมองดูชายหนุ่มทั้งสามโต้เถียงกัน ก่อนจะยิ้มออกมา ‘พวกเขามีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดีจริงเชียว…’
เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาทานอาหารเที่ยงด้วยกัน เซียวฉีเทียนและหลินจือโยวต่างมองอาหารบนโต๊ะ จนในที่สุดหลินจือโยวนั้นก็เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ไอ้หยา ถ้านายท่านเป็นคนทำอาหารจานนี้นะ”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะท้องเสียหรือ” เซียวฉีเทียนพูดโดยที่ข้าวยังเต็มปาก
หลินจือโยวยิ้ม “ข้ารอให้เจ้ากินก่อน หากเจ้าไม่เป็นไร ข้าค่อยกินตาม”
เฉียวเทียนช่างเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจพวกเขา จากนั้นจึงหยิบจานให้หนิงเมิ่งเหยา และเริ่มกินข้าวของตนเอง โดยเมินเฉยต่อชายหนุ่มทั้งสองคน
ความใกล้ชิดของคู่รักคู่นี้ ทำให้หลินจือโยวและเซียวฉีเทียนกะพริบตามองพวกเขานิ่ง เฉียวเทียนช่างเริ่มอดไม่ไหว จึงโยนชามข้าวของตนลงบนโต๊ะ และเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “หากเจ้าไม่คิดจะกิน ก็จงกลับไปเสีย”
“กิน เราจะกิน เราจะกินเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
เฉียวเทียนช่างไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป “หากพวกเจ้ากินเสร็จแล้ว ก็ไปให้ไกลจากข้าเลยนะ แล้วอย่ามารบกวนพวกเราที่นี่อีก”
“นายท่าน อย่าใจแคบกับเหล่าสหายของท่านเลยขอรับ” หลินจือโยวมองชายหนุ่มอย่างเศร้าสร้อย
เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้วขึ้นและพูดอย่างโผงผาง “ไม่”
“ข้าไม่รู้เลยว่าพี่สะใภ้อดทนกับท่านได้เช่นไรกัน” หลินจือโยวงุนงง
หนิงเมิ่งเหยามองดูพวกเขากำลังเอ่ยถึงตนเองอยู่ จึงอดที่จะพูดบ้างไม่ได้ “พวกเจ้าพูดเรื่องของพวกเจ้าไปเถิด อย่าดึงข้าเข้าไปในบทสนทนาของพวกเจ้าเลย”
“พี่สะใภ้ ข้ามิได้ตั้งใจนะ” หลินจือโยวรีบตอบกลับโดยไว
“ข้ารู้” หนิงเมิ่งเหยาตอบอย่างเสียไม่ได้ จนในที่สุด หญิงสาวก็เดินตามชิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ไปยังบ่อน้ำ เพื่อให้เหล่าชายหนุ่มมีพื้นที่พูดคุยกันอย่างสะดวก
หลังจากเฉียวเทียนช่างเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาจากไป จึงเอ่ยถาม “พูดมาเถอะว่าพวกเจ้ามีธุระอะไรถึงมากันที่นี่”
หลินจือโยวอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะและยิ้มอย่างเย็นชา
เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ก็รู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“พูดออกมาเถิด”
“นายท่าน ข้าคิดว่าท่านไม่ควรจัดงานแต่งงานให้ยิ่งใหญ่เกินไปดีกว่านะขอรับ”
เฉียวเทียนช่างขมวดคิ้ว ‘เขาหมายความว่าอะไรกัน ที่บอกว่าอย่าจัดงานแต่งงานให้ยิ่งใหญ่เกินไปนัก’
“ครั้งนี้ เฉียวเจิ้งหงส่งตัวเฉียวเทียนอวี๋ และสั่งให้เขานำตัวท่านกลับไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ต่อให้จะต้องลักพาตัวท่านออกมา เขาก็จะต้องทำขอรับ” หลินจือโยวอธิบาย
เฉียวเทียนอวี๋นั้นเป็นคนที่มีความสามารถใช้ได้เลยทีเดียว แต่โชคร้ายนักที่เฉียวเจิ้งหงเพิกเฉยต่อพรสวรรค์ของเขา ในท้ายที่สุด เฉียวเทียนอวี๋ก็ตกเป็นเบี้ยในน้ำมือของเฉียวเจิ้งหงจนได้