บทที่ 195 ค่อยๆ ซึมซับความทรมาน
หนุ่มสาวทั้งสองคนต่างไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล หนิงเมิ่งเหยาจึงไม่จำเป็นต้องตื่นเช้ามาทำพิธียกชงชา ทำให้หญิงสาวสามารถนอนหลับอย่างสงบภายใต้อ้อมกอดของเฉียวเทียนช่าง
เมื่อท้องนภาเริ่มส่องแสงสว่างมากขึ้น ชายหนุ่มจึงตื่นนอน ก่อนจะเห็นว่าหญิงสาวในอ้อมกอดของตนนั้นยังไม่อยากตื่น เขาจึงมองดูนางด้วยแววตาแห่งความรักใคร่ ‘มันช่างวิเศษนักที่หญิงสาวสามารถหลับใหลอย่างสบายใจได้เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะกำลังจ้องมองนางอยู่ก็ตาม’ ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม
เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ตื่นขึ้นมา จึงตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกเจ้าบ่าวคนใหม่มอมเหล้า จากนั้นพวกเขาก็มีหน้าตาคร่ำเคร่ง ‘ทั้งๆ ที่คนในกลุ่มของพวกเขานั้นมีจำนวนมาก แต่ก็ยังคงถูกคนๆ เดียวมอมจนเมาหมดสติได้ ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก’
ดังนั้นพวกเขาจึงคิดวางแผน ก่อนจะเดินมาตรงประตูห้องหอของคู่แต่งงานใหม่ แต่ทว่าบ่าวสาวยังไม่ตื่นนอน ทำให้มู่เฉิน อวี้เฟิง และคนอื่นๆ รู้สึกเจ็บใจ ‘ชายอื่นได้พรากน้องสาวที่พวกเขาคอยฟูมฟักดูแลไปแล้ว’
อวี้เฟิงและมู่เฉินสบตากัน ก่อนจะเคาะประตูพร้อมกัน “ตื่นได้แล้ว! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว อย่ามัวแต่หลับสิ”
หลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูนั้น หนิงเมิ่งเหยาก็ซุกศีรษะของตนเองในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่าง เพื่อจะได้ปิดกั้นเสียงรบกวนจากภายนอก
เฉียวเทียนช่างช่วยปิดหูให้หญิงสาว ไม่ปล่อยให้เสียงส่งไปถึงโสตประสาทของนาง
เมื่อนางผล็อยหลับไปอีกครั้ง เฉียวเทียนช่างจึงสวมเสื้อผ้าที่อยู่ตรงด้านข้าง โดยไม่หวีผมเผ้า ชายหนุ่มดูหงุดหงิดใจอย่างยิ่งขณะกำลังเดินออกจากห้อง
“เจ้าคิดจะปลุกใครกัน” ‘พวกนี้ไม่ยอมปล่อยให้ผู้อื่นนอนหลับพักผ่อนในยามเช้า หนำซ้ำยังส่งเสียงดังรบกวนอีก’
“เสี่ยวเหยาเอ๋อร์อยู่ไหนรึ” อวี้เฟิงมองด้านหลังของเฉียวเทียนช่าง
ใบหน้าคร่ำเคร่งของชายหนุ่มยิ่งดูถมึงทึงกว่าเก่า “ทำไมเจ้าจึงเป็นห่วงภรรยาของข้านัก แน่นอนว่านางกำลังนอนหลับอยู่น่ะสิ”
“เจ้าปีศาจร้าย! เจ้าทรมานเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ของเรามากเพียงใดกันนะ” อวี้เฟิงเด้งตัวขึ้นในทันใด พวกเขาต่างรู้ดีว่าเสี่ยวเหยาเอ๋อร์เป็นคนตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วตอนนี้หญิงสาวจะนอนหลับอยู่ได้เช่นไรกัน เว้นเสียแต่ว่าชายผู้นี้ไม่ยอมปล่อยให้นางได้หลับได้นอนจนดึกดื่น
เฉียวเทียนช่างปิดประตูด้านหลังและมองอวี้เฟิงอย่างดูหมิ่น “เจ้าพูดเช่นนั้นโดยไม่ละอายปากเลยหรือ เจ้ากล้าพูดหรือไม่เล่าว่าวันที่เจ้าแต่งงานนั้น เจ้าไม่ได้จับต้องภรรยาของเจ้าทั้งคืนน่ะ”
อวี้เฟิงไม่อาจโต้เถียงได้ เพราะตอนที่เขากับเหมยรั่วหลินแต่งงานกันนั้น ภรรยาของเขาต้องนอนอยู่บนเตียงถึงสองวัน หนำซ้ำเขาเองยังถูกต่อยอีกด้วย เขาจึงไม่มีสิทธิ์ไปพูดอะไรกับชายผู้นี้ได้จริงๆ
เมื่อเฉียวเทียนช่างเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอวี้เฟิงนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม “เจ้าเองก็เคยทำเช่นนี้มาก่อน แล้วมีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนั้นกับข้าเล่า”
“ฮ่าๆ” เดิมที หัวใจของมู่เฉินนั้นปวดร้าวก็จริง แต่หลังจากได้ยินชายทั้งสองคนนี้โต้เถียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของอวี้เฟิงแล้ว เขาจึงหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
มันช่างน่าขำนัก เมื่อเขาคิดถึงวันที่อวี้เฟิงและเหมยรั่วหลินแต่งงานกัน และนางต้องนอนอยู่บนเตียงถึงสองวันแล้วนั้น เขาก็หยุดหัวเราะไม่ได้
“ทำไมเจ้าไม่หัวเราะจนตายไปเลยเล่า” อวี้เฟิงขบฟันกรอด
มู่เฉินหุบยิ้ม “อย่าห่วงเลย ถึงเจ้าจะตาย แต่ข้าไม่ยอมตายหรอก”
เฉียวเทียนช่างไม่มีเวลามาฟังพวกเขาพูดจาไร้สาระ
“หลีกไป” เฉียวเทียนช่างผลักชายทั้งสองคนออก ก่อนจะเดินเข้าห้องครัว
ทุกคน รวมถึงผู้ที่เพิ่งมาถึงอย่างเซียวฉีเทียนและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกฉงนใจเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินไปในครัว
พวกเขายืนอยู่ตรงประตูของห้องครัว พลางมองเฉียวเทียนช่างเริ่มก่อไฟเพื่อทำข้าวต้ม และหยิบแป้งออกมาเพื่อทำขนม พวกเขาต่างคิดว่านี่คงเป็นภาพหลอน เขารู้วิธีการปรุงอาหารจริงๆ ด้วย
เฉียวเทียนช่างทำแต่ละขั้นตอนด้วยความพิถีพิถัน เสมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอาหาร
อวี้เฟิงได้กลิ่นหอมละมุน ก่อนจะเอ่ยถาม “ทำเผื่อพวกเราด้วยใช่หรือไม่”
“ไม่” เฉียวเทียนช่างฟังคำถามของอวี้เฟิง ก่อนจะเอ่ยตอบโดยไม่หันหน้าไปมอง เนื่องจากกำลังยุ่งอยู่กับการทำขนม
‘เขาต้องการจะทำสิ่งเหล่านี้ให้ภรรยาของเขาทานเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่ใช่ภรรยาของเขาเสียหน่อย แล้วทำไมจะต้องทำให้ด้วยเล่า’
“นี่ เหยาเอ๋อร์เป็นสมาชิกคนสำคัญของพวกเรานะ รู้ไหม” อวี้เฟิงไม่พอใจ ‘ชายผู้นี้ช่างขี้เหนียวเสียจริงเชียว’
เฉียวเทียนช่างวางขนมไว้ด้านข้างเตาอบแบบก่อขึ้นเอง ก่อนจะหันหน้ามามอง “ข้าทำให้ไม่ได้หรอก ข้าจะทำอาหารสำหรับภรรยาและลูกเท่านั้น” ‘หากคนอื่นๆ อยากลิ้มรสฝีมือการทำอาหารของเขา ก็คงต้องฝันเอาเท่านั้น’
อวี้เฟิงและมู่เฉินยิ้ม แม้ว่าพวกเขาจะแค้นเคืองอยู่บ้าง แต่การที่เฉียวเทียนช่างปรนนิบัติเอาใจใส่หนิงเมิ่งเหยาเช่นนี้ ชีวิตของหญิงสาวจะต้องดีมากแน่ๆ
แม้ว่าชายทั้งสองคนจะคิดเช่นนั้น แต่ทว่าเมื่อหนิงเมิ่งเหยาตื่นขึ้นมา พวกเขากลับนินทาว่าร้ายเฉียวเทียนช่างต่อหน้าหญิงสาวอยู่ดี ‘เขาลงมือทำอาหาร แต่กลับไม่ให้พวกเขาทาน ชายหนุ่มผู้นั้นช่างทรมานพวกเขานัก’
หนิงเมิ่งเหยากินข้าวต้มที่เฉียวเทียนช่างทำมาให้ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มอันงดงาม “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็จงซึมซับความทรมานนั้นต่อไปอย่างช้าๆ ก็แล้วกัน”
บทที่ 196 ความอิจฉาริษยาของหยางชุ่ย
อวี้เฟิงและมู่เฉินต่างตกตะลึง หลังจากพวกเขาได้สติ ก็ตำหนิหนิงเมิ่งเหยาว่าถูกอบรมมาไม่ดี
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นมองอวี้เฟิง “เช่นนั้นก็ดีแล้วที่ข้าไม่ได้เป็นคนอบรมเขาน่ะสิ”
“ข้ารู้ว่าเขาเป็นผู้ชายของเจ้า แต่เจ้าจะปกป้องเขาเช่นนี้ไม่ได้” อวี้เฟิงมองหนิงเมิ่งเหยาพลางตีหน้าเศร้า
เหมยรั่วหลินตบพวกเขา “นั่นคือน้องเขยของเจ้า หากเหยาเอ๋อร์จะปกป้องเขาแล้วจะทำไมรึ อิจฉาหรือไร”
อวี้เฟิงไม่เอ่ยตอบ เพียงแต่มองผู้เป็นภรรยาเท่านั้น
เหมยรั่วหลินพูดไม่ออก เขาต้องเลิกใช้สายตาขี้อ้อนเช่นนี้ได้แล้วนางเมินเฉยต่อสายตาอีกฝ่าย ก่อนจะหันมองหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่าง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นพวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว ก็รู้สึกหมดห่วง ดังนั้นอีกไม่นานพวกเราก็คงจะกลับกันแล้ว” เหมยรั่วหลินเอ่ยอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
พวกเขาห่างหายกันมานาน หลังจากนี้ใครจะรู้ว่าทั้งหมดจะได้พบเจอกันอีกเมื่อไหร่
“พี่เหมย ท่านจะกลับแล้วหรือ” หนิงเมิ่งเหยาได้ยินว่าพวกเขาจะจากไปแล้วก็รู้สึกใจหาย
“ใช่ แต่อย่าเศร้าไปเลย หากว่างๆ ก็ให้สามีพามาเที่ยวเล่นที่บ้านของพวกเราได้ตลอดนะ อีกอย่าง อย่าโดนใครเขารังแกอีก หากมีผู้ใดกล้ามากลั่นแกล้งเจ้า ก็บอกได้เลยนะ พวกเราจะไปสั่งสอนพวกนั้นให้เอง” เหมยรั่วหลินมองเฉียวเทียนช่าง พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่
ชายหนุ่มองนางพลางพูดขึ้น “พวกเราไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหรอก ข้าจะเป็นคนปกป้องดูแลเหยาเหยาเอง” เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาดูแลภรรยาของเขา ทั้งนี้ แค่เขาคนเดียวก็เกินพอแล้ว
“อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้” เหมยรั่วหลินส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเยือกเย็น
เฉียวเทียนช่างไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก ‘ใครเล่าจะรู้อนาคต พูดไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์’
ในวันที่สอง เหมยรั่วหลินและคนอื่นๆ เดินทางจากไป พวกเขามาถึงแบบปุบปับ และกลับกันอย่างรวดเร็ว
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกเคว้งคว้าง หญิงสาวไม่มีกะจิตกะใจจะทำสิ่งใด ในที่สุดเฉียวเทียนช่างก็ทนไม่ไหว จึงต้องพานางไปเที่ยวในเมือง
ขณะเดียวกัน หยางชุ่ยก็เข้ามาในเมืองกับข้ารับใช้ของตนเพื่อเดินเล่นตามท้องถนน
หลังจากที่พวกเขาจากบ้านของนางมา นางก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าหลี่เวยไม่ดีกับนางเหมือนก่อน
นางสังเกตได้จากจำนวนครั้งที่เขามายังห้องนอนของนาง ก่อนหน้านี้เขามักจะมาหานางที่ห้องทุกๆ สองถึงสามวัน แต่ทว่าระยะเวลาจากครั้งล่าสุดที่เขาเข้าห้องของนางจนถึงตอนนี้นั้น ก็นานมากแล้ว
ทุกๆ วัน หากนางไม่อ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ นางก็จะอยู่ในลานบ้านกับจงเยว่ หรือไม่ก็จะชมดอกไม้ด้านนอก หยางชุ่ยจึงเป็นกังวลว่าตนจะถูกทิ้งหรือไม่ ‘หรือเขาจะไม่ชอบนางแล้ว’ ความคิดดังกล่าวทำให้นางปวดหัว จนไม่มีเวลาสร้างปัญหาให้หนิงเมิ่งเหยา หยางชุ่ยคิดเพียงแค่ว่าจะทำเช่นไรให้หลี่เวยกลับมาสนใจตนเองอีกครั้ง หากเขากลับมาโปรดปรานนางอีก นางก็จะมีโอกาสแก้แค้นเฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยามากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะทำวิธีใด หยางชุ่ยก็ไม่อาจทำให้หลี่เวยเข้ามาในห้องของตนได้เลย และนั่นทำให้นางสงสัยว่าจงเยว่อาจจะพูดนินทานางลับหลัง
วันนี้ หยางชุ่ยรู้สึกเบื่อหน่ายจึงออกมาข้างนอกพร้อมกับข้ารับใช้สองสามคน
แม้ว่าหลี่เวยไม่ได้ปรนเปรอนางเหมือนเมื่อก่อน แต่เขาก็มิได้ปฏิบัติกับนางอย่างไร้ค่านัก นางยังคงได้ทุกสิ่งที่นางต้องการ นั่นจึงทำให้นางมั่นใจว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ชีวิตของนางนั้นจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่นางกังวลว่าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ เขาอาจจะเบื่อหน่ายและทิ้งนางไปสักวัน
ตอนนี้หยางชุ่ยรู้สึกเสียใจจริงๆ นางน่าจะเชื่อฟังแม่ของตน และมีลูกเสียก่อน เพื่อจะได้รักษาตำแหน่งเอาไว้ แต่ถ้าหากนางต้องการจะมีลูกในตอนนี้ ก็ต้องทำให้หลี่เวยเข้ามาหาที่ห้องให้ได้เสียก่อน
“อนุหยางเจ้าคะ ไปดูตรงนั้นกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านขายเสื้อผ้าเปิดใหม่ร้านหนึ่ง มีเสื้อผ้าสวยงามมากเลยเจ้าค่ะ” ข้ารับใช้ของหยางชุ่ยเอ่ยอย่างสงบเสงี่ยม
นางไม่อยากทำให้อนุภรรยาผู้นี้ไม่พอใจ มิเช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนเสียเอง นางไม่ควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
หยางชุ่ยคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะไปยังร้านค้าดังกล่าวพร้อมกับข้ารับใช้ แต่ทว่านางยังเดินไม่ทันถึงประตู ก็พบกับหญิงชายคู่หนึ่งเดินจูงมือกันออกมาจากร้านนั้น
นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญกว่านั้นคือนางรู้จักพวกเขา ทั้งสองคนนั้นคือหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างนั่นเอง เส้นผมของหญิงสาวมีหวีเสียบไว้บ่งบอกสถานะว่าแต่งงานแล้ว หนุ่มสาวทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างยิ่ง หยางชุ่ยมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่แต่งงานกันแล้ว