ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 165 เด็กหญิงตัวน้อยในความทรงจำ

แม่ของเธอสบตาเข้ากับเธอและส่งหนังสือให้ “ได้สิ ลูกก็ชอบอ่านตั้งแต่ยังเด็กๆ แล้ว”

 

 

ซย่าชิงอียื่นมือรับหนังสือ สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของพวกมันขณะที่กอดมันแนบอกไว้ ก่อนเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย

 

 

หันเลี่ยงเพิ่งกลับมาถึงชั้นล่างของบ้าน เขาเปลี่ยนรองเท้าที่ทางเข้า วางกุญแจบ้านบนโต๊ะ ก่อนเดินเข้ามาบริเวณห้องนั่งเล่น เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็ห็นทั้งสองยืนอยู่ที่ริมทางเดินชั้นสอง

 

 

“ทำอะไรกันอยู่เหรอครับ” เขาถาม

 

 

“แม่ให้หนังสือฉันมาอ่านน่ะ” เธอเดินลงไปชั้นล่างพร้อมหนังสือสองเล่มในอ้อมแขน และใช้มืออีกข้างถือโบกอีกเล่มไว้

 

 

“หนังสืออะไรเหรอ”

 

 

“แม่บอกว่าเป็นหนังสือที่ฉันอ่านเมื่อก่อน อืม… เทพนิยายแอนเดอร์เสน ฉันอยากอ่านมันอีก”

 

 

เขากวาดตามองชื่อหนังสือและหันหน้ามาหา “หนังสือสำหรับเด็กทั้งนั้น เธอยังจะอยากอ่านมันอยู่อีกเหรอ”

 

 

เธอตอบกลับ “สนุกดีออก”

 

 

อีกฝ่ายถามขึ้นอีก “คืนนี้เธออยากกินอะไรล่ะ”

 

 

“อะไรที่แม่ทำฉันก็กินหมดแหละ” เธอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาและพลิกเปิดหนังสืออ่านด้วยท่าทางไม่ได้ใส่ใจอะไรเหมือนกับเด็กที่กำลังอ่านหนังสือ รูปภาพประกอบสีสันสดใสและตัวอักษรขนาดใหญ่ที่มีเสียงอ่านกำกับอยู่ข้างใต้ทำให้มันดูเหมือนกับหนังสือการ์ตูน

 

 

“วันมะรืนนี้เธอไม่ต้องไปเรียนนะ ฉันลาเรียนให้แล้ว เราจะไปกินข้าวกับลุงลัวด้วยกัน”

 

 

“ลุงเหรอ” เธอจำได้ว่าคืนนั้นเคยได้ยินพวกเขาพูดถึงผ่านบานประตู

 

 

“ใช่… ลุงของเธอได้ยินว่าเธอกลับมาแล้ว เขาคิดถึงเลยอยากจะเจอเธอน่ะ”

 

 

“อืม” เธอเอ่ย “บ้านของเขาไกลจากที่นี่มากเหรอ”

 

 

“ค่อนข้างไกลอยู่นะ ต้องขับรถไปจากที่นี่ราวๆ หกเจ็ดชั่วโมงได้ เราเลยว่าจะอยู่ค้างที่นั่นสักคืนหนึ่ง”

 

 

เธอพยักหน้าและกล่าวตอบรับเขาไป

 

 

เมื่อถึงวันที่ต้องไปบ้านของลุง หันเลี่ยงปลุกเธอแต่เช้าตรู่ ทั้งสามขับรถมุ่งหน้าไปที่บ้านของลุงของเธอหลังจากกินอาหารเช้าในเวลาเก้าโมงเช้า

 

 

เธอไม่ได้มีภาพจำเกี่ยวกับลุงคนนี้มากนัก ยังจำเรื่องที่แม่ของเธอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเขาจากเบาะด้านหลังได้เพียงรางๆ เท่านั้น และเป็นแค่ความทรงจำตั้งแต่เธอยังเล็กๆ

 

 

ก่อนจะถามแม่ของเธอว่าทำไมส่วนใหญ่เธอถึงจำได้แต่เรื่องตอนเด็กๆ

 

 

อีกฝ่ายบอกว่าตอนที่เธอยังเด็ก ครอบครัวของพวกเขาสนิทสนมกับลุงของเธอมากกว่า ตอนนั้นพวกเขามักจะพาเธอมาฝากไว้ที่บ้านของลุงถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วกลับมารับเธอในอีกสองวัน พวกเขาย้ายมาที่นี่หลังจากเธอโตขึ้นจึงไม่ได้ติดต่อเขามากนัก ไม่แปลกที่เธอจะจำเรื่องของเขาเมื่อเธอโตขึ้น

 

 

ทว่าเธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

เธอนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้า หนังสือเรื่องตำนานเทพเจ้ากรีกที่เธอเอาติดมาด้วยวางอยู่บนตัก เธอตั้งใจจะเอามาอ่านระหว่างทางแต่เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่าหนังสือนั้นไม่มีร่องรอยในการเปิดอ่านมาก่อน นอกเหนือจากเรื่องในตำนานที่เธอไม่ได้รู้สึกสนใจเลยสักนิดแล้ว เธอก็ไม่พบข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรอีก

 

 

ในไม่ช้าพวกเขามาถึงจุดหมายอย่างไม่รู้ตัว หันเลี่ยงเปิดประตูลงจากรถไปหยิบของที่เอามาฝากเจ้าของบ้าน

 

 

บ้านของลุงของเธอตั้งอยู่ในย่านที่ดูหรูหรา ทั้งสามมาถึงด้านล่างของห้องชุด สองมือเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย หันเลี่ยงบอกให้กดลิฟต์ไปที่ชั้นสิบสองซึ่งเป็นที่อยู่บ้านของอีกฝ่าย

 

 

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าบ้าน ซย่าชิงอีกดกริ่ง หลังจากนั้นใครบางคนก็เปิดประตูออกให้เธอรู้สึกตกใจ

 

 

“เธอมาถึงแล้ว” ลุงลัวซู่ยืนอยู่ที่หน้าประตูพลางส่งยิ้ม “เข้ามาเร็วๆ ยืนทำอะไรข้างนอกเล่า”

 

 

ร่างท้วมและน้ำเสียงเป็นกันเองของเขาทำให้อีกฝ่ายดูท่าทางเป็นมิตร เธอไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าเขาจ้องเธอตลอดเวลาตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามา

 

 

“มาๆๆ … มานั่งบนโซฟา… เธอหิวน้ำหรือเปล่า เดี๋ยวลุงเอาน้ำมาให้ดื่มนะ” ลัวซู่รีบเดินไปที่ห้องครัว

 

 

พวกเขานั่งบนโซฟา มีเพียงซย่าชิงอีที่รู้สึกเกร็งเล็กน้อยจนนั่งตัวตรงอย่างรักษามารยาท มือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่า ตกใจนิดๆ เมื่อลุงของเธอส่งแก้วน้ำมาให้ก่อนรีบเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายพลางรับแก้วมา

 

 

ลัวซู่ทิ้งตัวบนโซฟาข้างเธอหลังจากไปเอาน้ำมาให้ก่อนจ้องมองมาที่เธอ เธอกลัวขึ้นมาหน่อยๆ เมื่อเห็นเขาจ้องมาและถามขึ้นอย่างระแวง “ลุงคะ… มีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่าคะ”

 

 

อีกฝ่ายยิ้มตอบและส่ายหน้าให้ “ไม่มีอะไร แค่ไม่ได้เจอเธอมานานแล้วเท่านั้นเอง”

 

 

“แต่แม่บอกว่าแต่ก่อนฉันแวะมาหาลุงที่นี่เรื่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

 

 

เขาชำเลืองมองแม่ของเธอก่อนรีบเอ่ย “อ่า? ใช่… แต่เธอแวะมาเยี่ยมแค่ปีละครั้งเท่านั้น อีกอย่างก่อนหน้านี้ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอ ลุงเลยไม่ได้เจอเธอมาปีครึ่งแล้วน่ะ”

 

 

คู่สนทนามองเธอและพึมพำกับตัวเอง “ลุงแทบไม่เชื่อว่าเธอจะกลับมาจริงๆ”

 

 

คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ให้เธอขมวดคิ้วมุ่นพลางจิบน้ำและเอาแต่เงียบ

 

 

เขายังคงจ้องมองต่อไปสักครู่ และในที่สุดก็ถูกแม่ของเธอลากเข้าไปในครัว ทิ้งหันเลี่ยงและเธอให้อยู่ตามลำพังในห้องนั่งเล่น เขานั่งอยู่ข้างเธออย่างเงียบๆ พาดแขนของเขาบนโซฟาเหมือนกับจะวางมันลงที่ไหล่ของเธออยู่ในที

 

 

เธอพยายามทำเป็นไม่สนใจการกระทำของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในบ้านอีกก็ถามขึ้น “ครอบครัวของลุงที่เหลือไปไหนล่ะ”

 

 

เขาว่าขึ้น “น้าของเธอไปดูงานที่เมือง Q เธอบอกว่าอีกสามวันจะกลับมา ส่วนลูกๆ ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียน คิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงออกไปรับ” เขาขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น เธอแกล้งทำเป็นมองไปรอบๆ และลุกขึ้นอย่างต้องการหนีออกจากอ้อมแขนของเขา ก่อนเดินสำรวจไปรอบห้องนั่งเล่น

 

 

“นี่เป็นรูปของครอบครัวของเขาเหรอ” เธอหยิบรูปที่ตั้งบนโต๊ะขึ้นมา มันเป็นรูปครอบครัว ปรากฏภาพของชายหญิงคู่หนึ่งและเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบ

 

 

เขาก้าวเข้ามาและมองรูปนั้น “ใช่ ครอบครัวของเขาเอง”

 

 

“โอ๊ะ… จริงด้วย… ทำไมฉันไม่เจอรูปครอบครัวที่บ้านเลยล่ะ… ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อหน้าตาเป็นยังไง” จู่ๆ เธอก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้

 

 

“เอ่อ เรื่องนั้น แม่ของเธอเก็บมันเอาไว้น่ะ ตั้งแต่พ่อของเธอเสียไปก็ไม่มีรูปครอบครัวตั้งอยู่ในบ้านเลย”

 

 

เธอมองไปที่รูปภาพอื่นๆ ในขณะที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถูกลุงของเธอเรียกไปที่ห้องครัว

 

 

ซย่าชิงอีเดินไปมาทั่วห้อง เห็นอัลบั้มรูปบนโต๊ะกาแฟข้างโทรทัศน์ เธอหยิบมันขึ้นมาเปิดดูทันควัน รูปส่วนใหญ่เป็นรูปครอบครัวของลุง ทั้งรูปเดี่ยว รูปคู่ และรูปที่ทั้งสามถ่ายด้วยกัน พวกเขาส่งยิ้มหวานให้กันจนแม้แต่เธอยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้

 

 

เธอพลิกดูรูปไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นรูปเก่าใบหนึ่งและมือของเธอก็นิ่งค้างไป

 

 

เด็กหญิงที่อยู่ในรูปดูคล้ายกับเธอไม่น้อย เธอคงอายุราวเจ็ดแปดขวบได้ กำลังยืนอยู่บนสนามหญ้าด้วยใบหน้ามอมแมมพร้อมพลั่วในมือ อยู่ในชุดกระโปรงพลางยิ้มเปี่ยมสุขมาที่กล้อง

 

 

ไกลออกไปด้านหลัง ซย่าชิงอีสังเกตเห็นเด็กหญิงอีกคนบนสนามหญ้าในรูปเช่นกัน เธอมัดผมแกละสองข้าง หันหลังให้กล้อง และกำลังนั่งทำบางอย่างบนพื้นหญ้า

 

 

สายตาของเธอเลื่อนจากเด็กหญิงที่ยืนยิ้มให้กล้องไปที่อีกคนที่หันหลังให้

 

 

เธอรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นหลังของเด็กคนนี้เหลือเกินเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พร้อมกับความรู้สึกสนิทสนมอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

“เธอกำลังดูรูปตัวเองตอนเด็กๆ อยู่เหรอ” ลัวซู่เดินเข้ามามองรูปที่เธอกำลังจ้องอยู่

 

 

เขาทำให้เธอตกใจเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ”

 

 

“ตอนเด็กๆ เธอซนมากเลยล่ะ รูปนี้ถ่ายที่บ้านหลังเดิมของลุงเอง ตอนนั้นเธอยืนกรานว่าจะเล่นขุดดินกับเสี่ยวพ่างที่อยู่ข้างบ้านแล้วก็ทำให้ตัวเองเลอะเทอะไปหมด แม่ของเธอแทบจะมาดุลุงที่ปล่อยให้เธอมอมแมมขนาดนี้ตอนที่มารับ”

 

 

“แล้วเด็กคนนี้เป็นใครล่ะคะ” เธอชี้ไปที่เด็กหญิงที่นั่งบนพื้นหญ้าด้านหลัง

 

 

“ลูกสาวของลุงเอง ตอนนั้นเธอกำลังมองดอกไม้บนพื้นอยู่”

 

 

เธอมองรูปนั้นอีกไม่กี่ครั้งจากนั้นจึงปิดอัลบั้ม “ฉันจะไปดูแม่ที่ครัวนะคะ”

 

 

อีกฝ่ายพยักหน้ารับและเดินตามหลังเธอไป

 

 

พวกเขานั่งอยู่รอบโต๊ะและนั่งกินอาหารด้วยกันในตอนที่ลูกสาวของลัวซู่กลับมา เธอคงอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีได้ เครื่องแบบนักเรียนสีน้ำเงินขาวตัวโคร่งของเธอยังถูกมัดอยู่รอบเอวของเธอ พร้อมกางเกงยีนขาดๆ และกำลังแบกกระเป๋าใบใหญ่เอาไว้ มองคนที่นั่งกินอาหารบนโต๊ะก่อนที่จะตรงไปที่ห้องของตัวเอง

 

 

“ลัวเมิ่ง! หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! จะไปไหน ไม่เห็นเหรอว่าเรามีแขก” เมื่อลัวซู่เห็นเธอเดินตรงเข้าห้องของตัวเองทันทีที่กลับมาถึงบ้านเขาก็โกรธขึ้นมา

 

 

ลัวเมิ่งหันขวับและโยนกระเป๋าของตัวเองลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น “โดนขังอยู่ที่โรงเรียนมาทั้งวัน พอมาถึงบ้านหนูก็ยังไม่มีอิสระอีกเหรอ หนูจะไปไหนก็ได้ที่หนูอยากไป”

 

 

ลัวซู่ดูหน้าเสียไป “ลูกพี่… ลูกน้องของลูกในที่สุดก็กลับมาแล้ว ลูกจะไม่มากินข้าพูดคุยกับเธอหน่อยเหรอ”

 

 

คนฟังเหลือบมองเธอและฮึดฮัดออกมา “เธอ… หนูไม่ทำหรอกค่ะ เธอกลับมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนูล่ะ ทำไมต้องพูดกับเธอด้วย”

 

 

“ลัวเมิ่ง! ทำเกินไปแล้วนะ ลูกจะทำตัววุ่นวายอย่างที่เคยทำวันไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่วันนี้ที่จะมาโมโหฟาดงวงฟาดงาแบบนี้!”

 

 

ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งยังมุ่นหน้าและเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เขามองมาที่ทั้งสามคนที่โต๊ะอาหารอย่างขอโทษก่อนว่าขึ้น “ขอโทษด้วยนะ ฉันคงจะตามใจเธอจนเคยตัวน่ะ เธอเลยเอาแต่ใจแบบนี้ อย่าถือสาเธอเลยนะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะไปเรียกเธอมากินข้าวและนั่งคุยกับทุกคนเอง” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นไปตามลัวเมิ่ง

 

 

“ลุงคะ ไม่ต้องไปรบกวนเธอหรอกค่ะ ถ้าเธอไม่ชอบก็ไม่ต้องมาก็ได้ ยิ่งบังคับเธอก็มีแต่จะยิ่งโมโหมากขึ้น เรากินด้วยกันแค่นี้ก็ได้ค่ะ” ซย่าชิงอีบอกเขาอย่างไม่อยากให้เขามีปัญหากับลูกสาวตัวเองอีก

 

 

“ไม่ๆ จะทำอย่างนั้นได้ยังไง ทั้งสามคนกินกันก่อนเลย ลุงจะไปดูว่าเธอมัวทำอะไรอยู่” เขายังคงลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโต๊ะไป

 

 

เธออยากจะพูดต่อแต่หันเลี่ยงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ห้ามไว้ก่อนว่าเสียงเบา “อย่าไปขัดเขาเลย ให้พวกเขาจัดการปัญหาในครอบครัวกันเอง เรากินกันก่อนเถอะ”

 

 

เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกและชำเลืองมองแม่ของเธอซึ่งนั่งอยู่อีกข้างที่ยังคงกินอาหารต่อด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับเคยชินกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset