ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 177 คืนดี

เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน ซย่าชิงอีถอดรองเท้าอยู่ที่ชานบ้าน เธอได้แต่สงสัยว่าเธอควรบอกโม่หันว่าเธอเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไปและอยากอยู่ที่นี่ต่อดีหรือไม่ หรือเธอควรบอกเขาว่าเธอจะย้ายออกอย่างที่พวกเขาเคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ดี

 

 

เธอครุ่นคิดอยู่กับตนเองจนไม่ได้ถอดรองเท้าเสียที เอาแต่โน้มตัวและยกขาค้างไว้กลางอากาศ

 

 

“นี่… โทรศัพท์เธอดังน่ะ” โม่หันเรียกเธอ

 

 

คนถูกเรียกหันกลับไปก่อนที่จะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเอง เธอรีบเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าใส่ในบ้านและหยิบโทรศัพท์มาจากกระเป๋าก่อนนิ่งไปเมื่อมองรายชื่อที่แสดงบนหน้าจอ

 

 

“เธอจะรับได้หรือยัง” เขาถามเธอซ้ำ

 

 

สายตาของเธอฉายแววหม่นแวบหนึ่งขณะที่กดรับสาย “สวัสดี”

 

 

[ฉันได้ยินมาจากแม่ว่าเธอจะกลับมาเหรอ] เสียงของหันเลี่ยงดังลอดมาจากปลายสาย

 

 

เธอไม่คิดว่าแม่ของเธอจะบอกหันเลี่ยงว่าเธอจะย้ายออกจากบ้านของโม่หันเร็วขนาดนี้ แต่พอคิดอีกทีแม่ของเธออาจไม่ใช่คนที่บอกเขา ท่านดูไม่ใช่คนแบบนั้น

 

 

“เปล่าน่ะ ฉันแค่บอกว่าจะย้ายออกจากที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลับไป”

 

 

[มันก็เหมือนกันนั่นแหละ เธอก็ไม่ได้มีที่อยู่ที่ไหนในเมือง S นอกจากบ้านของเขาแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นกลับมาที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ แม่ของเธอกับฉันก็อยู่ที่นี่ พวกเราจะได้ดูแลเธอได้ด้วย]

 

 

เธอเพิ่งได้รู้ว่าหันเลี่ยงไม่เคยยอมแพ้ที่จะกล่อมให้เธอกลับไปเสียให้ได้ เขาโทรหาเธอทันทีที่รู้ว่าเธอบอกว่าจะย้ายออกจากบ้านของโม่หัน แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรก็ตาม “ไม่เป็นไร ฉันอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี”

 

 

ทันใดนั้นโม่หันที่ทำทีเหมือนเก็บข้าวของอยู่ขณะที่นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็มีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างถนัดตา เขาเอาแต่เงียบขัดกับการกระทำของเขาที่ดูโจ่งแจ้งจากเสียงขยับตัวเก็บของของเขาที่ดังไปทั่วห้อง

 

 

เธอเหลือบมองอีกฝ่ายและป้องโทรศัพท์เอาไว้ขณะที่เดินตรงไปที่ระเบียง คิดว่าเขาคงไม่พอใจนักที่เธอพูดโทรศัพท์เสียงดังก่อนจะปิดประตูกั้นและพูดเสียงเบาลง

 

 

[เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอสองคนหรือเปล่า ถ้าไม่มีทำไมเธอถึงอยากย้ายออกมาจากที่นั่นล่ะ] หันเลี่ยงถามขึ้น

 

 

“ไม่มี แค่ฉันต้องเตรียมตัวสอบที่มหาวิทยาลัยเลยต้องกลับบ้านดึก กลัวว่าจะรบกวนเขาเลยคิดอยากจะเช่าบ้านข้างนอกอยู่น่ะ”

 

 

[แล้วเขาก็เห็นด้วยเหรอ]

 

 

“อืม เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก”

 

 

เสียงพึมพำจากปลายสายดังขึ้น [อืม… ฉันคิดว่าเขาจะทำได้ดีกว่านี้เสียอีก]

 

 

เธอมุ่นคิ้ว “คุณหมายความว่ายังไง”

 

 

[ฉันรู้ว่าเขาชอบเธอ ตอนแรกคิดว่าเธอจะคบกับเขาทันทีหลังจากที่พวกเราแยกกันตอนที่เธอรู้ความจริงแล้วเสียอีก แต่ดูท่าแล้วน่าจะไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้]

 

 

เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา แต่เธอก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกันจึงทำได้เพียงเงียบ

 

 

[ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับมาก็ได้ตราบใดที่เธอยังอยู่ดี และอย่าลืมกลับมาเยี่ยมแม่ของเธอบ้างก็พอ]

 

 

“ฉันรู้แล้ว” ซย่าชิงอีตอบกลับไป

 

 

หลังจากวางสายเธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เปิดประตูกั้นระหว่างห้องนั่งเล่นและระเบียงออก และก็ต้องสะดุ้งตกใจกับเงาที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างไม่ทันรู้ตัวโม่หันมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

 

 

“ทำไมพี่มายืนอยู่ตรงนี้ล่ะคะ” หัวใจของเธอเต้นระรัว

 

 

“พี่จะมาเอาเสื้อผ้าแต่เธอกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง” เขาพิงตัวกับประตูพลางมองไปยังเสื้อผ้าที่ถูกแขวนไว้บนราว

 

 

“อ้อ… ฉันขอโทษค่ะ พี่เข้าไปได้เลย” เธอขยับเดินออกมา

 

 

“เธอรู้สึกผิดเหรอ” เสียงเขาถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ดังขึ้นด้านหลังเธอ

 

 

เธอชะงักก่อนจะหันมามองเขา

 

 

“หันเลี่ยงโทรมาหาเธอใช่ไหม… เธอยังติดต่อกับเขาอยู่เหรอ”

 

 

“ใช่ค่ะ เขามีบางอย่างจะบอกฉัน”

 

 

“เรื่องอะไรล่ะ ทำไมเธอต้องทำเป็นความลับขนาดนั้นด้วย เธอไม่กล้าพูดต่อหน้าพี่งั้นเหรอ”

 

 

“มันไม่มีอะไรเลยค่ะ เขาแค่มาถามฉันว่าจะกลับไปเยี่ยมแม่เมื่อไรเท่านั้นเอง” เธอว่าขึ้นราวกับพยายามคลี่คลายสถานการณ์

 

 

“ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าเวลาโกหกเธอมักจะขยับนิ้วมือไปมา” เขาหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นเบาๆ

 

 

เธอหยุดขยับนิ้วที่แนบอยู่ข้างตัวทันที เห็นได้ชัดว่าโม่หันเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเธอขณะที่เขาก้าวเข้ามาหาและยืนอยู่ตรงหน้า “เธออยากจะจากพี่ไปและกลับไปหาเขาขนาดนั้นเลยเหรอ เธอตกหลุมรักเขาแล้วใช่ไหม”

 

 

เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธพัลวันเหมือนกับได้ยินสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ “ฉันเนี่ยนะจะรักเขา! พี่พูดเล่นอยู่หรือเปล่า ฉันจะชอบเขาได้ยังไง เขาเป็นน้องเขยของฉันนะคะ!”

 

 

“ถ้างั้นทำไมเธอถึงรีบร้อนจะย้ายออกไป”

 

 

เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกไป “ฉันไม่ได้บอกพี่ไปทางโทรศัพท์แล้วเหรอคะ เหตุผลที่ฉันอยากย้ายออกเพราะว่าฉันไม่อยากเห็นพี่เอาแต่เงียบใส่ตอนอยู่ที่บ้านและทำตัวเหมือนอยากจะตัดขาดกับฉัน ไม่ใช่พี่ที่สารภาพรักและฉันก็ปฏิเสธพี่ไปเหรอคะ เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันอีกแล้วไม่ใช่เหรอ เพราะว่าพี่ไม่อยากเห็นหน้าฉัน ฉันก็เลยจะไม่อยู่ที่นี่และเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของพี่อีก ยังไงเราก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ!”

 

 

ในตอนที่เธอพ่นคำพูดทุกอย่างออกไป เธอก็เอามือปิดปากตัวเองให้หยุดพูด

 

 

เธอไม่กล้ามองเขาในขณะที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรออกมาสักคำและทำเพียงจ้องมาที่เธอ พวกเขาทั้งสองคนต่างเงียบขณะที่สบตามองกันและกัน

 

 

“พี่ขอโทษ…” เธอไม่คาดคิดว่าโม่หันจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

 

 

เขาว่าขึ้น “เป็นความผิดของพี่เอง… ช่วงหลายวันมานี้… เธอไม่ต้องย้ายออกไปหรอก… พี่จะค่อยๆ ปรับตัวเอง”

 

 

เธอไม่เคยเห็นเขายอมลงให้ใครมาก่อน คิดมาตลอดว่าเขาไม่รับฟังใครและมั่นใจในตัวเอง แต่ท่าทีของเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น

 

 

“จริงๆ แล้ว… พี่คิดมาตลอด… ว่าทำไมวันนั้นเธอถึงปฏิเสธพี่” เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเธอ

 

 

เธอนิ่งไปชั่วครู่และก้มหน้าลง “อันที่จริง… มันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกค่ะ เป็นฉันเองที่ไม่เชื่อในความรัก”

 

 

ท่าทางของเขาดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังพูดนักก่อนที่เธอจะเอ่ยต่อ “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ตอนที่เห็นคู่รักหวานชื่นเดินเคียงคู่กับตามถนนฉันก็คิดว่าพวกเขาจะเลิกกันเมื่อไร ถ้าพวกเขาคบกันไปสองปี พวกเขาจะยังเป็นเหมือนเดิมเมื่อคบกันไปอีกสิบปีหรือเปล่า แม้ฉันจะยอมรับว่าความคิดของฉันมันค่อนข้างชั่วร้ายแต่ฉันก็ควบคุมมันไม่ได้

 

 

“และคู่รักรอบตัวที่ฉันรู้จักก็คบกันไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ” เธอหัวเราะและจ้องมองไปที่โม่หันอย่างท้อใจเล็กน้อย “อีกอย่างฉันก็รู้สึกว่าพี่ไม่ได้ชอบฉันขนาดนั้นด้วย แทนที่จะอยู่ด้วยกันแบบเพื่อนไม่ได้อีกหลังจากที่เราคบแล้วเลิกกันภายในสองเดือน สู้ให้ฉันติดอยู่กับสถานะแบบนี้ให้รู้สึกสบายใจยังจะดีกว่าค่ะ”

 

 

“เธอรู้ได้ยังไงว่าเราจะเลิกกันหลังจากคบกันสองเดือน” เขาเอ่ย

 

 

“ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”

 

 

อีกฝ่ายเงียบลง

 

 

“ฉันไม่อยากเลิกพูดกับพี่และก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มีก่อนหน้านี้ด้วย เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอคะ”

 

 

ทีแรกเขาอยากจะปฏิเสธเพราะเขาไม่เคยอยากเป็นแค่พี่น้องกับเธอ แต่เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้สึกว่าหากเขาทำแบบนั้นเธอคงต้องย้ายออกไปจากที่นี่ทันทีแน่

 

 

สำหรับเขาระหว่างพวกเขาสองคนมีเพียงสองทางเลือก ทางแรกคือกลายมาเป็นคู่รักและความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จะดีขึ้นกว่าที่เป็นตอนนี้ แม้ว่าจะรู้ดีว่าเธอคงไม่เลือกทางนี้แน่ เหลือเพียงการปล่อยให้พวกเขาลงเอยอีกทางที่ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันเลยตลอดชีวิตและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน

 

 

ทว่าซย่าชิงอีกลับต้องการให้พวกเขากลับไปเป็นเหมือนเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและอยู่กันเหมือนคู่พี่น้องปกติ

 

 

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคำพูดที่ว่าการครอบครองคือการสูญเสียในเวลาเดียวกันได้ขึ้นมา

 

 

ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายของคำนี้มากขึ้นแล้ว

 

 

“ถ้างั้นก็เอาตามที่เธอต้องการเถอะ ทำเหมือนอย่างที่เป็นเมื่อก่อน” เขาเลือกที่จะประนีประนอมขณะที่สลัดทางเลือกทั้งสองข้อในหัวก่อนหน้านี้ออกไป เขาไม่ต้องการให้เธอจากเขาไปไหนทั้งนั้น

 

 

คนฟังส่งยิ้มให้ในขณะที่โม่หันมองอย่างเศร้าสร้อยที่เห็นเธอยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันมานี้

 

 

สิ่งที่โม่หันไม่รู้คือเธอไม่ได้ยิ้มเพราะว่าเขายอมเธอ หากแต่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ต่างหาก ‘ดีจังเลย ฉันจะได้ยังอยู่กับพี่ได้ต่อไป’

 

 

เธอคิดในใจ ‘ดีจังที่เพื่อนคนเดียวของฉันยังอยู่ข้างๆ กัน’

 

 

ถ้าเขาปล่อยให้เธอจากไป ต่อไปเธอคงไม่มีใครให้คุยด้วยอีก

 

 

พวกเขาทั้งสองคนกลับมาทำตัวเหมือนเดิมต่อกันอย่างเก้ๆ กังๆ พยายามอย่างหนักที่จะปล่อยให้คำสารภาพรักนั้นเป็นเรื่องในอดีตในขณะที่เติมเต็มความทรงจำใหม่ลงไปในจุดที่ขาดหาย

 

 

แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเรื่องในอดีตก็ยังตามมาหลอกหลอนแม้จะถูกกลบฝังแค่ไหนก็ตาม

 

 

ท้ายที่สุดซย่าชิงอีก็ไม่ได้ย้ายออกไป ดูเหมือนทั้งสองจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนก่อนหน้านี้ เธอไปเรียนหนังสือทุกวันและโทรหาเขาเมื่อกลับถึงบ้านในตอนเย็นเพื่อบอกให้เขาซื้ออาหารกลับมา ส่วนเขาก็ซื้ออาหารเข้ามาให้อีกฝ่ายหลังจากเลิกงานและกลับถึงบ้าน ในขณะที่เธอนั่งบนพรมในห้องนั่งเล่นระหว่างที่พวกเขานั่งกินอาหารและดูโทรทัศน์ด้วยกัน

 

 

ส่วนใหญ่แล้วเขาจะใช้เวลาในห้องทำงาน มีบ้างที่จะออกมาดูโทรทัศน์กับเธอ ด้านซย่าชิงอีก็ยังคงนิสัยเดิมที่มักจะผล็อยหลับไปบนพรมในเวลาราวๆ ห้าทุ่มไม่เปลี่ยน

 

 

เพราะเช่นนี้เขาจึงต้องปลุกและบอกให้เธอเข้าไปนอนในห้องตัวเองดีๆ อยู่เสมอ

 

 

แต่ละวันผ่านไปเป็นกิจวัตรซ้ำไปมา

 

 

ในวันที่ห้าหลังจากที่พวกเขาคืนดีกัน เพื่อนร่วมชั้นของซย่าชิงอีก็ชวนเพื่อนอีกคนกับเธอไปดูหนัง อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้อยากไปนักแต่ก็ตกลงไปในที่สุดเมื่อเห็นว่าหนังเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เธออยากดูเมื่อเร็วๆ นี้

 

 

ตารางหนังเริ่มฉายตอนสองทุ่มพวกเขาจึงมาถึงโรงหนังราวหนึ่งทุ่มครึ่ง ระหว่างที่กำลังรอเข้าชมหนึ่งในพวกเขาก็ได้รับโทรศัพท์และบอกว่าต้องรีบกลับไปเพราะธุระด่วน หนึ่งนาทีต่อมาอีกคนที่เหลือก็ได้รับสายและบอกว่าอาจารย์ของเธอเรียกพบ

 

 

หลังจากนั้นซย่าชิงอีก็อยู่เพียงลำพังพร้อมกับตั๋วหนังสามใบในมือ

 

 

เธอไม่อยากดูหนังคนเดียวนักจึงลุกขึ้นและตั้งใจจะกลับบ้าน แต่เมื่อคิดอีกทีเธอก็ต่อสายหาโม่หันด้วยแรงจูงใจแปลกๆ บางอย่าง

 

 

“พี่ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ”

 

 

“มีอะไรหรือ”

 

 

“ฉันมีตั๋วหนังรอบสองทุ่มวันนี้อยู่สามใบน่ะค่ะ พี่จะเลิกงานเมื่อไหร่คะ”

 

 

“เธอไปดูหนังเหรอ”

 

 

“ค่ะ ตอนแรกฉันจะดูกับเพื่อนอีกสองคนแต่ก็จู่ๆ เกิดเรื่องให้พวกเขาต้องรีบไปซะก่อน ถ้าพี่ว่างอยากจะมาดูหนังกับฉันไหมคะ ฉันไม่อยากดูคนเดียวน่ะค่ะ”

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset