ภาพรักสีจางกลางสมุทร – ตอนที่ 179 กลับไปคบกัน

ซย่าชิงอีไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใด เธอทำเพียงปัดมือไปมาก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้นมาเมื่อโม่หันเข้าไปช่วยดึงเธอขึ้น เธอมองกลับไปที่เฉินโหรวครั้งหนึ่งด้วยแววตาคุกรุ่นเช่นกัน “คุณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ใช่ไหม”

 

 

“เธอจะสู้ฉันกลับเหรอ! นังมือที่สามหน้าด้าน!” เฉินโหรวว่าขึ้น

 

 

ซย่าชิงอีกัดฟันกรอดๆ เมื่อได้ยินดังนั้น พยายามฝืนอดทนไม่ให้มีเรื่องกับอีกฝ่าย “คุณควรกลับไปเรียนชั้นประถมให้ครูสอนความหมายของคำพวกนั้นซะใหม่นะคะ”

 

 

“เธอหมายความว่ายังไง”

 

 

“ฉันหมายถึงคุณควรใช้สมองให้มากกว่านี้ ช่วยใช้สมองอันชาญฉลาดให้เป็นประโยชน์ด้วย! ไม่ใช่เอามาใช้สรรหาคำด่าคนอื่นแบบนี้! ใช้มันคิดเสียบ้าง! คิดให้ดีๆ ว่าตอนไหนควรใช้คำว่ามือที่สาม!” เธอว่าอีกฝ่ายเข้าให้ด้วยเสียงนิ่งเรียบขณะที่คิดในใจว่าอีกฝ่ายช่างไร้สาระสิ้นดี

 

 

“อีกอย่างคุณก็เลิกกับพี่ชายของฉันแล้วด้วย มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณถ้าวันถัดมาหลังจากเลิกกับคุณพี่เขาจะไปหาหรือมีอะไรกับผู้หญิงอีกคนด้วยซ้ำ ถ้าคุณไม่ได้ชอบพี่เขาแล้วก็แค่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีกและเลิกเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นได้แล้ว! ถ้าคุณยังชอบเขาอยู่ก็ไปง้อเขาซะสิ! ไม่เห็นจำเป็นต้องมาทำตัวโอ้อวดในศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยการมาดูถูกฉันแบบนี้เลย!” เธอโกรธจนพูดรัวออกมาไม่หยุด

 

 

โม่หันไม่เคยเห็นเธอโกรธขนาดนี้มาก่อนและทำเพียงจ้องมองอีกฝ่ายที่พูดต่ออย่างไม่ลดละ เธอโกรธจนแทบไม่ได้หยุดหายใจระหว่างที่พูดอยู่ เฉินโหรวที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามดูจะตกใจกับคำพูดของเธอระหว่างที่มองคนพูดอยู่เงียบๆ

 

 

อันที่จริงในจังหวะนั้นเขาแทบจะขำออกมาเสียด้วยซ้ำ

 

 

“มีอะไรอยากจะด่าฉันอีกไหมคะ ฉันจะปล่อยให้คุณด่าฉันให้จบ ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีกตอนที่เราเจอกันครั้งหน้า!” ซย่าชิงอีถามขณะที่จ้องเขม็งไปที่เฉินโหรว

 

 

ฝ่ายตรงข้ามพูดอะไรไม่ออก เธอไม่เสียเวลามองเฉินโหรวอีกและพูดกับโม่หันที่อยู่ข้างๆ “ไปกันเถอะค่ะ อยู่ที่นี่ต่อทำอะไรล่ะคะ ฉันอยากกลับไปอาบน้ำที่บ้านแล้ว”

 

 

ครั้งนี้เป็นซย่าชิงอีที่เดินนำหน้าและทิ้งให้เขาตามหลังเธอไป เสียงกรีดร้องอย่างโมโหของเฉินโหรวดังมาจากที่ไกลๆ ขณะที่เธอมองตามเงาของพวกเขาที่ลับตาไป

 

 

เมื่อพวกเขามาถึงบ้านความโกรธยังคงปรากฏในใจของเธอทุกครั้งที่คิดถึงคำพูดของเฉินโหรว แม้เธอจะพยายามสลัดความคิดออกไปในขณะที่เปลี่ยนรองเท้าและเกือบจะเตะตู้ที่อยู่ข้างๆ เธอ

 

 

“ฉันไปอาบน้ำก่อนนะคะ” เธอเอ่ย

 

 

เธอชะงักไปเมื่อเดินไปถึงกลางทางที่ทอดไปยังห้องน้ำ ก่อนหันหน้ามาหาเขาและกล่าวขึ้น “ต่อไปถ้าพี่เจอเฉินโหรวอีก ไม่ต้องมาบอกให้ฉันรู้นะคะ และถ้า…วันใดวันหนึ่งพี่สองคนกลับไปคบกันก็อย่าบังคับให้ฉันทำตัวเป็นเพื่อนกับเธอเลยนะ ฉันคงทำตัวดีๆ กับเธอไม่ได้… อีกแล้ว”

 

 

“เธอคิดมากไปแล้ว เราเลิกกันแล้ว” เขารู้สึกว่าสิ่งที่เธอคิดมันไม่มีทางเป็นไปได้

 

 

“ฉันก็หวัง… ว่าจะเป็นอย่างนั้น ฉันอยู่ร่วมกันกับเธอไม่ได้จริง ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ตาม”

 

 

เธอหันกลับไปและเดินเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่ออาบน้ำและเข้านอน

 

 

สายที่ไม่รู้จักโทรเข้ามาหาเขาระหว่างที่เขากำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องที่บริษัทในวันถัดมา เขาชำเลืองมองหน้าจอก่อนที่จะปิดเสียงและทำงานต่อ

 

 

เบอร์นั้นยังคงโทรหาเขาอย่างไม่หยุดหย่อนในขณะที่เขากำลังจดจ่อกับการจัดการเอกสารตรงหน้า

 

 

เมื่อเขาลุกขึ้นไปเอาเอกสารจากทนายเหลียวที่อยู่ห้องข้างๆ ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาและเหลือบมองโทรศัพท์หลังจากที่กลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองก็พบว่าหน้าจอแสดงกว่า สิบสายที่ไม่ได้รับและสามสิบข้อความ

 

 

เขาแทบไม่ต้องคิดว่าเป็นใครก่อนจะเปิดดูข้อความของเธออย่างไม่ใส่ใจ เขาอ่านข้อความทั้งหมดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะปิดโทรศัพท์ โยนมันลงบนมุมหนึ่งของโซฟาและกลับมาทำงานต่อ เขาไม่ได้กลับมามองโทรศัพท์อีกระหว่างที่ทำงานจนกระทั่งใกล้เวลาเลิกงานในช่วงเย็น

 

 

โม่หันไม่ได้ทำงานถึงดึกดื่นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ซย่าชิงอีมักจะกลับถึงบ้านก่อนเขาและขอให้เขาซื้ออาหารเย็นเข้าไปให้บ้าง ทำให้เขาเริ่มเคยชินกับการเลิกงานตรงเวลา มีบางครั้งที่เขาจะเอางานติดตัวกลับมาทำต่อที่บ้านหากไม่สามารถทำให้เสร็จได้ทันเวลา

 

 

ทันทีที่เขาก้าวออกมาจากบริษัทก็เห็นเฉินโหรวยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า

 

 

เขามองเธอผ่านไปเร็วๆ และเดินไปข้างหน้าต่อไม่หยุด

 

 

“ฉันขอโทษค่ะ…” เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้มีท่าทางเหมือนเช่นในเมื่อวาน

 

 

“คนที่คุณควรพูดคำนี้ด้วยไม่ใช่ผม” เขาหันหลังให้เธอ

 

 

เธอขยับเข้ามาดึงแขนเสื้อเขาไว้ “ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนผิดค่ะ ฉันรู้สึกผิดแล้วจริงๆ นะ ตั้งแต่กลับไปฉันก็คิดเรื่องนี้มาตลอด รู้ว่าเราสองคนไม่ได้คบกับแล้วและฉันเข้าใจผิดไปเอง รู้ว่าไม่ควรทำตัวเหมือนอย่างวันก่อน ฉันแค่ทนไม่ได้ ฉันขอโทษ… ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้”

 

 

เขาดึงมือตัวเองและสลัดมือเธอออก “ช่วยปล่อยมือของคุณออกด้วย เราเลิกกันแล้ว”

 

 

“โม่หัน… เราคบกันมาตั้งนานคุณยังมีความรู้สึกดีๆ กับฉันใช่ไหมคะ เรามาเริ่มกันใหม่เถอะนะ นะคะ ให้โอกาสฉันสักครั้ง…นะคะ” เฉินโหรวอ้อนวอนขอร้องเขาอย่างหนัก

 

 

“เฉินโหรว ผมคิดว่าคุณควรเข้าใจได้แล้วว่าการที่เราเลิกกันมันหมายความว่าเราไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้” เขาอยากจะปลีกตัวออกไปเสียที

 

 

ทว่าจู่ๆ เธอก็เข้ามากอดเขาจากข้างหลัง “ฉันคิดถึงคุณมากนะคะ… ฉันขอโทษ… ฉันคิดถึงคุณมากจริงๆ นะ… ฉันคิดถึงคุณทุกวันหลังจากที่จากคุณไป…”

 

 

เขาเอ่ย “ผมขอโทษ แต่ทุกวันนี้ชีวิตผมมีความสุขดีหลังจากที่ผมเลิกกับคุณไป” เขาดึงมือของเธอที่จับแขนตัวเองออก “เฉินโหรว คุณที่ผมรู้จักเป็นคนมั่นใจในตัวเองและที่คุณทำอยู่ตอนนี้มันเหมือนกับคุณไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเองเลย”

 

 

เสียงเธอถามขึ้นอย่างล่องลอยดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณตกหลุมรักเธอหรือ”

 

 

“ใช่ ผมรักเธอ แต่มันเกิดขึ้นหลังจากที่เราเลิกกัน เธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างเรา” เขาตอบก่อนหันไปมองและเห็นว่าเธอกำลังร้องไห้ เขาอ่อนเสียงลง “เฉินโหรว ผมขอโทษ คุณต้องเข้าใจว่าเรื่องของเรามันจบลงไปแล้วต่อให้ผมไม่ได้บอกคุณก็ตาม เราเลิกกันมาสักพักแล้ว”

 

 

“แต่ว่า… ฉันรักคุณจริงๆ นะคะ…”

 

 

“ผมต้องไปแล้วเฉินโหรว” เขามองเธอที่น้ำตานองหน้าและว่าขึ้น “ถ้าคุณใจเย็นลงแล้วค่อยออกไป ผมจะไปบอกคนในบริษัทให้เปิดประตูเอาไว้ให้คุณพักด้านในสักครู่”

 

 

ในที่สุดโม่หันก็จากไปไม่เหลือแม้แต่ความหวังใดๆ ไว้ให้เฉินโหรว เอาแต่ปล่อยให้เธอมองเขาจากไปให้เธอรู้ว่าเขาไม่มีทางย้อนกลับมาเมื่อเขาก้าวไปข้างหน้าแล้ว

 

 

พวกเขากลายเป็นเพียงอดีตของกันและกันเท่านั้น

 

 

เมื่อโม่หันมาถึงบ้าน ซย่าชิงอีก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จและนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น กำลังดูโทรทัศน์ขณะที่กินไปด้วย เธอไม่ละสายตาไปจากหน้าจอหลังจากที่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้วพลางโบกมือให้เขาอย่างไม่ใส่ใจนักและกล่าวทักทาย “พี่กลับมาแล้ว”

 

 

เขาวางกระเป๋าลงและหยิบน้ำมาจากตู้เย็นก่อนที่จะนั่งลงดื่มน้ำบนโซฟาอีกด้าน

 

 

“ยังมีอาหารอยู่ในครัว พี่อยากกินไหมคะ”

 

 

“อาหารจากไหน”

 

 

เธอมองเขาขณะที่หลุดยิ้มออกมา “ฉันทำเองค่ะ”

 

 

เขาเดินไปดูที่ห้องครัวและเห็นว่ามีอาหารง่ายๆ วางอยู่บนโต๊ะทำครัวก่อนถามขึ้น “ทำไมถึงนึกจะทำอาหารขึ้นมาล่ะ”

 

 

“วันนี้เลิกเรียนเร็วฉันอยู่บ้านเบื่อๆ เห็นว่าพี่เป็นคนที่ทำอาหารอยู่คนเดียว ก็เลยอยากลองทำอาหารบ้างน่ะค่ะ ฉันถึงได้… ลองทำดู” เธอละสายตามาจากละครที่กำลังดูและหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “รสชาติอร่อยไหมคะ”

 

 

เขาตักกินไม่กี่คำ “ใช้ได้เลยนะ”

 

 

ทว่าเธอกลับมุ่ยหน้า “ถ้าพี่พูดแบบนั้นก็หมายความว่าที่ฉันทำไม่อร่อยสินะคะ”

 

 

“มันจืดไปหน่อยถ้าเทียบกับอาหารที่พี่ทำต่างหาก” เขายังถือตะเกียบไว้ในมือ

 

 

“ถ้าพี่ไม่ชอบรสชาติอาหารที่ฉันทำงั้นพี่ก็คงต้องเป็นคนทำอาหารต่อไปแล้วล่ะค่ะ” เธอกลับไปดูโทรทัศน์ต่อ

 

 

เขาหัวเราะออกมาขณะที่เอนตัวพิงกับโต๊ะทำครัว และถามขึ้นพลางกินกับข้าวที่เธอทำ “มีข้าวไหม”

 

 

“มีค่ะ อยู่ในตู้เย็น อุ่นเองเลยค่ะ” เธอกลอกตาไปมา

 

 

เขาเอาข้าวออกมาอุ่นและวางชามลงบนโต๊ะกินข้าวที่ตั้งถัดจากห้องครัว ก่อนเริ่มกินอาหารคนเดียวระหว่างที่เธอยังคงนั่งดูละครบนโซฟา บรรยากาศเงียบๆ แต่แสนสบายและอบอุ่นโรยตัวไปทั่วห้อง

 

 

ไม่ทันที่เขาจะกินอาหารเสร็จดี เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น ซย่าชิงอีที่กำลังดูละครซึ่งกำลังถึงช่วงสำคัญอยู่บอกเขาไปเปิดประตูให้

 

 

เมื่อเขาเปิดประตูก็พบว่าเป็นเฉินโหรวที่ยินอยู่ด้านนอก

 

 

ซย่าชิงอีที่ยังคงดูโทรทัศน์บนโซฟาแต่ไม่ได้ยินเสียงใดมาจากหน้าประตูก็เอ่ยถามขึ้นเสียงดัง “ใครเหรอคะ”

 

 

เธอได้ยินเสียงพูดคุยกันเบาอยู่หน้าประตูแต่ไม่เห็นว่าเขาจะเข้ามาในบ้านเสียที เธอรู้สึกแปลกๆ แต่เพราะว่านั่งอยู่บนโซฟาจึงไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประตู จึงลุกขึ้นพร้อมใส่รองเท้าเดินในบ้านและเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นเฉินโหรวยืนอยู่ที่หน้าประตู ดวงตาแดงก่ำที่คลอไปด้วยน้ำตาให้คนที่มองสงสาร

 

 

“ฉันมาที่นี่เพื่อพูดบางอย่างกับโม่หัน เสร็จแล้วฉันก็จะไป” เธอว่าขึ้น

 

 

ซย่าชิงอียักไหล่ขณะที่เดินกลับไป “พวกพี่สองคนเข้ามาคุยกันในห้องนั่งเล่นดีกว่านะคะ ฉันจะเข้าไปในห้องของฉันเอง”

 

 

เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยหลังจากที่กลับมาที่ห้องของตัวเอง ดูท่าทางของเฉินโหรวแล้วเธอต้องพบกับเขาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้วแน่ ว่าแต่พวกเขามาเจอกันตอนไหนล่ะ พวกเขาคงจะไม่ได้กลับไปคบกันหรอกใช่ไหม

 

 

คิดได้ดังนั้นเธอก็ยิ่งหงุดหงิด ได้แต่เดินวนไปมาในห้อง แนบหูกับประตูเพื่อเงี่ยหูฟังว่าพวกเขาคุยอะไรกันแม้ว่าจะไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาเลยก็ตาม

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้เธอที่แนบศีรษะกับบานประตูอยู่ตกใจ เธอยืนยืดตัวตรงทันทีและรอครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดประตู

 

 

“เธอไปแล้ว” เขาเอ่ย

 

 

“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถาม

 

 

“อืม เธอพูดไม่กี่ประโยคก็ออกไปน่ะ”

 

 

“พวกพี่… กลับมาคบกันเหรอคะ”

 

 

โม่หันมองเธอ “เธอกังวลว่าเราจะกลับมาคบกันเหรอ”

 

 

สายตาของเธอฉายแวววูบไหวเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้น “ฉันแค่กังวลว่าต่อไปพี่จะให้ฉันทำตัวดีๆ กับเธอต่างหากค่ะ”

 

 

“แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ” เขาถามเธอกลับพร้อมประกายเย้าแหย่ที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขา

 

 

“ถ้ารู้ฉันจะถามพี่เหรอคะ อย่าลีลาสิ ถ้าพี่กลับไปคบกับเธอพี่ก็บอกฉันมาเถอะน่า”

 

 

“ถ้าเรากลับไปคบกันแล้วเธอจะทำอะไรล่ะ” เขาพิงตัวกับกรอบประตู

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

ภาพรักสีจางกลางสมุทร

Status: Ongoing
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับพบว่าเธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ชื่อ ที่อยู่ ครอบครัวและประวัติความเป็นมาล้วนถูกซัดหายไปจากความทรงจำทั้งหมด เบาะแสเดียวที่หลงเหลืออยู่มีเพียงชื่อ โม่หัน ทนายหนุ่มจากสำนักงานกฎหมายที่ลงท้ายไว้บนใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น เขาเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมถึงดูแลค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างแต่ไม่เคยมาเยี่ยมเธอเลยสักครั้ง เมื่อถูกครอบงำด้วยความสงสัย เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วออกตามหากุญแจสุดท้ายที่จะไขความลับให้กับเธอ ทว่าเมื่อตามหาตัวโม่หันจนพบ เขากลับบอกเธอว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้จักคุณ” เป็นไปได้ยังไงกัน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร เธอต้องไขปริศนาเรื่องนี้และเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดที่หายไปกลับมาให้ได้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset